จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ




 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ



ผมเกิดในบ้านที่มีฐานะค่อนข้างดี พ่อกับแม่มีร้านขายเสื้อที่ตลาดประตูน้ำ มีลูกจ้าง มีพี่เลี้ยงคอยดูแล...จนอายุห้าขวบ มรสุมชีวิตลูกใหญ่ก็พัดเข้ามาทำลายครอบครัวเรา พ่อติดเหล้ามาก และมีผู้หญิงคนใหม่ พ่อกับแม่ก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้นและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพ่อกับแม่ก็หย่าร้างกัน



แม่หาเลี้ยงดูผมและพี่สาวสองคนตามลำพัง โดยไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูจากพ่อเลย กิจการร้านเสื้อก็มีปัญหาขาดทุนหนัก จนในที่สุดต้องปิดตัวลง บ้านที่พวกเราอาศัยอยู่ก็โดนเวนคืนเพื่อทำทางด่วน พี่สาวทั้งสองอยู่ในความดูแลของอากงและอากู๋ ผมและแม่ต้องออกมาเช่าบ้านไม้ผุๆหลังคามุงด้วยสังกะสี ข้างล่างแม่ใช้ในการตัดเย็บ/แก้ทรงเสื้อผ้า ขายของหน้าบ้านไปด้วยเพื่อหารายได้เสริม โดยมีผมคอยช่วยเวลาเลิกเรียน



 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


แต่ถึงกระนั้นรายได้ของเราก็ยังน้อยมาก ผัดผ่อนค่าเช่าบ้านถือเป็นเรื่องปกติแล้วสำหรับแม่... ทุกๆวัน พอผมกลับมาจากโรงเรียน แม่จะให้เงินออกไปซื้อกับข้าวหนึ่งถุง และบอกให้ผมกินให้อิ่มก่อนเสมอ ระหว่างที่ผมนั่งกิน แม่ก็จะคอยถามเสมอว่าอร่อยมั้ยลูก อร่อยก็กินเยอะๆ แล้วด้วยความเป็นเด็กของผม บางครั้งผมก็กินกับข้าวนั้นจนหมดจริงๆ ด้วยความหิว จนแม่ไม่มีข้าวเย็นกิน แต่แม่ไม่เคยว่าเลย แม่จะหาคำพูดมาทำให้ผมไม่กังวลทุกครั้ง เช่น แม่ไม่ค่อยหิวแล้วบ้าง แม่อ้วนแล้วบ้าง และบอกว่าดีแล้วที่ผมกินได้เยอะๆ เพราะผมผอมเกินไป



พอผมขึ้น ม.6 แม่บอกพี่สาวให้หยุดเรียน (ทั้งๆที่พี่สาวทำงานหาเงิน"ส่งตัวเอง"เรียนมาโดยตลอด) เพียงเพื่อที่จะได้ช่วยกันทำงาน ส่งผม "ให้ได้เรียน"เพราะลำพังรายได้ของแม่คงไม่ไหว...พี่สาวผิดหวังและเสียใจมาก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหยุดเรียน ขอแค่ให้ผมตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดก็พอ



 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


ความเสียสละของพี่สาวครั้งนั้น...มันทำให้เกิดความรู้สึกเล็กๆ ในใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของครอบครัว "หากไม่มีผมทุกคนคงสบาย" ประกอบกับมีปัญหาเรื่องอื่นๆ เข้ามาในชีวิต นำไปสู่ความ "อยากตาย" ที่ผุดขึ้นมาในใจ



เหมือนคิดเล่นๆ แค่แว่บหนึ่งแล้วหายไป แต่เมื่อปัญหานั้นยังคงอยู่ ยังไม่สามารถยอมรับความจริงหรือแก้ไขได้ เกิดเป็น "ความทุกข์ซ้ำซาก" รบกวนจิตใจไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ ขยายตัวขึ้น จากที่คิดแว่บเดียว ก็มีความถี่มากขึ้น จากสัปดาห์ละครั้ง กลายเป็นวันละครั้ง กลายเป็นวันละหลายๆครั้ง กลายเป็นตลอดเวลาไม่อาจจะสลัดมันออกจากหัวได้ จนถึงวันหนึ่งที่ใจอ่อนแอมากที่สุด และมีเหตุการณ์ที่เป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" ทำให้รู้สึกหมดสิ้นความหวัง เหมือนทุกอย่างพังทลาย พ่ายแพ้ ไร้คุณค่า ไม่อยากจะเจอ "ความจริง" อีกต่อไป และนำไปสู่...การตัดสินใจ...




ผมอยากจะกระโดดลงมาจากชั้นดาดฟ้าของตึกสูงตึกหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ โรงเรียน... ปัญหาของผมตอนนั้นถ้าเล่าตอนนี้คงจะดูเหมือนเป็นเรื่อง "เล็กน้อยเหลือเกิน" แต่สำหรับผม ณ เวลานั้น มันเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจมากมาย จนแทบไม่อยากลืมตาขึ้นในเช้าวันต่อไป สถานการณ์เดียวกัน ปัญหาเดียวกัน สร้างความทุกข์ให้คนแต่ละคน "ไม่เท่ากัน"




 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


ดังนั้น หากคุณเจอคนที่(อยาก/กำลัง)ทำร้ายตัวเอง อย่าดูถูกว่าปัญหาของเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะว่าความทุกข์ใจ หลายๆครั้งก็ "ไม่สัมพันธ์กับขนาดของปัญหา" และคุณไม่มีทางเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้น มันส่งผลต่อชีวิตเขามากขนาดไหน คำพูดเหยียดหยาม ส่อเสียด ไม่เคยช่วยอะไรหรือทำให้เขาคิดได้เลย มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆ...อย่างเดียวที่เขาต้องการคือ...คนที่ฟังเขา




สำหรับผม ณ วินาทีที่จะกระโดด ภาพของแม่ก็แจ่มชัดขึ้นมา ภาพถุงกับข้าวที่แม่ให้เราแกะกินก่อนเสมอๆ ภาพพี่สาวที่นอนร้องไห้ ตัดสลับกันไปมาเหมือนมีเครื่องฉายสไลด์อยู่ในหัว

 





ทันใดนั้นก็รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่เป็นคนโง่และเห็นแก่ตัวที่สุด ทั้งๆ ที่แม่และพี่สาวเสียสละเพื่อเรามากมายมหาศาล แต่เรากลับคิดแต่จะหนีปัญหา คิดแต่จะทิ้งเขาให้ลำบากต่อไป...ดีใจเหลือเกินที่ฉุกคิดและรอดมาได้...



 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


จนในที่สุดผมสอบเข้าได้ที่ สาขาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยคะแนนสูงสุดของสาขาในปีนั้น เมื่อสอบเข้าแล้วผมได้รับความอนุเคราะห์มากมาย ได้รับทุนการศึกษา และสามารถกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาได้ จึงไม่ต้องรบกวนพี่สาว ส่งผลให้พี่สาวได้เรียนตามที่เขาตั้งใจ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ และความเมตตาจากคณาจารย์ ให้ได้รับ "ทุนภูมิพล" ในทุกๆปี



ผมเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง สอบชิงทุนรัฐบาล (ทุนการศึกษาขั้นสูงเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างเครือข่ายวิจัยระดับแนวหน้า สาขาชีวสารสนเทศศาสตร์) ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา จนสำเร็จปริญญาโท สาขา Genomics, Proteomics, and Bioinformatics และสำเร็จปริญญาเอก สาขา Molecular Medicine เอก Neuroscience



 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


ปัจจุบันทำงานเป็นอาจารย์ประจำ อยู่ที่ภาควิชาเคมีคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


หากเรื่องราวของผมจะมีประโยชน์ สามารถให้ข้อคิดอะไรกับใครได้บ้าง แม้ต่อคนเพียงหนึ่งคนบนโลก ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับคนไทยธรรมดาๆอย่างผม ผมขอยกความดีทั้งหมดให้กับคุณแม่ มาลีรัตน์ กิจเจริญเสรี ผู้หญิงที่มีความหมายมากที่สุดในชีวิตของผม พี่สาวทั้งสองคนที่เสียสละหลายอย่างเพื่อผม และคุณครูพิมพร ครูประจำชั้นสมัยประถมผู้มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ผลักดันส่งผมถึงฝั่ง และอีกหลายๆคนผู้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จในทุกย่างก้าว ที่ทำให้ผมมีวันนี้ขึ้นมาได้...



 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ


 จากชีวิตที่ติดลบ..ของดร.เทวฤทธิ์ สะระชนะ

เครดิตแหล่งข้อมูล : FB: WeAreThailander


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์