มองลึก นึกไกล ใจกว้าง

มองลึก นึกไกล ใจกว้าง


"ใจกว้าง" คือ ฝึกใจของเรานั้นให้กว้างขวาง หลุดออกจากอคติทั้ง 4 ประการ คือ

ลำเอียงเพราะรัก

ลำเอียงเพราะชัง

ลำเอียงเพราะหลง

ลำเอียงเพราะกลัว


ใจของเรานั้นถ้าปลดอคติทั้ง 4 ออกไป จะเปรียบเสมือนนกอินทรีที่บินได้ทั่วทั้งโลก

แต่ถ้าใจของเราก้าวไม่พ้นอคติทั้ง 4 ประการ ใจของเราก็จะเหมือนนกกระจอก ที่บินได้นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ต้องหยุดพัก บินได้ไม่เสรี ใจที่ปลอดจากอคติ เป็นใจที่มีศักยภาพที่สูงมาก ใจที่ไม่มีอคติ เป็นใจที่กว้างกว่าท้องฟ้า เป็นใจที่เล็กว่ามหาสมุทร เป็นใจที่แจ่มกระจ่างยิ่งกว่ารัศมีจากพระอาทิตย์พระจันทร์ จะเป็นใจที่นุ่มนวลอ่อนโยน ยิ่งกว่ากลีบของบุปผาลดามารทั้งหลาย

ทำอย่างไรจะฝึกใจให้กว้าง ก็ต้องมาเรียนรู้ที่จะพาใจของเราก้าวข้ามสิ่งสมมติ อาตมาภาพได้อ่านเรื่องสั้นของพระนักปราชญ์ชาวศรีลังกาท่านหนึ่ง ท่านอนันทไมตรี เขียนเอาไว้ ท่านตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาไทยว่า "หากพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมา จะเกิดอะไรขึ้น"
อาตมาภาพอ่านเล่มนี้แล้วชอบมาก เพราะมันสะท้อนเห็นความใจแคบของคนที่แม้กระทั่งพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่ตรงหน้า ยังไม่สามารถกราบท่านได้เลย

มีอยู่วันหนึ่ง พระธุดงค์เสด็จกลับมาที่ประเทศศรีลังกา ศรีลังกาในยุคนั้น เป็นศรีลังกาที่บ้านแตกสาแหรกขาดเพราะอะไร ชาวศรีลังกาที่แต่เดิมรักกันมาก แต่พอฝรั่งเข้ามายึดอยู่เกือบ 400 ปี ถูกยุให้รำตำให้รั่วแตกกันหมด ชาวศรีลังกาเป็นเมืองศรีลังกาสิงหล ฝรั่งถือหางทั้งคู่ ทะเลาะกันเอง เสี้ยมกัน เหมือนเมืองไทยในเวลาที่ผ่านมาเนี่ย ไทยทั้งคู่ แต่ว่ามีคนเอาเสื้อมาแจก กลุ่มหนึ่งรับเสื้อแดงมาสวม กลุ่มหนึ่งก็รับเสื้อเหลืองมาสวม มองกันไม่ติดนะทุกวันนี้ ชาวศรีลังกาก็เหมือนกัน ต่อมาฝรั่งก็ยุ ให้แตกกันเป็นศรีลังกา เป็นสิงหล พอแตกกันแล้ว ช่วงนั้นเอง ช่วงที่คนกำลังแตกสามัคคีกัน

พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมา พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดแรก พระกับลูกศิษย์กำลังประชุมกัน มีสมณะรูปหนึ่ง ซึ่งก็คือพระพุทธองค์ เสด็จดำเนินมาในพระรัตนากาล ที่เรียกกันว่าธรรมดาที่สุด คือ ไม่มีใครถือพัดยอดแหลมตามมา ไม่มีรถนำขบวน ไม่มีใครปูพรมแดงให้เสด็จดำเนิน พระองค์เสด็จมาปอนๆ มีแต่บาตรกับจีวร เดินเข้ามาในวัด พระหันไปเห็น "หลวงพ่อ มาจากไหน" ท่านยังไม่ทันตอบ พระถาม "หลวงพ่อ ชอบพรรคการเมืองไหน" พระพุทธเจ้าบอก "เราไม่ชอบพรรคการเมืองอะไร และเราไม่สังกัดพรรคการเมืองไหน" ลูกศิษย์พระบอก "โอ้..หลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อไม่สังกัดพรรคการเมืองไหน นิมนต์ไปพักที่วัดอื่น ที่นี้ชอบประชาธิปัตย์" พระพุทธเจ้าเลยไม่ได้พักวัดนั้นเลยนะ

เสด็จดำเนินกลับออกไป เดินไปสักพักหนึ่งไปเจอวัดที่สอง อยู่ท่ามกลางดงมะพร้าว ศรีลังกานี่ดงมะพร้าวเยอะมาก อาตมาภาพเคยไปมาแล้ว พระพุทธองค์เสด็จดำเนินเข้าไป พระกับลูกศิษย์กำลังประชุมกันคร่ำเคร่ง หลังจากที่ดูเรื่องเล่าเช้านี้แล้วถกกันน่าดูนะ ตกลงจะอยู่ข้างไหน พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปกลางวงประชุม ลูกศิษย์พระถาม "หลวงพ่อ หลวงพ่อสังกัดนิกายอะไร สยามวงศ์ ลังกาวงศ์ รามันวงศ์.." สยามวงศ์ก็คือ ประเทศไทย ลังกาวงศ์ก็คือ ศรีลังกา รามันวงศ์ก็คือ พม่า พระพุทธเจ้าส่ายหัว "เราไม่สังกัดนิกายใด"
"โอ้โฮเป็นพระอะไรไม่มีนิกาย ไม่สังกัดพรรคอะไรเลยหรือ เป็นผู้สมัครอิสระหรือนี่ ถ้าเช่นนั้น นิมนต์พักวัดอื่นเลยครับ" เห็นหรือไม่ ก็เลยไม่ได้พักวัดที่สองนะ

เสด็จดำเนินไปกี่วัดๆ ไม่มีใครนิมนต์ให้แวะพักเลย เพราะพวกเขามองเห็นว่า สมณะรูปนี้ไม่ใช่พวกของเขา หากสังเกตเราจะรู้สึกดีเป็นพิเศษกับอะไรก็ตามที่เป็นพวกของเรา อาตมาภาพเป็นคนเชียงราย วันหนึ่งอาตมาภาพเจอคนลำปาง "โอ้โฮผมเห็นท่านพระอาจารย์ออกทีวี ผมชื่นใจมากเลย คนเหนือเหมือนกัน" เราอยู่เชียงรายนะ เชียงใหม่ ลำพูน จึงจะถึง ลำปาง นี่ห่างกันตั้งหลายจังหวัด เขารวมเป็นพวกหมดเลยนะ วันหนึ่งอาตมาไปเจอคนสุโขทัย "โอ้โฮ หลวงพ่อเทศน์ดีมากเลย ผมไม่นึกเลยว่า เมืองเหนือเราก็มีคนเก่ง" "โยมอยูไหน" "สุโขทัย ครับ" จากเมืองเหนือมันลามไปสุโขทัยนั่นคือ ความเป็นพวก หากเราไปอเมริกา ท่ามกลางนักท่องเที่ยวเป็นร้อยเป็นพันคน ถ้าเดินชมพิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่างแล้วพบคนไทยกลางวง เราจะรู้สึกดีใจ "โอ้..ไม่น่าเชื่อว่าตรงจะมีคนไทย" จับมือกันใหญ่เลย ถ่ายรูปด้วยก้น ไปเจอฝรั่งเขาเฉยๆ นะ เจอคนจีนเขาเฉยๆ เจอคนไทย "โอ้..อยู่ภาคไหน" "ภาคเหนือ" แน่ะภาคเดียวกัน นั่งกินข้าวด้วยกัน รักกันเป็นพิเศษ ไปเจอกันต่างชาติต่างเมือง "อยู่ไหน" "อยู่เมืองไทย" "นับถือศาสนาอะไร" "พุทธ" อู๊ย..เหมือนกัน"

คือ ถ้ามีอะไรสักอย่างหนึ่งที่เหมือนกันเราจะรับเขาเป็นพวกเร็วมาก นั่นหัวใจของเราแคบเพราะอะไร เพราะเราเลือกรับเฉพาะอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีรากทางวัฒนธรรมร่วมกัน ถ้าไม่ใช่พวกของเรา ไม่ใช่พรรคของเรา ไม่ใช่ชาติไม่ใช่ศาสนาเดียวกันกับเรา เราจะรู้สึกว่า รักนะแต่ไม่แสดงออก เห็นไหม ! แต่ถ้าเป็นพวกเดียวกันนะ เราจะรีบแสดงออกทันตาเห็นเลย นี่เป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปวัดไหนๆ ไม่มีใครนิมนต์พระองค์ท่านจำวัด เพราะเขารู้สึกว่า พระองค์ไม่สังกัดพรรคการเมืองอะไร เพราะพระองค์ท่านไม่สังกัดนิกายอะไร จึงไม่ใช่พวก ที่ศรีลังกาเรื่องพรรคเรื่องนิกายเข้มข้นมาก พระสงฆ์เล่นการเมืองได้ ในรัฐสภา พระสงฆ์เล่นการเมืองได้ ฉะนั้น ที่บอกว่า พระสงฆ์ถามพระพุทธเจ้าว่าท่านสังกัดพรรคการเมืองอะไร นั้นคือ แนวคิดของพระสงฆ์ศรีลังกา เป็นอย่างนั้น แล้วที่ถามว่า สังกัดนิกายอะไร ก็เพราะเรื่องนิกายก็เข้มข้น ที่โน้นดูเหมือนทุกนิกายจะมีพระสังฆราชเป็นของตัวเองนะ ฉะนั้นพระสังฆราชอาจมี 2 องค์ หรือ 3 องค์ ไม่เหมือนเมืองไทยที่มีสังฆราชองค์เดียว



ว.วชิรเมธี

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์