10 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับมะเร็ง

10 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับมะเร็ง

         1. เมื่อมีอายุมาก มะเร็งเติบโตช้า มะเร็งเป็นโรคของคนแก่ คือร้อยละ 60 ของผู้ป่วยมะเร็งพบในคนอายุมากกว่า 65 ปี ของผู้ป่วยวัยนี้มีโอกาสพบมากขึ้นถึง 10 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนอายุน้อยกว่าและมีโอกาสเสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าทั้งนี้ เซลล์มะเร็งจะเติบโตเร็วหรือช้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัยอายุไม่ไช่ตัววัดการเติบโตของมะเร็งมากขึ้น ในความเป็นจริงก็คือ เมื่ออายุเฉลี่ยของผู้หญิงจะอยู่ในวัย 69 ปี ผู้ชาย 67 ปี ซึ่งช่วงอายุที่ว่านี้สามารถตรวจมะเร็งโดยการตรวจทางการแพทย์ เช่นทำแมมโทแกรมเต้านม ตรวจมะเร็งลำไส้หรือมะเร็งผิวหนัง แต่มะเร็งบางชนิดที่พบในคนอายุน้อยจะมีความร้ายแรงมากกว่าคนอายุมาก ได้แก่ มะเร็งเต้านมที่เกิดในคนอายุน้อยกว่า 35 ปี หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เกิดในคนอายุน้อยกว่า 40 ปี หรือมะเร็งดำเนินโรคที่รุนแรงและรักษาได้ยากกว่า

          2. ผู้หญิงและผู้ชายมีความเสี่ยงเท่ากัน จากสถิติ ผู้ชายเป็นมะเร็งบางชนิดมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า เช่น มะเร็งผิวหนัง เนื่องจากผู้ชายทาครีมกันแดดน้อยกว่า นอกจากนี้ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เหมือนกัน แต่พบเพียงร้อยละหนึ่งของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมเท่านั้น และกว่าที่ผู้ชายจะรู้ตัวก็มันจะรักษาให้มีโอกาสรอดได้ยาก จึ้งแย้กว่าผู้หญิง และมะเร็งบางชนิดเป็นเฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น เช่นมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย หรือมะเร็งปาดมดลูกที่เป็นเฉพาะผู้หญิง

          3. แอลกออล์ไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็ง ข้อเท็จจริงก็คือ ยิ่งบริโภคแอลกอฮอร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งเท่านั้น เพราะการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะนำไปสู่โรคมะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งหลอดอาหาร ที่สำคัญคือ ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์จะเสี่ยงกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เหตุผลก็คือ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ร่างกายไม่อาจขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ดีและการที่มีฮอร์โมนมากเกินไปก็อาจจะเสี่ยงกับมะเร็งในผู้ชายหรือผู้หญิง ที่สำคัญก็คือ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ด้วยก็จะเมความเสี่ยงกับมะเร็งปอดนอกจากนี้บุหรี่อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย

           4. คนที่ไม่ได้กินผลไม้ มีความเสี่ยงสูงกับโรคมะเร็ง นี่คือความเข้าใจครึ่งหนึ่งของผุ้ตอบแบบสอบถามในประเทศที่ร่ำรวย ในความเป็นจริงก็คือทั้งผักละผลไม้สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่ต้องเป็นผักและผลไม้ที่ปลอดจากสารพิษ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโรคได้แนะนำให้รับประทานอาหารผักและผลไม้สดที่ปลอดจากสารพิษปริมาณ 400 กรัมต่อวัน ซึ่งมังสวิรัติหรือนักกีฬามักดูแลสุขภาพด้วยตนเองด้วยการกินผักและผลไม้คือคนที่ที่ใส่ใจกับสุขภาพและควบคุมน้ำหนักตัวก็จะลดความเสี่ยงกับโรคมะเร็ง ในขณะที่คนอ้วนมักมีความเสี่ยงสูงกับโรคมะเร็งเพราะขาดความใส่ใจในเรื่องของการกิน

            5. ความเครียดและอาหารเป็นพิษทำให้เป็นมะเร็ง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการเกิดโรคมะเร็งในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมาได้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน แต่ไม่พบว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าความเครียดมีพลกระทบประสาทและต่อมไร้ท่อ ซึ่งอาจมีผลทางอ้อมต่อการเกิดโรคมะเร็ง ทั้งนี้ ประมาณ 78 % ของประชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วคิดว่า อากาศเป็นพิษทำให้เกิดโรคหอบหืดและโรคปอดเรื้อรัง และจาการศึกษาทำไห้อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้น และก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าอากาศเป็นพิษทำให้เกิดเป็นมะเร็งหรือไม่ แต่จากการศึกษาในประเทศอเมริกาชี้ให้เห็นว่า สารพิษเป็นอันตรายต่อเด็กและสตรีในครรภ์ นักวิจัยจึงคาดว่าสารเคมีจะส่งผ่านไปสู่ทารก ซึ่งจะทำให้ยีนเสียหายและทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นโรคคลูคีเมียได้ในอนาคต แต่ผู้เชี่ยวชาญมะเร็ง แค่ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิจารณ์การศึกษานี้ว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัด

              6. เป็นมะเร็งแล้วต้องตาย ผู้คนในประเทศกำลังพัฒนามักคิดว่า หากเป็นมะเร็งและจะต้องตายแน่ๆ แต่ที่ต้องตายก็เพราะความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็งมากกว่า ในความเป็นจริงแล้วผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับการตรวจรักษามะเร็ง ไม่ว่าจะทำให้รอดหรือเสียชีวิตก็ตาม เพราะยิ่งพบมะเร็งเร็วและได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพก็จะยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งผิวหนัง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งปอดแล้วมะเร็งดังกล่าวมีทางรักษาได้รอดชีวิตมากกว่าทั้งนี้ ประมาณ 75 % ของประชากรในประเทศยากจนมักปล่อยให้แพทย์เป็นผุ้ตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษามะเร็งทั้งหมด ในขณะที่ประชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วอยากมีส่วนร่วม กับแพทย์ในการตัดสินใจรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันนี้โรคมะเร็งที่รักษาให้หายขากได้ร้อยละ 49 ของผู้ป่วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค รวมทั้งสุขภาพของผู้ป่วยและวิธีการักษาที่ถูกต้องต้องมีประสิทธิภาพ

                7. การผ่าตัดและการฉายแสงทำให้มะเร็งลุกลาม คนทั่วไปมักหวาดกลัวกับการรักษาด้วยการฉายแสง ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับอันตรายจากรังสีทั้งนี้ การฉายแสงสามารถรักษามะเร็งได้ 40% โดนรังสีมีข้อบ่งชี้หลายประมาร ได้แก่การบำบัด อาการเจ็บที่หวังผลหายขาด รักษาเสริมหลังการผ่าตัดหรือลดขนาดก้อนมะเร็ง เพื่อผ่าตัดก้อนมะเร็งออกให้หมด

             การฉายแสงจะช่วยทำให้มะเร็งเล็กลงเพื่อให้แพทย์ผ่าตัดออกได้ง่ายขึ้น และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการผ่าตัดจะทำให้มะเร็งลุกลาม ในสมันก่อนนั้นการผ่าตัดแผลใหญ่สามารถทำให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้จากการปนเปื้อนของเซลล์มะเร็งไปยังเนื้อเยื่อปกติ แต่ในปัจจุบันมีการผ่าตัดแบบแผลเล็กหรือผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งก็จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้

              8. ยาไม่อาจช่วยได้เมื่อมีอาการเจ็บปวดจากมะเร็ง เมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายจะทำให้เจ็บปวดมาก ซึ่งยาสมัยนี้สามารถช่วยได้ ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญจากองก์การอนามัยโรคได้พัฒนายาบรรเทาความเจ็บปวดตั้งแต่ยาง่ายๆ เช่นlbuprofen,Diclofenac จนกระทั้งยา Morphine ซึ่งมีทั้งชนิดฉีดดม หรือแผ่นแปะผิวหนัง

             9. วิตามินสำเร็จรูปช่วยปกกันมะเร็ง จากการศึกษาของนักวิชาการทางการแพทย์พบว่าวิตามินศึกษาของนักวิชาการทางการแพทย์พบว่าวิตามินซีหรือเบต้าแคโรทีน ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง แต่อาจทำให้เกิดผลตรงกันข้ามได้ ทั้งการศึกษาของนักวิจัยมะเร็งพบว่า ผู้ที่สูบบุรี่แล้วกินเบต้าแคโรทีนสำเร็จรูปจะมีอัตราเสี่ยงกับมะเร็งปอดมากว่า หรือกินซีล๊เนียมก็เพิ่มความเสี่ยงให้โรคเบาหวานมากขึ้น ควรรับประทานอาหารในปริมาณปกติที่ร่างกายเรารับได้จะดีกว่าการบริโภควิตามินมากเกินไป เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

              
10. ครีมกันแดดป้องกันมะเร็งผิวหนัง การทาครีมป้องกันรังสียูวีสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังไม่ได้มากนัก แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าใช้ครีมกันแดดป้องกันแล้วก็จะตากแดดได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย แพทย์ผิวหนังวิจารณ์ครีมกันแดดที่มีส่วนทำให้ชาวออสซี่เสี่ยงกับโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น เนื่องจากเข้าใจว่าเมื่อทาครีมกันแดดแล้วก็อาบแดดได้เต็มที่ที่คิดว่าปลอดภัย ดังที่มีรายงานใน Medical Journal of Australia เมื่อยี่สิบก่อนที่ดีที่สุดคือทาครีมกันแดดแล้วก็ต้องใส่เสื้อผ้าปกป้องผิวหนังอีกชั้นหนึ่ง และควรเป็นผ้าเนื้อหนาและควรมีสีเข้ม ในปัจจุบันนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าครีมกันแดดก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง


ขอขอบคุณนิตยสาร ลิซ่า


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์