10 ความเชื่อผิดๆ ฝังหัว เกี่ยวกับร่างกายที่ยังเชื่อกันถึงทุกวันนี้!

Photo by Phil and Pam Gradwell.Photo by Phil and Pam Gradwell.


Myth 1: ผม/ขน จะงอกหนา/เร็ว กว่าเดิมถ้าโกนทิ้งซะ


          เป็นความเชื่อกันมานานและพูดกันปากต่อปากมาเรื่อยๆและมีการเตือนกัน โดยเฉพาะสาวๆว่า ถ้าไปโกนขนเข้าล่ะก็มันจะงอกมาใหม่หนากว่าเดิมเช่นกัน บางคนเชื่อว่าถ้าโกนผมทิ้งซะ ผมที่ขึ้นใหม่จะขึ้นดกหนากว่าเดิม


          การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีมานานแล้ว และมีหลักฐานที่เชื่อถือได้มากมาย เช่น จาก Rachel C. Vreeman และ Aaron E. Carrol นักวิจัยที่สถาบันเกี่ยวกับสุขภาพเด็กได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
 
          “มีหลักฐานอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1928 แล้ว โดยมีการทดลองให้เห็นว่าการโกนขนนั้นไม่มีผลอะไรกับการงอกใหม่เลย แม้กระทั่งงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ก็แสดงให้เห็นว่า มันไม่มีผลอะไรเลยในการที่เราโกนผม เพราะผมที่โกนไปมันเป็นแค่ขนที่ตายแล้ว จะไปมีผลกับการงอกใหม่ได้ยังไงกัน”


          จริงๆ แล้วผมหรือขนที่งอกขึ้นใหม่นั้น จะยังไม่โดนแสงแดดและสารเคมีใดๆ เลยยังมีสีเข้มอยู่ เลยทำให้ดูหนากว่าเดิม รวมทั้งขนหรือผมที่ขึ้นใหม่ๆ นั้นให้ความรู้สึกหยาบๆ (จั๊กกะจี้ เวลาสัมผัส) คนทั่วไปเลยมีความรู้สึกว่ามันหนาขึ้น


Photo by Victor Hertz.Photo by Victor Hertz.


Myth 2:วิธีนับแคลเลอรี่ คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดต่อการควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพ


          เราเชื่อกันมาเสมอว่า แคลเลอรี่ที่ทานเข้าไป กับที่ใช้งานนั้น เพียงพอแล้วต่อการลดน้ำหนัก แต่ถ้าคิดกันง่ายๆแบบนั้น ก็ยังมีคำถามว่า ทำไมคนบางคนถึงไม่เคยผอมซักที? จริงอยู่ที่ว่า การทานอาหารน้อยๆ นั้นมีผลต่อการลดน้ำหนักแน่ แต่ไม่ใช่ว่าอาหารทั้งหมดที่แคลเลอรี่เท่ากัน จะมีผลต่อร่างกายเหมือนๆ กันไปหมด   ร่ายกายคนเราไม่ได้ทำงานกันง่ายๆแบบนั้น


          ตัวอย่างง่ายๆ เชื่อกันไหมว่า ข้าวขาหมู 1 จาน กับข้าวยำปักษ์ใต้ 1 จาน จัดมาให้แคลเลอรี่เท่าๆ กันจะมีผลต่อร่างกายในการควบคุมน้ำหนักเหมือนกัน?


          ในบทความต้นฉบับ ยกตัวอย่างว่า ให้ลองนึกถึงช็อคโกแล็ตแท่งกับแตงกวาดู ทั้งสองอย่างรสชาติไม่เหมือนกัน ส่วนประกอบก็ต่างกัน คิดว่ามันมีผลต่อร่างกายเหมือนๆกันจริงๆหรือ?


          แนวคิดแบบนี้มีปัญหาก็เพราะว่า แคลเลอรี่ มันเป็นแค่หน่วยวัดเมตริกหน่วยนึงเท่านั้นมันเป็นแค่หน่วยที่วัดว่า (จากวิกิครับ) “พลังงานโดยประมาณ ที่ทำให้น้ำ 1กรัมมีความร้อนสูงขึ้น 1องศา” เมื่อแคลเลอรี่เป็นแค่หน่วยวัด มันจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ร่างกายใช้จริงแต่อย่างไร เทียบกันง่ายๆ อย่าหลอกตัวเองว่ากินขนมที่มีแต่ไขมันและน้ำตาลแท่งหนึ่งที่พลังงานเท่าๆ กับอาหารที่มีโปรตีนและแป้งอย่างเหมาะสม มันจะทดแทนกันได้เพียงเพราะมันมีแคลเลอรี่เท่าๆกัน!! (ถึงจุดนี้มีการทดลองอื่นๆ อีก ผมแนะนำให้อ่านบทความต้นฉบับครับ น่าสนใจมาก เช่นมีคนทดลองลดน้ำหนักได้สำเร็จด้วยการกินแต่ขนมก็มี แต่มันหมายความว่ายังไง?)
 
          บทความนี้สรุป ว่าถึงการที่เราทานอาหารที่เพียงพอต่อวันโดยนับหน่วยเป็นแคลเลอรี่จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ร่างกายของเราซับซ้อนกว่านั้นมาก การที่จะลดน้ำหนักการอยากมีสุขภาพที่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับการทานอาหารที่ดีและสมดุล การออกกำลังกายกล้ามเนื้อในร่างกาย พื้นฐานการใช้ชีวิต และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย


          ความเห็นผู้แปล โดยรวมๆ ส่วนตัวผมคิดว่าบทความนี้อยากจะบอกทุกคนว่า การมีสุขภาพที่ดี และการลดน้ำหนักนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตารางแคลเลอรี่เท่านั้น การทานอาหารอย่างรู้ว่าเราทานอะไร ลงไป การใช้ชีวิต และอื่นๆมีผลต่อตัวเราทั้งนั้นครับ  ฉะนั้นเวลาที่ใครซักคนคิดจะลดน้ำหนัก แล้วเอาแต่นับแคลเลอรี่อย่างเดียว โดยไม่สนใจปัจจัยภายในอื่นๆด้วย ทั้งของอาหารที่ทานเข้าไป และ การออกกำลังกาย จึงไม่น่าจะถูกต้องครับ


Photo by Joi Ito.Photo by Joi Ito.


Myth 3: คนเราต้องการการนอนวันละ 8 ชั่วโมง


          เราทุกคนถูกสอนกันมาตลอดว่าต้องนอนให้ครบแปดชั่วโมงนะเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งก็อาจจะจริงสำหรับบางคน แต่...มันก็ไม่จริงเสมอไปสำหรับทุกคน......


          The Hindustan Time(http://www.hindustantimes.com/Lifestyle/Wellness/Why-even-4-hours-of-sleep-is-enough/Article1-774229.aspx)  ชี้ให้เห็นถึงการทดลองตัวหนึ่งจากทางยุโรปว่า ผู้ที่มี ยีนที่รู้จักกันในนาม ABCC9 นั้นสามารถนอนหลับอย่างเพียงพอได้โดยไม่จำเป็นต้องนอนให้เท่าๆคนอื่นๆทั่วๆไป การศึกษานี้ ได้ทำการทดลองในแมลงวันผลไม้ที่มียีนตัวนี้ แล้วก็พบเช่นเดียวกันว่าแมลงวันพวกนี้ต้องการพักผ่อนน้อยกว่าปรกติเช่นกัน


          ในบทความต้นฉบับเคยมีการสำรวจเช่นกันว่าผู้อื่นแต่ละคนต้องการการนอนวันละกี่ชั่วโมง ผลจากการสอบถามครั้งนั้น ก็ยืนยันผลการศึกษานี้เช่นกัน เพราะบางคนก็บอกว่า 8 ชั่วโมงจำเป็นมาก ในขณะที่บางคนบอกว่า 8 ชั่วโมงสำหรับเขานั้นมากเกินไป


          นอกจากนั้นยังมีการศึกษาอีกตัว (http://www.wired.com/science/discoveries/news/2007/12/sleep_deprivation) ที่ศึกษาเกี่ยวกับสารเคมีตัวนึงที่ชื่อ Orexin A ที่เชื่อกันว่า จะเป็นตัวที่มาแทนที่การนอนหลับได้ และสารนี้ก็มีอยู่เล็กน้อยในมนุษย์ด้วย และเมื่อสารตัวนี้หมดไปจะทำให้คนเรารู้สึกเหนื่อย


          ตั้งแต่มีการพบสารตัวนี้มาก็ มีการนำสารตัวนี้มาทำเป็นสเปรย์พ่นทางจมูก (เพื่อการทดลองเท่านั้น!)เพื่อการศึกษาในการรักษาโรค Narcolepsy (http://en.wikipedia.org/wiki/Narcolepsy) หรือโรคผิดปกติทางการนอน โดยการศึกษาที่สถาบัน UCLA โดยทดลองกับลิง พบว่าลิงที่ไม่ได้นอนมา 30-36 ชั่วโมงที่ได้รับสาร Orexin A เข้าไป มีความตื่นตัวเหมือนลิงที่นอนมาปรกติ


          การศึกษาเกี่ยวกับ Orexin A นั้นยังค่อนข้างใหม่ครับ แต่ผลสรุปคร่าวๆ อาจจะชี้ให้เห็นว่า การนอนอาจจะไม่ได้มีผลอย่างที่เราคาดกันไว้ในอดีต และการนอน 8 ชั่วโมงนั้นอาจจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไปกับทุกๆคนครับ


          ความเห็นผู้แปล  เรื่องนี้ผมไม่มีความเห็นครับ เรื่องสาร Orexin A ผมก็เพิ่งเคยได้ยิน แต่เรื่องนี้ก็คงบอกได้อย่างดีว่าทำไมบางคนนอนน้อย แต่ก็ยังทำงานได้ปรกติครับ


Photo by Giles Cook.Photo by Giles Cook.


Myth 4: อ่านในที่แสงไม่พอทำให้ตาบอด/สายตาสั้น


          หลายๆ คนคงเคยโดนว่าอยู่เสมอเวลาที่อ่านหนังสือในที่มืดๆ ว่าจะทำให้สายตาสั้นหรือ ถึงขนาดตาบอด แต่จริงๆ แล้วจากการศึกษาพบว่า  การอ่านหนังสือในที่แสงไม่พอนั้น อาจจะทำให้ตาล้าไปบ้าง แต่ไม่ทำให้ผลอะไรถาวรกับดวงตาเราอย่างแน่นอน


          Rachel C. Vreeman และ Aaron E. Carrol กล่าวไว้น่าสนใจว่า ชอบมีการพูดว่าคนที่มีการศึกษาสูงๆ( อ่านหนังสือมาเยอะ) มักจะเป็นกลุ่มที่สายตาสั้น แต่มันขัดแย้งกับความจริงที่ว่า นักวิชาการในสมัยก่อนๆ ที่ยังไม่มีไฟฟ้า นั้นก็อ่านกันในที่แสงไม่พอเช่นกัน


          แต่พอช่วงหลังๆ ที่มีไฟฟ้าแล้ว กลับโทษว่าที่คนสายตาสั้นเพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะอ่านหนังสือในที่ไฟไม่พอ และเพื่อยืนยันเรื่องนี้ผู้เชียวชาญจำนวนมากก็ยืนยันว่าการอื่นหนังสือในที่แสงไม่พอนั้นไม่มีผลอะไรกับดวงตาเช่นกัน


          ความเห็นผู้แปล  เรื่องนี้ผมก็โดนว่าอยู่บ่อยๆ เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เปิดไฟอ่านต่อไป


Photo by Sam Howzit.Photo by Sam Howzit.


Myth 5: ปัสสาวะช่วยลดอาการเจ็บปวดจากพิษของแมงกะพรุนได้


          ใครเคยดู Friend อาจจะเคยเห็นตอนที่ตัวละครตัวนึงโดนแมงกะพรุนเข้า และมีคนบอกว่าให้ปัสสาวะรด จะช่วยลดความเจ็บปวดได้  ...จริงหรือ?


          หลายๆ คนอาจจะเคยได้ Fwd เมล์หรือมีการเล่าต่อๆกันมาว่าฉี่ช่วยลดพิษจากแมงกะพรุนได้ แต่ความจริงเป็นอย่างไร?


          Mark Leyner และ Dr. Billy Goldberg, ผู้แต่ง Why Do Men Have Nipples?, อธิบายว่า


          สิ่งที่ควรทำเวลาโดนแมงกะพรุนต่อยเอาก็คือ พยายามเอาหนวดมันออกมาให้หมด ให้ใช้ถุงมือถ้าเป็นไปได้ บริเวณที่โดนนั้นให้ใช้น้ำสมสายชูล้างเพราะจะช่วยให้พิษกระจายช้าลง ถ้าหาน้ำส้มสายชูไม่ได้ ให้ใช้น้ำทะเลเพื่อล้าง


          จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า การใช้ ปัสสาวะ แอมโมเนีย และแอลกอฮอลล้างบริเวณที่โดนพิษนั้นจะทำให้ปวดแสบร้อนยิ่งขึ้น ซึ่งก็หมายความว่าการปัสสาวะรดนั้นนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังทำให้แย่กว่าเดิมลงไปอีก ครับ


          ความเห็นผู้แปล เรื่องนี้ผมเพิ่งเคยได้ยินเลยนึกว่าเป็นเรื่องที่เฉพาะพวกฝรั่งเล่ากัน แต่พอไปลองค้นดูก็พบว่า มีคนไทยส่วนหนึ่งเชื่อเรื่องนี้เหมือนกันครับ


Photo by Tony Alter.Photo by Tony Alter.


Myth 6: เพราะว่าฉันเป็นคนที่มี Metabolism ต่ำ ก็เลยทำให้ฉันเป็นคนอ้วน



          ที่บางคนผอมน่ะ เพราะมี อัตรา Metabolism สูงเขาเลยมีสุขภาพที่ดี, บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้างแล้วเป็นเรื่องจริงหรือไม่? ก็ไม่เสมอไป


          ครั้งหนึ่ง สำนักข่าว ABC เคยสัมภาษณ์ Dr. Jim Levine เกี่ยวกับการศึกษาที่ Mayo Clinic ที่มีการศึกษาเกี่ยวกับ อัตรา metabolism ของคนในทั้งกลุ่มคนอ้วนและคนผอม


          จากการศึกษาจากคนไข้สองคนพบว่า เรื่องนี้ตรงข้ามกับความเชื่อเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง โดยสรุปผลจากการศึกษาง่ายๆ ได้ว่า คนที่มีร่างกายหนักกว่านั้นก็ย่อมต้องมีการ Metabolism เพื่อทำให้ร่างกายทำงานต่อไปได้อย่างดี ในขณะที่คนที่มีน้ำหนักน้อยนั้น อัตรา metabolism จะต่ำกว่า


          Dr.Levin กล่าวว่าผลจากปัญหาเรื่องน้ำหนักนั้น มาจากผลเรื่องการ metabolism น้อยมากเมื่อเทียบกับลักษณะการใช้ชีวิตของผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก และยังไม่ต้องพูดว่าปัญหาพวกนี้ยังเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่ทาน การออกกำลังกายและปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ปัญหาเรื่อง metabolism นั้นเป็นเพียงปัญหาเล็กๆมากๆตัวหนึ่งเท่านั้น


          ความเห็นผู้แปล  อ้วนไม่อ้วนเลิกโทษการเผาผลาญไม่เท่ากันได้แล้วครับ


Photo by Faith Goble.Photo by Faith Goble.


Myth 7: เราจะเป็นหวัดถ้าเราถูกอากาศหนาว (หรือตัวเปียก)


          เราคงถูกสอนมาตลอดว่า ให้ห่มผ้าให้ดีเวลาอากาศหนาว หรือว่าถ้าตัวเปียกให้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวจะเป็นหวัด แต่จริงๆ แล้วหวัดนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส คุณต้องสัมผัสกับเชื้อไวรัสคุณถึงจะเป็นหวัดได้


          Mark Leyner และ Dr. Billy Goldberg, ผู้แต่ง Why Do Men Have Nipples?,(ท่าทางจะฮิตนะหนังสือเล่มนี้) อธิบายว่า


          “อากาศหนาวหรือการที่ตัวเปียก ไม่ได้ทำให้เราเป็นหวัดแต่อย่างใด แต่เหมือนคนส่วนใหญ่จะไม่อยากยอมรับความจริงนี้กันเท่าไหร่นัก ไข้หวัดทั่วๆไปนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส ไวรัสมีอยู่ในทุกที่และก็เป็นการยากที่เราจะไม่สัมผัสมัน เวลาที่คุณเจอใครซักคนที่เป็นหวัด เป็นไปได้สูงว่าคุณจะติดหวัดจากเขา เพราะฉะนั้นให้ระวังไว้เวลาพบคนเป็นหวัดโดยต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ  การนอนไม่พอการทานอาหารอย่างไม่เพียงพอจะทำให้คุณมีภูมิต้านทานต่ำลงและติดหวัดได้ง่าย จงจำไว้ว่า antibiotics นั้นไม่ได้ช่วยคุณจากหวัด antibiotics จะทำงานกับแบคทีเรียเท่านั้น การพักผ่อน และการทานอาหารที่ดีต่างหากที่ช่วยคุณจากหวัดได้”


          แต่ถ้าเรื่องนี้จริง ทำไมคนส่วนมากมักเป็นหวัดกันในหน้าหนาวและเวลาเจออากาศหนาวๆ ล่ะ จริงๆแล้วคุณหมอก็ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็มีทฤษฎี อยู่บ้างว่า ในหน้าหนาว คนเรามักจะอยู่ใกล้กัน และอยู่ในบ้านหรืออาคารซะมากกว่ากลางแจ้งเลยเป็นโอกาสที่จะทำให้ติดหวัดได้มากขึ้น


          ความเห็นผู้แปล  ผมเคยคิดว่าที่โดนฝนแล้วเป็นหวัดได้ง่ายนั้นอาจจะไม่ใช่เพราะตัวเปียก แต่เพราะน้ำฝนสกปรกหรือเปล่า ความเห็นส่วนตัวนะครับ


Photo by Jenny Downing.Photo by Jenny Downing.


Myth 8: ความร้อนส่วนใหญ่ของคนเราถูกระบายออกทางหัว


          เวลาหนาวๆ แล้วใส่หมวกไว้ดูเหมือนจะอุ่นขึ้นจริงไหมครับ  ฉะนั้นถ้ามีคนบอกคุณว่าความร้อนของคนเราส่วนใหญ่ถูกระบายออกทางหัว ก็อาจจะไม่ดูเกินจริงไปนัก แต่จากผลการศึกษาพบว่า  ใส่หมวกไว้ ก็แค่ช่วยให้หัวคุณอุ่นขึ้น  ...แค่นั้นล่ะครับ


          Rachel C. Vreeman และ Aaron E. Carrol ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า


          “เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเก่ามากๆ ที่เล่ากันมาจากการศึกษาในกองทัพโดยให้ ผู้ถูกทดลองอยู่ในที่มีอากาศหนาวมากๆ และใส่ชุดสำหรับกันหนาวไว้โดยไม่ใส่หมวก และลองวัดอัตราการศูนย์เสียความร้อนแล้วพบว่า ความร้อนส่วนใหญ่นั้นสุญเสียไปจากทางหัว แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะว่ามันเป็นส่วนเดียวที่สัมผัสความเย็นโดยตรงต่างหาก


          นักวิจัยกล่าวว่าลอง ให้การทดลองนี้กลับกันโดยให้ใส่ชุดว่ายน้ำแทน ดูสิ แล้วคุณก็จะพบว่าความร้อนที่เสียจากหัวน่ะ ไม่เกิน 10% หรอกและจากการศึกษาในปัจจุบันก็พบว่า ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับหัวของคนเราในการระบายความร้อน สรุปแล้ว ถ้าหนาวมากๆ ก็ใส่ชุดให้มิดชิด แค่นั้นเอง”


          ความเห็นผู้แปล เรื่องนี้เป็นบทความของชาวต่างชาติ ส่วนตัวผมไม่ค่อยเคยได้ยินเรื่องนี้นักครับ เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ไม่แน่ใจว่าจากไหน


Photo by Linda Tanner.Photo by Linda Tanner.


Myth 9: เวลาโดนงูกัด ให้ใช้ปากดูดพิษออก


          เราคงเคยผ่านตาจากหนังหรือละครมาบ้างที่พระเอกดูดพิษออกจากแผลของนางเอกด้วยปากตอนที่นางเอกโดนงูกัด จนคนส่วนใหญ่คงเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง แล้วจริงๆแล้วมันเชื่อได้ไหม?


          Mark Leyner และ Dr. Billy Goldberg, ผู้แต่ง Why Do Men Have Nipples?,(ต้องไปหามาอ่านแล้วมั้งนี่) บอกว่า สภากาชาดได้บอกวิธีปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัดไว้ดังนี้


1. ล้างแผลที่ถูกกัดด้วยสบู่และน้ำ
2. ทำให้ส่วนที่ถูกกัดไม่เคลื่อนไหวและพยายามทำให้อยู่ต่ำกว่าหัวใจไว้
3. รีบพบแพทย์หรือรับการรักษาทันที


          ในบางกรณีอาจจะมีการแนะนำให้มีการรัดเหนือแผลไว้เพื่อลดการกระจายของพิษด้วย


****เครดิตเฉพาะรูปนี้จาก http://shadowfire-x.deviantart.com/art/Green-Mamba-50991795


Photo by Peter Hess.Photo by Peter Hess.


Myth 10 การปลุกคนที่เดินละเมอเป็นเรื่องอันตราย



          จริงๆ แล้วการไม่ปลุกคนที่เดินละเมอต่างหากที่อันตรายบทความต้นฉบับกล่าวว่า ที่ว่าอันตรายที่จะปลุกคนเดินละเมอน่าจะเพราะคนส่วนใหญ่ที่โดนปลุกโดนปลุกโดยวิธีทุบให้รู้สึกตัวต่างหาก และคนที่ตื่นขึ้นมาก็อาจจะรู้สึกตกใจพอสมควรที่ตัวเองตื่นขึ้นมาในที่ไหนก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่เตียงที่ตัวเองเข้านอน และอาจจะทำให้คนที่ถูกปลุกบางคนรู้สึกกลัวได้ 


          แต่ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วการปล่อยให้คนเหล่านี้เดินไปเรื่อยๆ ต่างหากที่อันตรายเพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินไปไหนหรือมีอะไรอันตรายอยู่บ้าง


          Dr. Ana C. Krieger จาก Sleep Disorders Center at New York University กล่าวว่าทางที่ดีที่สุดที่จะจัดการเรื่องนี้ก็คือ พยายามพาคนที่เดินละเมอไปนอนที่ไหนซักที่ หรือถ้าจำเป็นก็ค่อยๆปลุกเขาขึ้นมา แต่สิ่งที่ดี ที่สุดก็คือพาพวกเขากลับไปที่เตียงที่เขานอนอยู่ตอนแรกนั่นเอง


          ความเห็นผู้แปล   เรื่องนี้ก็ไม่คุ้น  แต่ผมเองเคยมีคนเล่าเหมือนกันว่าละเมอหนักมาก ถึงขนาดโวยวาย หรือลุกขึ้นมาเดินเลยทีเดียว เคยมีประสบการณ์ตื่นขึ้นมาแล้วงงๆว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงอยู่สองถึงสามครั้งครับ


Adam Dachis เขียน
 xnone แปล
Jaideejung007 เรียบเรียง
10 Stubborn Body Myths That Just Won’t Die, Debunked by Science ที่มา(ต้นฉบับ)
10 Myth -10 ความเชื่อผิดๆ ฝังหัวเกี่ยวกับร่างกาย ที่ยังเชื่อกันถึงทุกวันนี้ แปลภาษาไทย


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์