คาโรชิ ตายคางาน

คาโรชิ ตายคางาน


เมื่อต้นเดือนนี้ ซีเอ็นเอ็นและสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง ได้เสนอข่าวพนักงานของร้านอาหารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศได้เสียชีวิต ระหว่างทำงานที่สาขาในจังหวัดไซตะมะ โดยเส้นโลหิตในสมองแตก ทั้งๆ ที่เขามีอายุเพียง 32 ปี ในข่าวระบุว่าเขาเสียชีวิตเนื่องจากการทำงานมากเกินไป



กรณีดังกล่าวภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า คาโรชิ ซึ่งแปลตามตรงคือ การตายเพราะทำงานมากเกินไป สาเหตุของการตายส่วนใหญ่ เกิดจากหัวใจวาย และเส้นโลหิตในสมองแตก เพราะความเครียดจากการทำงาน


เมื่อ พ.ศ. 2512 มีรายงานเรื่องแรกเกี่ยวกับการเสียชีวิตของคนงานวัย 29 ปี ซึ่งทำงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์รายใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น แต่ยังไม่ได้รับความสนใจ ในวงกว้างจนกระทั่งสิบกว่าปีต่อมา ในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ที่มีผู้บริหารระดับสูงในแวดวงธุรกิจของญี่ปุ่นหลายคน เสียชีวิตกะทันหัน


โดยไม่มีวี่แววเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยมาก่อน ซึ่งก่อให้เกิดความสนใจของสื่อมวลชนสาขาต่างๆ ปรากฏการณ์นั้นได้รับการขนานนามอย่างเป็นทางการกว่า คาโรชิ ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา กระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นจึงได้เผยแพร่สถิติของผู้เสียชีวิตจากอาการดังกล่าวสู่สาธารณชน



ปีนี้ คาโรชิ กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อวิศวกรคนสำคัญคนหนึ่งของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันขณะกำลังทำงานในปี 2549 โดยมีอายุ 45 ปีเนื่องจากทำงานล่วงเวลาเดือนละมากกว่า 80 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลานาน ครอบครัวของเขาได้รับเงินชดเชยจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้


ปัจจุบันการฟ้องร้องเกี่ยวกับการตายเพราะทำงานมากเกินไปของญาติผู้เสียชีวิต ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น แต่การจะได้รับเงินชดเชยนั้น จะต้องให้หน่วยงานของกระทรวงแรงงานรับรองว่า การเสียชีวิตดังกล่าวเป็นผลมาจากการทำงานมากเกินไปเสียก่อน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานดังเช่น กรณีของวิศวกรบริษัทรถยนต์


คาโรชิ ตายคางาน


เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า คนญี่ปุ่นนั้นขยันทำงานมากและบางครั้งก็เต็มใจทำงานล่วงเวลาฟรี โดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจ ญี่ปุ่นซบเซาเช่นนี้ ทั้งผู้บริหารและพนักงานบริษัทต่างพากันทำงานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้องค์กรของตนผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ถึงกระนั้นก็ตาม บริษัทต่างๆ ก็พยายามหาวิธีการคลายเครียดให้แก่พนักงาน เพื่อป้องกันปัญหา คาโรชิ  เช่น กิจกรรมสันทนาการ การให้ผลัดเปลี่ยนกัน หยุดพักผ่อนติดต่อกันหลายวัน การตรวจสุขภาพ ฯลฯ



ลองมาย้อนดูคนไทยเราเองบ้าง นอกจากปัญหาเรื่องงานแล้ว ความวุ่นวายทางการเมืองยังทำให้ความเครียดเพิ่มสูงมากขึ้นในขณะนี้ ดังผลการสำรวจ ที่ได้เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ เมื่อต้นเดือนนี้
วิธีการที่ดีที่สุดคือ ปล่อยวาง และ คิดในแง่บวก จะทำให้ความกดดันต่างๆ รอบตัวมีผลกระทบต่อเราน้อยลง


ปล่อยวาง
หมายถึง การทิ้งปัญหาเรื่องงานไว้ที่บริษัท โดยไม่นำไปหมกมุ่นครุ่นคิดต่อที่บ้าน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเครียดจนนอนไม่หลับ อันเป็นผลเสียต่อสุขภาพ เพราะการนอนหลับที่สมบูรณ์นั้น ต้องมีทั้งปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือ ระยะเวลาการนอนแต่ละวันไม่ควรต่ำกว่า 6 ชั่วโมงและจะต้องเป็นการนอนหลับสนิทด้วย ถ้าไม่มีการฝันใดๆ ทั้งฝันดีและร้ายจะยิ่งทำให้การนอนมีคุณภาพมากขึ้น



คิดในแง่บวก
คือมองว่าปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ ในกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ด้วยตนเอง ก็ควรจะปรึกษาหารือเพื่อนร่วมงาน เพื่อขอความคิดเห็น ต้องไม่ลืมว่า หลายหัวดีกว่าหัวเดียว
มนุษย์ไม่สามารถทำงานตลอดเวลาได้ เพราะต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ เช่นเดียวกับเครื่องจักร ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพเพียงใดก็ต้องมีการพักเครื่องบ้าง

สัญญาณเตือนภัยของความเครียด เช่น
การปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มึนงง คลื่นไส้ เบื่ออาหาร นอนหลับยาก เป็นต้นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ การเอาจริงเอาจังกับการทำงานนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมีการบริหารเวลาอย่างเหมาะสม และจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของงาน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องแลกกับชีวิตด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์


เครดิต :
เครดิต : ที่นี่ดอทคอม บันเทิงดารา


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์