รักแท้มีจริง (คุณกับเขา เป็นคู่บุญ หรือ คู่กรรม กันแน่)

รักแท้มีจริง (คุณกับเขา เป็นคู่บุญ หรือ คู่กรรม กันแน่)


รักแท้มีจริง (คุณกับเขา เป็นคู่บุญ หรือ คู่กรรม กันแน่)


หญิง ชาย ที่เพิ่งรู้จักกันนั้นจะก่อความรู้สึกขึ้นได้สองอย่าง คือ ‘ดึงดูด’ หรือ ‘ผลักออก’ ความรู้สึกดึงดูดหมายถึง ความชื่นชม อยากมอง อยากฟัง อยากอยู่ใกล้ชิด ตลอดจนอยากมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งด้วย  ความรู้สึกผลักออกหมายถึง ความรังเกียจ อยากเมิน อยากห่าง ตลอดจนปั่นป่วนมวนท้องเพียงแค่คิดว่าจะต้องมีอะไรทางเพศกัน
ความดึงดูด และ ความผลักออก เมื่อมารวมกันแบ่งเป็น ๕ แบบ ดังนี้

๑) ความดึงดูดระหว่างธาตุ
ชายหญิงจะเกิดความรู้สึกทางเพศได้แม้ไม่เคยรู้จักกัน กับทั้งไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติหรือรูปสมบัติใดๆที่เหมาะสมกันเลย แค่เป็นชายเป็นหญิง ก็มีแรงดึงดูดเข้าหากันอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอพวกเสน่ห์เร้าใจสูง ความหน้ามืดจะทำให้คุณแยกไม่ออก และอาจโมเมทึกทักว่าเป็นคู่บุญของคุณอย่างไร้ความกังขา ทั้งที่ความจริงอาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้

๒) ความไม่เข้ากันระหว่างธาตุ
แค่เป็นชายเป็นหญิง ก็มีแรงผลักออกจากกันแฝงอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าธาตุนิสัยแตกต่างกันแบบสุดขั้วราวกับยืนอยู่คนละข้างเวทีมวย คุณก็อาจเมินไม่รับไว้พิจารณาเอาเลย แม้ในความเป็นจริงถ้าคุยกันดีๆแค่รอบเดียว ความรู้สึกก็อาจพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือไปเลยก็ได้

๓) ความดึงดูดกันด้วยอำนาจบุญ
ความดึงดูดกันด้วยอำนาจบุญ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนเสมอไป แม้ความรู้สึกแรกจะอยากเข้าหากันเป็นพิเศษ ก็ต้องดูด้วยว่าพื้นฐานความรู้สึกที่มีต่อกันเป็นแบบไหน ถ้าขยับความสัมพันธ์ไปในเชิงชู้สาวแล้วจะมีฝ่ายใดเดือดร้อนไหม บางคู่มีอันต้องเลิกคบกันดื้อๆ เพียงเพราะฝ่ายหนึ่งเปิดเผยความในใจแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ก็นับว่าน่าเสียดายมิตรภาพไม่น้อย

๔) ความผลักดันกันด้วยอำนาจบาป
บาปเป็นธรรมชาติด้านมืด บันดาลให้เกิดผลด้านร้าย ฉะนั้นคู่ที่เคยร่วมกันทำบาปหรือผูกเวรกันมามากในชีวิตก่อน ย่อมได้ร่างกายและจิตใจในชีวิตนี้ที่ผลักดันกันออกห่าง ไม่พอใจกันและกัน กับทั้งเป็นทุกข์เมื่อต้องอยู่ใกล้กัน แต่การจองเวรนั้นพิสดารนัก ถ้ารูปแบบของการจองเวรกันเป็นไปในแบบผัวเมีย ชาติปัจจุบันจะเริ่มความสัมพันธ์ด้วยแรงดึงดูดทางเพศเกินห้ามใจก่อน แล้วจึงตามมาด้วยแรงผลักทางอารมณ์ที่น่ารุ่มร้อนในภายหลัง ความดึงดูดกันในเบื้องต้นไม่ได้เป็นประกันว่าคุณกับเขาเป็นคู่บุญ โดยที่แท้อาจเป็นคู่เวรก็ได้ ฉะนั้น ถ้ารู้ตัวว่าเจอคู่เวร และไม่อาจหนีพลังดึงดูดอันมหาศาลของหลุมดำได้ ก็ให้เลือกว่าเจอครั้งนี้เพื่อยุติศึก อย่าได้เจอกันเพื่อต่อเวรอีกเลย

๕) ความรู้สึกเฉยต่อกัน
ตามธรรมชาติแล้ว คู่ที่ไม่มีรากแก้วของทั้งบุญทั้งบาปยึดเหนี่ยวกันไว้ โดยมากจะคบกันอย่างผิวเผินแล้วจากกันอย่างรวดเร็ว กับทั้งสามารถลืมกันและกันได้อย่างสนิทภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ในทางกลับกัน คู่ประเภทนี้ก็อาจนับชาติปัจจุบันเป็น ‘ก้าวแรกที่เริ่มเดินไปในทิศเดียวกัน’ ได้ เช่น ถ้าไม่เคยทำบุญในพุทธศาสนาร่วมกันมาก่อนเลย แล้วมีโอกาสร่วมกันทำสักครั้ง ต่อให้จากกันไปตามวิถีแห่งชะตาที่ถูกกรรมเก่ากำหนดมา ก็จะได้เจอกันอีกในชาติต่อๆไป และมีโอกาสร่วมทางกันนานขึ้น
ทุกคนเคยผูกกรรมกันไว้ก่อน และกรรมที่ทำร่วมกันจะเป็นตัวกำหนดความรู้สึกช่วงแรกคบ กับทั้งจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางชะตาการครองคู่ ว่าเป็นเส้นตรงราบเรียบหรือพลิกผันกลับไปกลับมาอย่างไร ไม่สำคัญว่าคุณจะเคยผูกกรรมกับใครไว้ตั้งแต่เมื่อกี่ร้อยชาติก่อน ต่อให้ไม่เจอกันร้อยชาติ พอมาจับคู่กันก็ต้องรับผลเท่ากับเพิ่งทำเมื่อชาติที่แล้ว

กรรมไม่เหมือนความทรงจำ ความทรงจำยิ่งนานยิ่งเลือนไป ส่วนกรรมนั้นจะนานแค่ไหนก็อยู่ยั้งยืนยงเช่นเดิมจนกว่าจะให้ผล เหมือนกับสัจจะความจริง ที่เมื่อเกิดสิ่งใดขึ้น ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงว่าสิ่งนั้นเคยเกิดขึ้น จะบอกว่าไม่เกิดขึ้น หรือลดปริมาณ ลดคุณภาพของการเกิดขึ้นไม่ได้

กรรมจะจัดสรรทุกอย่าง นับแต่ดึงดูดคู่กรรมมาพบกัน บันดาลให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคย ตลอดจนส่งแรงดึงดูดหรือแรงผลักออก โดยไม่สนใจว่าคู่กรรมต้องการให้เป็นไปเช่นนั้นหรือไม่



คัดจากบทความในคอลัมภ์ รักแท้มีจริง โดยคุณดังตฤณ
จาก ธรรมะใกล้ตัว (dhmrda in hand) ธรรมะสำหรับคนยุคใหม่

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์