เมื่อผู้หญิงขับรถ (ในมุมมองของผู้ชาย)

เมื่อผู้หญิงขับรถ (ในมุมมองของผู้ชาย)


เคยสงสัยในประโยคที่ว่า “แม่ง...ผู้หญิงขับแน่ๆ คันนี้” ไหมครับว่า มันมีที่มาจากจุดไหน และทำไมมันถึงต้องเหมารวมกันให้เสียภาพลักษณ์สาวไทยหลังพวงมาลัยขนาดนี้ ผมในฐานะตัวแทนผู้ชาย สารถี และผู้โดยสาร จะขอชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกัน


ผมเองคงไม่ต้องอธิบายให้เข้าใจว่าโลกหลังพวงมาลัย หรือใน Cockpit นั้นน่าตื่นเต้นแค่ไหน เพราะทุกอย่างสงบนิ่งแทบเท้าที่ปลายคันเร่งไม่ว่าจะเหยียบหรือผ่อนความรู้สึกแบบนี้แหละครับที่เราเรียกว่า Racer’s Instinct คือการพุ่งทะยานออกไปได้ไกลกว่าคนอื่น เร็วกว่าคนอื่น แต่ถ้าเป็นเรื่องแรงๆ เหล่านี้กับผู้หญิง อืมม์... พวกเราหลายคนยอมรับสารภาพจริงๆ ว่ามันไม่ได้เข้ากับพวกเธอเลย บางครั้งมีแอบวูบคิดมาว่าเธอกำลังทำเรื่องงี่เง่าแท้ๆ

แน่นอนครับ แม้มันเป็นการเหมารวมที่โลกแคบ-คนถ้ำสุดๆ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
สิ่งหนึ่งที่ผู้โดยสารชายอย่างเราตั้งข้อสังเกต แถมหวาดกลัวต่อพฤติกรรมการขับรถของผู้หญิง ก็คือ ห้วงอารมณ์ของสาวเจ้าก่อนขับรถ และระหว่างขับรถนี่เองครับ เมื่อตอนก่อนจะสตาร์ต เครื่องก็งดงามตามกุลสตรีไทยดี แต่พอได้บี้คันเร่งแล้วกลับกลายเป็นคนละคนไปเสียได้ คุณเธออาจจะหยาบคาย ก่นด่า บ่นบ้า ออกตัวเกียร์สอง สาดไฟสูง ปาดหน้า หรือเบรกซะคันข้างหลังหัวคะมำ เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งนั่นน่าหวาดเสียวกับคนนั่งด้วยเป็นที่สุด หากแต่ตอนออกจากห้วงอารมณ์คนขับ แล้วก็กลายเป็นยอดหญิงคนเดิม ซึ่งนี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า ร่างอวตารก่อนหน้านี้มันมาจากไหนกันแน่ เอ๊ะ...ติดเรามาหรือเปล่าก็คงไม่ใช่ จริงอยู่ที่ผู้ชายฉุนเฉียวเกือบทุกครั้งขณะขับรถ แต่เรามั่นใจเหลือเกินว่า เราไม่พยายามพาใครไปตายด้วยแน่ๆ

ทีนี้ พฤติกรรมการขับรถแบบ‘พาใครไปตาย’ของสาวเจ้านี่แหละครับที่น่าเป็นห่วง โปรดอย่าทักท้วงเลยนะครับ เพราะผู้หญิงหลายคนตัดสินใจได้ช้ามากในเสี้ยววินาทีที่จำเป็น จะให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่นการเปิดไฟเลี้ยวแช่มันไว้อย่างนั้นแล้วไม่ยอมไปซะที คร่อมเลนมันอยู่ได้เป็นกิโลเมตร หรือการเร่งแซงที่ช้ามาก จนบางครั้งทำให้เข้าใจได้ว่า พวกเธอจะขับรถเอาโล่ระเบียบวินัย โธ่...ชีวิตมันไม่ได้ยากขนาดนั้นเลย กับอีแค่เรื่องแซงคันข้างๆ หรือถ้าให้ยกเหตุการณ์ที่รวดเร็ว รุนแรงกว่านั้น เช่น จังหวะกลับรถ ขับจี้คันข้างหน้าเผื่อผ่านไฟแดง หรือย่านความเร็วที่เกินเกียร์สี่ ผสมรวมกับการตัดสินใจที่หลายครั้งแสนจะชักช้าของพวกเธอ ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนคำว่า‘พาใครไปตาย’ เป็น‘พากันไปตาย’ได้เลยทีเดียว

ที่น่าตกใจคือ จากการสอบถามทัศนคติการขับรถของผู้หญิงบางคน ผมกลับได้รับคำตอบอันน่าตระหนกว่า “ก็ไม่ได้แรงอะค่ะ แค่ใจนักเลง” หรือ “บางวันก็ขับแบบสองแรงมือ หรือไม่ก็ร้อยแรงม้าไปเลย”ก็ด้วยความคิดแบบนี้แหละครับที่สร้างความหวาดหวั่นต่อคนข้างๆ ว่าจะพาเราไปตายหรือเปล่า หากผมได้นั่งด้วยก็คงจะเอาเท้ายัน(คอนโซล)หน้าคนขับไปตลอดทางเป็นแน่
 
จริงอยู่ที่สถิติของอุบัติเหตุทางยานพาหนะไม่ว่าชนิดใดๆ ล้วนชี้บ่งถึงจำนวนอุบัติเหตุของผู้ชายที่มีมากกว่าผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย (เพราะเขาเก็บสถิติแค่สองเพศไม่มี Sub-Gender ประกอบ) คุณผู้หญิงทั้งหลายอาจจะเถียงได้ว่า นี่ไง สถิติมันฟ้องว่าพวกเราขับรถปลอดภัยว่าตั้งเยอะ พวกผู้ชาย หัดแหกตาดูซะบ้าง หากแต่สถิติที่น่าจะเบิ่งเนตรมองก็บอกอีกเหมือนกันครับว่า
กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงขับรถเคยประสบอุบัติเหตุ (แม่ผู้เขียนเองยังเคยรถคว่ำตั้งสองครั้ง ดีที่รอด) ซึ่งนั่นมากกว่าผู้ชายถึงเกือบร้อยละ 15 เชียวนะครับฉะนั้นอย่ามองข้ามความจริงข้อนี้จากการเข้าข้างเพศเดียวกันเองจนเกินพอดี

และขอร้องครับ ว่าอย่าเถียงสถิติกับคณิตศาสตร์ เพราะมันเปล่าประโยชน์
แน่นอนว่าประเด็นที่ว่า ‘ผู้ชายกับผู้หญิง ใครขับรถดีกว่ากัน’ จะเป็นเรื่องโลกแตกที่ต้องทุ่มเถียงกันไปจนกว่าพลังงาน(ทดแทน)จะหมดไปจากโลก หากแม้คุณผู้หญิงทั้งหลายให้ค่ากับการเพียรหาคำตอบจนเพลียของวลีก่อนหน้าเพียงใดมันอาจจะไม่มีทางเปลี่ยนทัศนคติของผู้ชายหลายคนที่ว่า ‘ผู้หญิงขับรถแย่กว่าผู้ชาย’ไปได้เลย น่าเจ็บปวดนะครับที่ผู้หญิงหลายคนที่ขับรถได้ดี กลับถูกกระทำ ถูกเหมารวมไปกับม็อตโต้โลกแคบแบบนี้ เพราะไม่ว่าเพศใดก็สามารถขับรถได้เลวร้ายไร้มารยาทได้เท่าเทียมกัน

ถ้าหมั่นไส้พวกผมกันนักก็รอเอาคืนบนถนนได้นะครับ ไม่เป็นไร แต่ระวังคนข้างๆ จะค่อนขอดว่าอีนี่ขับรถอย่างกับเมายาม้า หรือเทิร์นโปรฯฟอร์มูล่าวันไม่ผ่าน จะมาว่ากันไม่ได้นะครับ


จาก image

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์