คนไทยยังรักกันนะครับ

ภายในห้องสีเศร้าซึ่งมีผนังเก่าสีหม่น ผมนั่งอยู่ในแสงสลั่วของจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉาดฉายภาพซ้ำที่โหดร้ายของการทำลายล้างระหว่างชนชาติพันธุ์เดียวกัน ผู้คนในนั้น ณ ปัจจุบันขณะนี้อาจหลงลืมไปแล้วว่าต้นเหตุของความขัดแย้งเริ่มต้นตรงไหน และไม่คิดค้นหาคำตอบเช่นกันว่ามันจะจบลงอย่างไร

เมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมยังเป็นผู้ชายที่มีความสุขอยู่ภายใต้ความภาคภูมิใจของการเป็นชนชาวไทยในประเทศที่ได้รับการขนานนามไว้ว่า “Land Of Smile” มานานก่อนที่จะมีผมเกิดขึ้นมาเสียอีก ในความทรงจำผู้คนยังคงมอบรอยยิ้มและหยิบยื่นน้ำใจให้กันไม่สร่างหาย และจำได้ถึงการปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าด้วยรอยยิ้มปริ่มที่พวงแก้มสุขอิ่ม ซึ่งทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น ผมก็จะได้ในสิ่งเดียวกันตอบกลับมาเสมอ

แต่ในปัจจุบันขณะนี้ ประเทศถิ่นกำเนิดที่ผมเกิดและอาศัย คล้ายจะถูกขีดแบ่งด้วยเส้นบางๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ในทุกวันเสียงกร่นด่าคนไทยด้วยกันด้วยความเครียดแค้นดังสลับเป็นระยะกับคำสาปส่ง หลายคนปรารถนาให้ฝ่ายตรงข้ามสิ้นชีพดับชีวิตไปให้พ้นเสียจากผืนแผ่นดินที่พวกเขาดำรงอยู่มาแต่เกิด บางคนเคยยิ้ม เคยหัวเราะ เคยมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันแต่ในวันนี้กลับตั้งตนเป็นศัตรู เป็นคู่อาฆาตในเหตุการณ์ที่เขาทั้งสองไม่ได้ก่อขึ้น หลายคนยิงก้อนหิน ยิงปืน ขว้างปาทุกสิ่งที่หยิบฉวยได้ใส่คนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนเพียงเพราะความคิดที่แตกต่าง

ผมมีคำถามว่า
“คนตรงข้ามที่เรากำลังอาฆาตแค้นต่อเขาอยู่นั้น เราเคยรู้จักกันมาก่อนไหม เคยทำให้ขุ่นเคืองด้วยเรืองใด และการหยิบอาวุธเข้าประหัสประหารกันนั้นมีใครไหมที่ยอมรับว่ามันคือประชาธิปไตร”

ผมคนหนึ่งที่ไม่เชื่อแน่ว่ามันเป็นเช่นนั้น

ผมเชื่อในประชาธิปไตร แต่เชื่อเช่นกันว่าประชาธิปไตรไม่ได้ส่งเสียงต่อรองกันด้วยระเบิดหรือกระสุนปืน
ผมเชื่อในประชาธิปไตร แต่เชื่อเช่นกันว่ามันไม่จำเป็นต้องแลกด้วยหยดเลือดและหยาดน้ำตา
ผมเชื่อในประชาธิปไตร และเชื่อเช่นกันว่าเราคือคนไทยที่ครั้งหนึ่งเคยรัก และขณะนี้ก็ยังคงรักกันอยู่

หลายคนกล่าวอ้างประวัติศาสตร์ของหลากหลายชาติพันธุ์ และระบุซึ่งการได้มาของประชาธิปไตรว่า
“มันต้องมีการเสียสละกันบ้าง” ผมคิดว่าคนเหล่านั้นหลงลืมวัตถุประสงค์ของประชาธิปไตร ซึ่งในความหมายมันเป็นเสมือนแสงตะเกียงที่ส่องสว่างนำทางเราก้าวผ่านช่วงเลาที่มืดมิดไปสู่แสงของดวงอาทิตที่อุ่นกระจ่าง และจนถึงวินาทีนี้ นานนับไปจนวินาทีถัดไป ถัดไป และวินาทีสุดท้ายในชีวิตของผม ผมก็จะยังเชื่อว่า

“สิ่งเดียวที่ต้องแลกเพื่อได้มาซึ่งประชาธิปไตร คือการใช้สิทธิในฐานะปุถุชนร่วมสังคมแสดงเจตจำนงในสิ่งที่เราเลือกที่จะเป็น และยอมรับในสิทธิที่ผู้อื่นเลือกแม้จะไม่เป็นไปตามที่เราต้องการก็ตาม”

ไม่จำเป็นต้องเสียเลือด ไม่จำเป็นต้องเสียน้ำตา ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแลกมาแล้วทิ้งบางคนไว้ข้างหลัง หากผมอยู่ตรงจุดนั้นที่ผู้คนห้ำหั่นหมายมั่นจะทำลายอีกฝ่ายให้ราบสิ้น ผมจะเดินถอยออกมากลับบ้านไปกอดคุณแม่ของผมบอกกับท่านว่าผมรักท่านเพียงใด เพราะเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

วางทุกสิ่งลงเถอะครับ...ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน วางความโกรธแค้น วางทิฐิ วางอาวุธ ขอโทษซึ่งกันและกัน แล้วกลับบ้านเถอะครับ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเราก็เป็นคนไทยที่รักกัน และไม่ว่าจะนานแค่ไหนเราก็ไม่มีวันเปลี่ยนสิ่งนี้ได้เราเป็นคนไทยที่รักกันนะครับ

TaKa
15/5/2553 ,10:25 น.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์