วรรณกรรมเรื่องรำพันพิลาป

 วรรณกรรมเรื่องรำพันพิลาป เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรของอยุธยาจะเปรียบได้เลย การรำพันถึงความรักที่แหวกวงล้อมของกรอบศักดินาอย่างเปิดเผยเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในความฝันและสุนทรภู่ก็เสนอความรู้สึกนี้ในรูปของความฝัน แต่ฝันของสุนทรภู่เป็นฝันที่ผู้อ่านรู้ได้ทันทีว่าคือความจริง เพราะสุนทรภู่เอาชีวิตจริงของตนเล่าแทรกไว้ตลอดเรื่องฝันอันยืดยาวนั้นจริงอยู่ แม้ว่าสุนทรภู่ก็ยอมรับความเป็นไปไม่ได้ของความฝันนั้นในโลกจริง จึงได้เปรียบหญิงที่ตนใฝ่ฝันว่าเป็นนางฟ้า (นอกจากนี้ก็เพื่อให้พ้องกับนาม "อัปสรสุดาเทพ" ด้วย) แต่การใฝ่ฝันถึงเป็นลายลักษณ์อักษรนี้เป็นสิ่งพึงทำได้ และสุนทรภู่ได้ทำด้วยลีลาที่อหังการ



รำพันพิลาป


ภาพ:รำพันพิลาป2.jpg

         “รำพันพิลาป” เป็นการพร่ำรำพันถึงเรื่องเศร้า เป็นการหวนรำลึก และรำพันถึงเรื่องที่น่าเศร้าใจในชีวิตของสุนทรภู่ โดยที่อิงอู่กับเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิของท่านเอง ความคิด ความรู้สึก ความถวิลหานานาประการที่สุนทรภู่เล่า เป็นเสน่ห์ของอัตชีวประวัติของท่านเอง


         ชีวิตของสุนทรภู่ เหมือนกับชีวิตของนักเดินทาง ซึ่งระหกระเหินเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเปลี่ยนแปรไป วันร้อนคืนร้าย ครั้งหนึ่งสุนทรภู่คิดถึงชีวิจนหลับไป แล้วฝัน ฝันแล้วตื่นอยู่ในความคิดของตนเอง ว่าตนกำลังจะต้องจากวัดเทพธิดาไป หรืออาจกำลังจะจากโลกไป ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงเขียนรำพันพิลาป ทบทวนความโศกเศร้า ชีวิตอันเป็นความพิลาปอยู่สืบมา


         พ.ศ.๒๓๘๕ พระสุนทรภู่จำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านได้ประพันธ์บทกลอนเชิงนิราศเรื่อง "รำพันพิลาป" ขึ้น เนื่องจากเกิดนิมิตฝันอันเป็นลางร้าย ว่าจะต้องถึงแก่ชีวิต ในฝันนั้นท่านว่าได้พบเห็นนางฟ้านางสวรรค์มากมาย รวมถึงนางมณีเมขลา มาชักชวนให้ท่านละชมพูทวีป แล้วไปอยู่สวรรค์ด้วยกัน เรื่องนางสวรรค์นี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระวินิจฉัยว่าน่าจะหมายถึง กรมหมื่นฯ อัปสรสุดาเทพ นัยว่าท่านสุนทรภู่มีจิตพิศวาสอยู่ จะเป็นจริงเช่นไร ท่านผู้อ่านต้องลองอ่านบทกลอนของท่านสุนทรภู่เอง สำหรับข้าพเจ้าเองเห็นว่า น่าจะหมายถึงนางฟ้าจริงๆ มิได้มีความหมายอื่น ด้วยท่อนหนึ่งในนิราศบทนี้ ท่านยังอ้อนวอนนางมณีเมขลา ว่าให้แก้วแล้ว ขอประโยชน์โพธิญาณถึงพระนิพพานเถิด เช่นเดียวกับที่ท่านได้เคยแสดงความปรารถนาพุทธภูมิไว้ในนิราศหลายๆ เรื่องการเกิดฝันเช่นนี้ เมื่อท่านตื่นขึ้นจึงได้รีบแต่ง "รำพันพิลาป" นี้ขึ้น แสดงความในใจและประวัติชีวิตของท่านในหลายๆ ส่วน รวมถึงประเพณีเทศกาลต่างๆ ที่ได้ประสบพบผ่านมา ซึ่งในส่วนนี้เองทำให้เราทราบว่า ยังมีนิราศของท่านอีกหลายเรื่องที่ท่านแต่งไว้ แต่เรายังไม่มีโอกาสได้อ่าน เพราะปลวกขึ้นกุฏิของท่าน ทำให้ต้นฉบับบทกลอนที่มีค่ายิ่งสูญสลายไปอย่างน่าเสียดายเว้นเสียแต่จะมีผู้พบต้นฉบับคัดลอกจากที่อื่น




        ๏ สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตฝัน


พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์        จึ่งจดวันเวลาด้วยอาวรณ์


แต่งไว้เหมือนเตือนใจจะได้คิด        ในนิมิตเมื่อภวังค์วิสังหรณ์


เดือนแปดวันจันทวาเวลานอน        เจริญพรภาวนาตามบาลี


ระลึกคุณบุญบวชตรวจกสิณ        ให้สุขสิ้นดินฟ้าทุกราศี


เงียบสงัดวัดวาในราตรี        เสียงเป็ดผีหวี่หวีดจังหรีดเรียง


หริ่งหริ่งเรื่อยเฉื่อยชื่นสะอื้นอก        สำเนียงนกแสกแถกแสกแสกเสียง


เสียงแมงมุมอุ้มไข่มาใต้เตียง        ตีอกเพียงผึงผึงตะลึงฟัง


ฝ่ายฝูงหนูมูสิกกิกกิกร้อง        เสียวสยองยามยินถวิลหวัง


อนึ่งผึ้งซึ่งมาทำประจำรัง        ริมบานบังบินร้องสยองเย็น


ยิ่งเยือกทรวงง่วงเหงาซบเซาโศก        ยามวิโยคยากแค้นสุดแสนเข็ญ


ไม่เทียมเพื่อนเหมือนจะพาเลือดตากระเด็น        เที่ยวซ่อนเร้นไร้ญาติหวาดวิญญาณ์ฯ



๏ แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ        บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา


เหมือนลอยล่องท้องชะเลอยู่เอกา        เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล


ดูฟากฝั่งหวังจะหยุดก็สุดเนตร        แสนเทวษเวียนว่ายสายกระแส


เหมือนทรวงเปลี่ยวเที่ยวแสวงทุกแขวงแคว        ได้เห็นแต่ศิษย์หาพยาบาล


ทางบกเรือเหนือใต้เที่ยวไปทั่ว        จังหวัดหัวเมืองสิ้นทุกถิ่นฐาน


เมืองพริบพรีที่เขาทำรองน้ำตาล        รับประทานหวานเย็นก็เป็นลม


ไปราชพรีมีแต่พาลจังทานพระ        เหมือนไปปะบระเพ็ดเหลือเข็ดขม


ไปขึ้นเขาเล่าก็ตกอกระบม        ทุกข์ระทมแทบจะตายเสียหลายคราวฯ


๏ ครั้งไปด่านกาญจน์บุรีที่กะเหรี่ยง        ฟังแต่เสียงเสือสีห์ชะนีหนาว


นอนน้ำค้างพร่างพนมพรอยพรมพราว        เพราะเชื่อลาวลวงว่าแร่แปรเป็นทอง


ทั้งฝ่ายลูกถูกปอบมันลอบใช้        หาแก้ได้ให้ไปเข้ากินเจ้าของ


เข้าวัสสามาอยู่ที่สองพี่น้อง        ยามขัดข้องขาดมุ้งริ้นยุงชุม


ทุกเช้าค่ำลำบากแสนยากยิ่ง        เหลือทนจริงเจ็บแสบใส่แกลบสุม


เสียงฉู่ฉู่หวู่ว่อนเวียนร่อนรุม        เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกัดนั่งปัดยุง


โอ้ยามยากอยากใคร่ได้เหล็กไหลเล่น        ทำทองเป็นปั้นเตาเผาถลุง


ลองตำราอาจารย์ทองบ้านจุง        จดเกลือหุงหายสูญสิ้นทุนรอนฯ



๏ คราวไปคิดปริศนาตามตาเถร        เขากาเพนพบมหิงส์ริมสิงขร


มันตามติดขวิดคร่อมอ้อมอุทร        หากมีขอนขวางควายไม่วายชนม์


เดชะบุญคุณพระอนิสงส์        ช่วยดำรงรอดตายมาหลายหน


เหตุด้วยเคราะห์เพราะว่าไว้วางใจคน        จึ่งจำจนใจเปล่าเปลืองข้าวเกลือฯ



๏ โอ้ยามอยู่สุพรรณกินมันเผือก        เคี้ยวแต่เปลือกไม้หมากเปรี้ยวปากเหลือ


จนแรงโรยโหยหิวผอมผิวเนื้อ        พริกกับเกลือกลักใหญ่ยังไม่พอ


ทั้งผ้าพาดบาตรเหล็กของเล็กน้อย        ขโมยถอยไปทั้งเรือไม่เหลือหลอ


เหลือแต่ผ้าอาศัยเสียใจคอ        ชาวบ้านทอถวายแทนแสนศรัทธาฯ



๏ คิดถึงคราวเจ้านิพพานสงสารโศก        ไปพิศีโลกลายแทงแสวงหา


ลงหนองน้ำปล้ำตะเข้หากเทวดา        ช่วยรักษาจึ่งได้รอดไม่วอดวาย


วันไปอยู่ภูผาเขาม้าวิ่ง        เหนื่อยนอนพิงเพิงไศลหลับใจหาย


ครั้นดึกดูงูเหลือมเลื่อยเลื่อมลาย        ล้อมรอบกายเกี้ยวตัวกันผัวเมีย


หนีไม่พ้นจนใจได้สติ        สมาธิถอดชีวิตอุทิศเสีย


เสียงฟู่ฟู่ขู่ฟ้อเคล้าคลอเคลีย        แลบลิ้นเลียแล้วเลื้อยแลเฟือยยาว


ดูใหญ่เท่าเสากระโดงผีโป่งสิง        เป็นรูปหญิงยืนหลอกผมหงอกขาว


คิดจะตีหนีไปกลัวไม้เท้า        โอ้เคราะห์คราวขึ้นไปเหนือเหมือนเหลือตายฯ



๏ เมื่อขาล่องต้องตอเรือหล่อล่ม        เจียนจะจมน้ำม้วยระหวยระหาย


ปะหาดตื้นขึ้นรอดไม่วอดวาย        แต่ปะตายหลายหนหากทนทาน


แล้วมิหนำซ้ำบุตรสุดที่รัก        ขโมยลักหลายหนผจญผลาญ


ต้องต่ำต้อยย่อยยับอัประมาณ        มาอยู่วิหารวัดเลียบยิ่งเยียบเย็น


โอ้ยามจนล้นเหลือสิ้นเสื่อหมอน        สู้ซุ่มซ่อนเสียมิให้ใครใครเห็น


ราหูทับยับเยินเผอิญเป็น        เปรียบเหมือนเช่นพราหมณ์ชีมณีจันท์ฯ



๏ จะสึกหาลาพระอธิษฐาน        โดยกันดารเดือดร้อนสุดผ่อนผัน


พอพวกพระอภัยมณีศรีสุวรรณ        เธอช่วยกันแก้ร้อนค่อยหย่อนเย็น


อยู่มาพระสิงหะไตรภพโลก        เห็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ


ทุกค่ำคืนฝืนหน้าน้ำตากระเด็น        พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งนึก


ดังไข้หนักรักษาวางยาทิพย์        ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก


ค่อยฝ่าฝืนชื่นฉ่ำดั่งอำมฤก        แต่ตกลึกเหลือที่จะได้สบายฯ



๏ ค่อยเบาบางสร่างโศกเหมือนโรคฟื้น        จะเดินยืนยังไม่ได้ยังไม่หาย


ได้ห่มสีมีหมอนเสื่ออ่อนลาย        ค่อยคลายอายอุตส่าห์ครองฉลองคุณ


เหมือนพบปะพระสิทธาที่ปรารภ        ชุบบุตรลพเลี้ยงเหลือช่วยเกื้อหนุน


สนอมพักตร์รักษาด้วยการุญ        ทรงสร้างบุญคุณศีลเพิ่มภิญโญ


ถึงยากไร้ได้พึ่งหมือนหนึ่งแก้ว        พาผ่องแผ้วผิวพักตร์ขึ้นอักโข


พระฤๅษีที่ท่านช่วยชุบเสือโค        ให้เรืองฤทธิ์อิศโรเดโชชัย


แล้วไม่เลี้ยงเพียงแต่ชุบช่วยอุปถัมภ์        พระคุณล้ำโลกาจะหาไหน


ช่วยชี้ทางกลางป่าให้คลาไคล        หลวิชัยคาวีจำลีลา


แต่ละองค์ทรงพรตพระยศยิ่ง        เป็นยอดมิ่งเมืองมนุษย์นี้สุดหา


จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา        พระชันษาสืบยืนอยู่หมื่นปีฯ



๏ เป็นคราวเคราะห์ก็ต้องพรากจากวิหาร        กลัวพวกพาลผู้ร้ายจำย้ายหนี


อยู่วัดเทพธิดาด้วยบารมี        ได้ผ้าปีปัจจัยไทยทาน


ถึงยามเคราะห์ก็เผอิญให้เหินห่าง        ไม่เหมือนอย่างอยู่ที่พระวิหาร


โอ้ใจหายกลายกลับอัประมาณ        โดยกันดารเดือดร้อนไม่หย่อนเย็น


ได้พึ่งพระปะแพรพอแก้หน้า        สองวัสสาสิ้นงามถึงยามเข็ญ


คิดขัดขวางอย่างจะพาเลือดตากระเด็น        บันดาลเป็นปลวกปล่องขึ้นห้องนอน


กัดเสื่อสาดขาดปรุทะลุสมุด        เสียดายสุดแสนรักเรื่องอักษร


เสียแพรผ้าอาศัยไตรจีวร        ดูพรุนพรอนพลอยพาน้ำตาคลอ


ถึงคราวคลายปลายอ้อยบุญน้อยแล้ว        ไม่ผ่องแผ้วพักตราวาสนาหนอ


นับปีเดือนเหมือนจะหักทั้งหลักตอ        แต่รั้งรอร้อนรนกระวนกระวายฯ



๏ ถึงเดือนยี่มีเทศน์สมเพชพักตร์        เหมือนลงรักรู้ว่าบุญสิ้นสูญหาย


สู้ซ่อนหน้าฝ่าฝืนสะอื้นอาย        จนถึงปลายปีฉลูมีธุระ


ไปทางเรือเหลือสลดด้วยปลดเปลื้อง        ระคางเคืองข้องขัดสลัดสละ


ลืมวันเดือนเขียนเฉยแกล้งเลยละ        เห็นแต่พระอภัยพระทัยดี


ช่วยแจวเรือเกื้อหนุนทำบุญด้วย        เหมือนโปรดช่วยชูหน้าเป็นราศี


กลับมาถึงผึ้งมาจับอยู่กับกระฎี        ทำรังที่ทิศประจิมริมประตู


ต้องขัดเคืองเรื่องราวด้วยคราวเคราะห์        จวบจำเพาะสุริยาถึงราหู


ทั้งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู        แม้นขืนอยู่ยากเย็นจะเห็นใคร


เครื่องกระฎีที่ยังเหลือแต่เสื่อขาด        เข้าไสยาสน์ยุงกัดปัดไม่ไหว


เคยสว่างกลางคืนขาดฟืนไฟ        จะโทษใครเคราะห์กรรมจึ่งจำจนฯ


๏ โอ้อายเพื่อนเหมือนเขาว่ากิ่งกาฝาก        มิใช่รากรักเร่ระเหระหน


ที่ทุกข์สุขขุกเข็ญเกิดเป็นคน        ต้องคิดขวนขวายหารักษากาย


ได้พึ่งบ้างอย่างนี้เป็นที่ยิ่ง        สัจจังจริงจงรักสมัครหมาย


ไม่ลืมคุณพูนสวัสดิ์ถึงพลัดพราย        มิได้วายเวลาคิดอาลัยฯ



๏ จะลับวัดพลัดที่กระฎีตึก        สุดแต่นึกน้ำตามาแต่ไหน


เฝ้านองเนตรเช็ดพักตร์สักเท่าไร        ขืนหลั่งไหลรินร่ำน่ารำคาญ


คิดอายเพื่อนเหมือนเขาเล่าแม่เจ้านี่        เร่ไปปีละร้อยเรือนเดือนละร้อยบ้าน


เพราะบุญน้อยย่อยยับอัประมาณ        เหลือที่ท่านอุปถัมภ์ช่วยบำรุง


ต่อเมื่อไรไปทำทองสำเร็จ        แก้ปูนเพชรพบทองสักสองถุง


จะผาสุกทุกสิ่งนอนกลิ้งพุง        กินหมูกุ้งไก่เป็ดจนเข็ดฟัน


ขอเดชะพระมหาอานิสงส์        ซึ่งรูปทรงสัจศีลถวิลสวรรค์


จะเที่ยวรอบขอบประเทศทุกเขตคัน        ขอความฝันวันนี้บอกดีร้ายฯ



๏ แล้วร่ำภาวนาในพระไตรลักษณ์        ประหารรักหนักหน่วงตัดห่วงหาย


หอมกลิ่นธูปงูบระงับหลับสบาย        ฝันว่าว่ายสายชะเลอยู่เอกา


สิ้นกำลังยังมีนารีรุ่น        รูปเหมือนหุ่นเหาะเร่ร่อนเวหา


ช่วยจูงไปไว้ที่วัดได้ทัศนา        พระศิลาขาวล้ำดังสำลี


ทั้งพระทองสององค์ล้วนทรงเครื่อง        แลเลื่อมเหลืองเรืองจำรัสรัศมี


พอเสียงแซ่แลหาเห็นนารี        ล้วนสอดสีสาวน้อยนับร้อยพัน


ล้วนใส่ช้องป้องพักตร์ดูลักขณะ        เหมือนนางสะสวยสมล้วนคมสัน


ที่เอกองค์ทรงศรีฉวีวรรณ        ดั่งดวงจันทร์แจ่มฟ้าไม่ราคี


ทั้งคมขำล้ำนางสำอางสะอาด        โอษฐ์เหมือนชาดจิ้มเจิมเฉลิมศรี


ใส่เครื่องทรงมงกุฎดังบุตรี        แก้วมณีเนาวรัตน์จำรัสเรือง


รูปจริตพิศไหนวิไลเลิศ        เหมือนหุ่นเชิดโฉมแช่มแฉล้มเหลือง


พอแลสบหลบชะม้ายชายชำเลือง        ดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม


ลำพระกรอ่อนชดประณตน้อม        แลละม่อมเหมือนหนึ่งเขียนวิเชียรโฉม


หรือชาวสวรรค์ชั้นฟ้านภาโพยม        มาประโลมโลกาให้อาวรณ์


แปลกมนุษย์ผุดผ่องละอองพักตร์        วิไลลักษณ์ล้ำเลิศประเสริฐสมร


ครั้นปราศรัยไถ่ถามนามกร        ก็เคืองค้อนขามเขินสะเทินที


ขืนถามอีกหลีกเลี่ยงหลบเมียงม่าย        เหมือนอายชายเฉยเมินดำเนินหนี


นางน้อยน้อยพลอยตามงามงามดี        เก็บมาลีเลือกถวายไว้หลายพรรณ


แล้วชวนว่าอย่าอยู่ชมพูทวีป        นิมนต์รีบไปสำราญวิมานสวรรค์


แล้วทรงรถกลดกั้นนางทั้งนั้น         นั่งที่ชั้นลดล้อมน้อมคำนับ


ที่นั่งทิพย์ลิบเลื่อนคล้อยเคลื่อนคล้าย        พรรณรายพรายเรืองเครื่องประดับ


ประเดี๋ยวเดียวเฉียวฉิบแลลิบลับ        จนลมจับวับใจอาลัยลานฯ



๏ ซึ่งสั่งให้ไปสวรรค์หรือชันษา        จะมรณาในปีนี้เป็นปีขาล


แม้นเหมือนปากอยากใคร่ตายหมายวิมาน        ขอพบพานภัคินีของพี่ยา


ยังนึกเห็นเช่นโฉมประโลมโลก        ยิ่งเศร้าโศกแสนสวาทปรารถนา


ได้แนบชมสมคะเนสักเวลา        ถึงชีวาม้วยไม่อาลัยเลย


อยู่หลัดหลัดพลัดพรากไปฟากฟ้า        ให้ดิ้นโดยโหยหานิจจาเอ๋ย


ถึงชาตินี้พี่มิได้บุญไม่เคย        ขอชื่นเชยชาติหน้าด้วยอาวรณ์


แม้นรู้เหาะก็จะได้ตามไปด้วย        สู้มอดม้วยมิได้ทิ้งมิ่งสมร


เสมอเนตรเชษฐาเวลานอน        จะกล่าวกลอนกล่อมประทับไว้กับทรวง


สายสุดใจไม่หลับจะรับขวัญ        ร้องโอดพันพัดชาช้าลูกหลวง


ประโลมแก้วแววตาสุดาดวง        ให้อุ่นทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย


ยามกลางวันบรรทมจะชมโฉม        ขับประโลมข้างที่พัดวีถวาย


แม้นไม่ยิ้มหงิมเหงาจะเล่านิยาย        เรื่องกระต่ายตื่นตูมเหลือมูมมาม


ไม่รู้เหาะก็มิได้ขึ้นไปเห็น        แม้นเหมือนเช่นชาวสุธาภาษาสยาม


ถ้ารับรักจักอุตส่าห์พยายาม        ไปตามความคิดคงได้ปลงทองฯ



๏ นี่จนใจไม่รู้จักที่หลักแหล่ง         สุดแสวงสวาทหมายไม่วายหมอง


เมื่อยามฝันนั้นว่านึกนั่งตรึกตรอง        เดือนหงายส่องแสงสว่างดังกลางวัน


เห็นโฉมยงองค์เอกเมขลา        ชูจินดาดวงสว่างมากลางสวรรค์


รัศมีสีเปล่งดังเพ็งจันทร์        พระรำพันกรุณาด้วยปรานี


ว่านวลหงส์องค์นี้อยู่ชั้นฟ้า        ชื่อโฉมเทพธิดามิ่งมารศรี


วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้        เหมือนหนึ่งพี่น้องสนิทร่วมจิตใจ


จะให้แก้วแล้วก็ว่าไปหาเถิด        มิให้เกิดการระแวงแหนงไฉน


ที่ขัดข้องหมองหมางเป็นอย่างไร        จะผันแปรแก้ไขด้วยใกล้เคียงฯ




๏ สดับคำฉ่ำชื่นจะยื่นแก้ว        แล้วคลาดแคล้วคลับคล้ายเคลิ้มหายเสียง


ทรงปักษาการเวกแฝงเมฆเมียง        จึ่งหมายเสี่ยงวาสนาอุตส่าห์คอย


เหมือนบุปผาปาริกชาติชื่น        สุดจะยื่นหยิบได้มีไม้สอย


ด้วยเดชะพระกุศลให้หล่นลอย        ลงมาหน่อยหนึ่งเถิดนะจะประคอง


มิให้เคืองเปลื้องปลดเสียยศศักดิ์        สนอมรักร้อยปีไม่มีหมอง


แม้นมั่งมีพี่จะจ้างพวกช่างทอง        หล่อจำลองรูปวางไว้ข้างเคียงฯ



๏ คิดจนตื่นฟื้นฟังระฆังฆ้อง        กลองหอกลองทึ้มทึ้มกระหึ่มเสียง


โกกิลากาแกแซ่สำเนียง        โอ้นึกเพียงขวัญหายไม่วายวัน


วิสัยเราเล่าก็ไม่สู้ใฝ่สูง        นางฟ้าฝูงไหนเล่ามาเข้าฝัน


ให้เฟือนจิตกิจกรมพรหมจรรย์        ฤๅสาวสวรรค์นั้นจะใคร่ลองใจเรา


ให้รักรูปซูบผอมตรมตรอมจิต        เสียจริตคิดขยิ่มง่วงหงิมเหงา


จะได้หัวเราะเยาะเล่นทุกเย็นเช้า        จึงแกล้งเข้าฝันเห็นเหมือนเช่นนี้


แม้นนางอื่นหมื่นแสนแดนมนุษย์        นึกกลัวสุดแสนกลัวเอาตัวหนี


สู้นิ่งนั่งตั้งมั่นถือขันตี        อยู่กระฎีดั่งสันดานนิพพานพรหม


รักษาพรตปลดปละสละรัก        เพราะน้ำผักต้มหวานน้ำตาลขม


คิดรังเกียจเกลียดรักหักอารมณ์        ไม่นิยมสมสวาทเป็นขาดรอนฯ



๏ แต่ครั้งนี้วิปริตนิมิตฝัน        เฝ้าผูกพันมั่นหมายสายสมร


สาวสวรรค์ชั้นฟ้าจงถาวร        เจริญพรพูนสวัสดิ์กำจัดภัย


ซึ่งผูกจิตพิศวาสหมายมาดมุ่ง มัก        นอนสะดุ้งด้วยพระขวัญจะหวั่นไหว เสวยสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย        ช่วยเลื่อมใสโสมนัสสวัสดีฯ




๏ ขอเดชะพระอุมารักษาสวาท        ให้ผุดผาดเพียงพักตร์พระลักษมี


วิมานแก้วแววฟ้าฝูงนารี        คอยพัดวีแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียงฯ




๏ ขอเดชะพระอินทร์ดีดพิณแก้ว        ให้เจื้อยแจ้วจับใจแจ่มใสเสียง


สาวสุรางค์นางรำระบำเรียง        คอยขับกล่อมพร้อมเพรียงเคียงประคอง


ขอพระจันทร์กรุณารักษาศรี        ให้เหมือนมณีนพเก้าอย่าเศร้าหมอง


เหมือนหุ่นเชิดเลิศล้วนนวลละออง        ให้ผุดผ่องผิวพรรณเพียงจันทราฯ



๏ ขอพระพายชายเชยรำเพยพัด        ให้ศรีสวัสดิ์สว่างจิตขนิษฐา


หอมดอกไม้ในทวีปกลีบผกา         ให้หอมชื่นรื่นวิญญาณ์นิทรารมณ์ฯ



๏ ขอเดชะพระคงคารักษาสนอม        อย่าให้มอมมีระคายเท่าปลายผม


ให้เย็นเรื่อยเฉื่อยฉ่ำเช่นน้ำลม        กล่อมประทมโสมนัสสวัสดีฯ



ด้วยเดิมฉันฝันได้ยลวิมลพักตร์        สุดแสนรักลักประโลมโฉมฉวี


ถวิลหวังตั้งแต่นั้นจนวันนี้        ขออย่ามีโทษโปรดยกโทษกรณ์


ด้วยเกิดเป็นเช่นมนุษย์บุรุษราช        มาหมายมาดนางสวรรค์ร่วมบรรจถรณ์


ขอษมาการุญพระสุนทร        ให้ถาพรภิญโญเดโชชัยฯ



๏ อนึ่งโยมโฉมยงพระองค์เอก        มณีเมขลามาโปรดปราศรัย


จะให้แก้วแล้วอย่าลืมที่ปลื้มใจ        ขอให้ได้ดั่งประโยชน์โพธิญาณ


จะพ้นทุกข์สุขสิ้นมลทินโทษ        เพราะพระโปรดโปรยปรายสายสนาน


ให้หน้าชื่นรื่นรสพจมาน        เหมือนนิพพานพ้นทุกข์เป็นสุขสบาย


บวชตะบึงถึงตะบันน้ำฉันชื่น        ยามดึกดื่นได้สังวรอวยพรถวาย


เหมือนพระจันทร์กรุณาให้ตายาย        กับกระต่ายแต้มสว่างอยู่กลางวง


เหมือนวอนเจ้าสาวสวรรค์กระสันสวาท        ให้ผุดผาดเพิ่มผลาอานิสงส์


ได้สมบูรณ์พูนเกิดประเสริฐทรง        ศีลดำรงร่วมสร้างพุทธางกูร


อันโลกีย์วิสัยที่ในโลก        ความสุขโศกสิ้นกายก็หายสูญ


เป็นมนุษย์สุดแต่ขอให้บริบูรณ์        ได้เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย


ขอบุญพระจะให้อยู่ชมพูทวีป        ช่วยชุบชีพชูเชิดให้เฉิดฉาย


ไม่ชื่นเหมือนเพื่อนมนุษย์ก็สุดอาย        สู้ไปตายตีนเขาลำเนาเนินฯ


๏ โอ้ปีนี้ปีขาลบันดาลฝัน        ที่หมายมั่นเหมือนจะหมางระคางเขิน


ก็คิดเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ        ให้ห่างเหินโหยหวนรำจวนใจ


จึงแต่งตามความฝันรำพันพิลาป        ให้ศิษย์ทราบสุนทราอัชฌาสัย


จะสั่งสาวชาวบางกอกข้างนอกใน        ก็กลัวภัยให้ขยาดพระอาชญา


จึ่งเอื้อมอ้างนางสวรรค์ตามฝันเห็น        ให้อ่านเล่นเป็นเล่ห์เสน่หา


ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา        รักแต่เทพธิดาสุราลัยฯ



๏ ได้ครวญคร่ำร่ำเรื่องเป็นเครื่องสูง        พอพยุงยกย่องให้ผ่องใส


ทั้งสาวแก่แม่ลูกอ่อนลาวมอญไทย        เด็กผู้ใหญ่อย่าเฉลียวว่าเกี้ยวพาน


พระภู่แต่งแกล้งกล่าวสาวสาวเอ๋ย        อย่าถือเลยเคยเจนเหมือนเหลนหลาน


นักเลงกลอนนอนฝันเป็นสันดาน        เคยเขียนอ่านอดใจมิใคร่ฟัง


จะฝากดีฝีปากจะฝากรัก        ด้วยจวนจักจากถิ่นถวิลหวัง


ไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง        จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยาฯ



๏ โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด        เคยโสมนัสในอารามสามวัสสา


สิ้นกุศลผลบุญการุณา        จะจำลาเลยลับไปนับนาน


เคยเดินเล่นเย็นลมเลียบชมรอบ        ริมแขวงขอบเขตที่เจดีย์ฐาน


พระปรางค์มีสี่ทิศพิสดาร        โบสถ์วิหารการเปรียญล้วนเขียนทอง


ที่หน้าบันปั้นอย่างเมืองกวางตุ้ง        ดูเรืองรุ่งรูปนกผกผยอง


กระเบื้องเคลือบเหลือบสลับเหลี่ยมรับรอง        ศาลาสองหน้ารอบขอบกำแพง


สิงโตจีนตีนตัวน่ากลัวกลอก        ขยับขยอกแยกเขี้ยวเสียวแสยง


ที่ตึกก่อช่อฟ้าใบระกาแดง        ริมกำแพงตะพานขวางเคียงข้างคลอง


เป็นพลับพลาพาไลข้างในเสด็จ        เดือนสิบเอ็ดเคยประทานงานฉลอง


เล่นโขนหนังฟังปี่พาทย์ระนาดฆ้อง        ละครร้องเรื่องแขกฟังแปลกไทย


ประทานรางวัลนั้นไม่ขาดคนดาษดื่น        ทั้งวันคืนครื้นครั่นเสียงหวั่นไหว


จะวายเห็นเย็นเยียบเหงาเงียบใจ        โอ้อาลัยแลเหลียวเปลี่ยววิญญาณ์ฯ



๏ เคยอยู่กินถิ่นที่กระฎีก่อ        เป็นตึกต่อต่างกำแพงฝากแฝงฝา


เป็นสองฝ่ายท้ายวัดวิปัสสนา        ข้างโบสถ์บาเรียนเรียงเคียงเคียงกัน


เป็นสี่แถวแนวทางเดินหว่างกุฎิ์        มีสระขุดเขื่อนลงพระสงฆ์ฉัน


ข้างทิศใต้ในจงกรมพรหมจรรย์        มีพระคันธกุฎีที่บำเพ็ง


ศาลากลางทางเดินแลเพลินจิต        ประดับประดิษฐ์ดูดีเป็นที่เก๋ง


จะเริดร้างห่างแหสุดแลเล็ง        ยิ่งพิศเพ่งพาสลดกำสรดทรวงฯ



๏ หอระฆังดังทำนองหอกลองใหญ่        ทั้งหอไตรแกลทองเป็นของหลวง


ปลูกไม้รอบขอบนอกเป็นดอกดวง        บ้างโรยร่วงรสรื่นทุกคืนวัน


ชมพู่แลแต่ละต้นมีผลลูก        ดูดั่งผูกพวงระย้านึกน่าฉัน


ทรงบาดาลบานดอกรีบออกทัน        เก็บทุกวันเช้าเย็นไม่เว้นวายฯ



๏ เห็นทับทิมริมกระฎีดอกยี่โถ        สะอื้นโอ้อาลัยจิตใจหาย


เห็นต้นชาหน้ากระไดใจเสียดาย        เคยแก้อายหลายครั้งประทังทน


ได้เก็บฉันวันละน้อยอร่อยรส         ด้วยยามอดอัตคัดแสนขัดสน


จะซื้อหาชาจีนทรัพย์สินจน        จะจากต้นชาให้อาลัยชาฯ



๏ โอ้ชาตินี้มีกรรมเหลือลำบาก        เหมือนนกพรากพลัดรังไร้ฝั่งฝา


โอ้กระฎีที่จะจากฝากน้ำตา        ไว้คอยลาเหล่านักเลงฟังเพลงยาว


เคยเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าเมื่อเราอยู่        มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว


ยืมหนังสือลือเลื่องถามเรื่องราว        โอ้เป็นคราวเคราะห์แล้วจำแคล้วกันฯ




๏ ฤดูร้อนก่อนเก่าทำข้าวแช่        น่าชมแต่เครื่องกับสำรับฉัน


ช่างทำเป็นเช่นดอกจอกเป็นดอกจันทน์        งามจนชั้นกระชายทำเหมือนจำปา


มะม่วงดิบหยิบดูจึ่งรู้จัก        ทำน่ารักรูปสัตว์เหมือนมัจฉา


จะแลลับกลับกลายสุดสายตา        เคยไปมามิได้เห็นจะเว้นวายฯ



๏ ตรุษสงกรานต์ท่านแต่งเครื่องแป้งสด        ระรื่นรสราเชนพุมเสนกระสาย


น้ำกุหลาบอาบอุระแสนสบาย         ถึงเคราะห์ร้ายหายหอมให้ตรอมทรวง


เหมือนแสนโง่โอ้เสียแรงแต่งหนังสือ        จนมีชื่อลือเลื่องทั้งเมืองหลวง


มามืดเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มดวง        ต้องเหงาง่วงทรวงเศร้าเปลี่ยวเปล่าใจ


จำจากเพื่อนเหมือนจะพาน้ำตาตก        ต้องระหกระเ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์