9 โรคที่มากับ ‘น้ำ’

9 โรคที่มากับ ‘น้ำ’


1. โรคน้ำกัดเท้า
            เกิดจากการย่ำหรือแช่ในน้ำ ที่มีเชื้อโรค

            เป็นโรคที่พบมากที่สุดจากเหตุการณ์น้ำท่วม

            อาการ
                 - ระยะแรก คันตามซอกนิ้วเท้า ผิวหนังลอกเป็นขุย มีผื่น
                 - ต่อมา ผิวหนังที่เท้าพุพอง
                 - เท้าเปื่อย เป็นหนอง

            การ ป้องกัน
                 - หลีกเลี่ยงการย่ำน้ำ หากจำเป็นควรใส่รองเท้าบูทกันน้ำ และเมื่อกลับเข้าบ้าน ควรใช้น้ำสบู่ล้างเท้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง
                 - สวมเสื้อผ้าสะอาด ไม่เปียกชื้น

2. ไข้หวัด
            พบช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย แพร่กระจายจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือของใช้ของผู้ป่วย

            อาการ
                 - ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
                 - มีไข้เล็กน้อย
                 - คัดจมูก มีน้ำมูกใส ไอ จาม

            หายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

3. ไข้หวัดใหญ่
            เชื้อแพร่กระจายอยู่ในลมหายใจ เสมหะ น้ำลาย น้ำมูก และสิ่งของใช้ของผู้ป่วย

            อาการ
                 - มีไข้สูง
                 - ปวดเมื่อยตามตัวมาก
                 - ไอ จาม เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

            การปฏิบัติตัว
                 - ผู้ป่วยควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม หรือสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
                 - ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะอาจทำให้หูอักเสบได้
                 - กินอาหารที่ย่อยง่าย กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอุ่นมากๆ
                 - อาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที


9 โรคที่มากับ ‘น้ำ’



4. โรคปอดบวม

            หากผู้ประสบภัยน้ำท่วมสำลักน้ำ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไปในปอด ก็มีโอกาสจะเป็นโรคปอดบวมได้ หรือการคลุกคลีกับผู้ป่วย เมื่อไอ จาม หรือหายใจรดกัน


            อาการ
                 - มีไข้สูง ไอมาก หายใจหอบและเร็ว
                 - บางครั้งหายใจหอบและเร็วจนเห็นชายโครงบุ๋ม เล็บมือ เล็บเท้า และริมฝีปาก ซีดหรือคล้ำ กระสับส่าย หรือซึม

            เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคปอดบวม ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที และรับการรักษาในโรงพยาบาล


5. โรคตาแดง

            ติดต่อกันง่าย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ทั้งจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย และจากใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือจากแมลงวัน แมลงวี่ตอมตา

            อาการ
                 - หลังจากรับเชื้อ 1-2 วัน จะเริ่มเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม ตาขาวอักเสบแดง

            ผู้ป่วยมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี อาจเกิดอาการแทรกซ้อน

            การปฏิบัติตัว
                 - เมื่อมีฝุ่น หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที ไม่ควรขยี้ตา อย่าให้แมลงตอมตา และไม่ควรใช้สายตามากนัก
                 - หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่มากๆ
                 - เมื่อมีอาการ ควรพบแพทย์ เพื่อรับยาหยอดหรือป้ายตา


6. โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร
            ติดต่อจากเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ทางอาหาร น้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารทิ้งค้างคืนไม่ได้แช่เย็นและไม่ได้อุ่นให้ร้อน

            ได้แก่

           โรคอุจจาระร่วง
                 - ถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำ หรือมีมูกเลือด
                 - อาจอาเจียนร่วมด้วย

           อหิวาตกโรค
                 - ถ่ายอุจจาระเหลวคล้ายน้ำซาวข้าว มีกลิ่นคาว
                 - อาเจียน อ่อนเพลีย

           อาหารเป็นพิษ
                 - ปวดท้องร่วมกับถ่ายอุจจาระเหลว
                 - คลื่นไส้ อาเจียน
                 - อาจจะปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว

            โรคบิด
                 - ถ่ายอุจจาระบ่อย มีมูกหรือมูกปนเลือด
                 - มีไข้ ปวดท้อง และมีปวดเบ่งร่วมด้วย

            ไข้รากสาดน้อย หรือไข้ทัยฟอยด์
                 - มีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว
                 - เบื่ออาหาร อาจท้องผูก หรือบางรายอาจท้องเสีย

            การป้องกัน
                 - ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทุกครั้งก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ก่อนกินอาหาร และหลังการขับถ่าย
                 - ดื่มน้ำสะอาด เลือกกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ และเก็บอาหารไว้ในภาชนะที่มิดชิด
                 - กำจัดสิ่งปฏิกูล ขยะ

            การรักษา
                 - ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมากๆ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ผสมน้ำตามสัดส่วนที่ระบุข้างซอง (หรือทำเอง คือ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 ขวดกลม)
                 - หากมีอาการมากขึ้น เช่น อาเจียนมาก ไข้สูง ชัก หรือซึมมาก ให้ไปพบแพทย์
                 - ไม่ควรกินยาให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก


 


9 โรคที่มากับ ‘น้ำ’



7. โรคฉี่หนู
            โรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรสิส ติดต่อจากหนูสู่คน เชื้อมากับปัสสาวะสัตว์ปนเปื้อนอยู่ในน้ำท่วมขัง พื้น ดินที่ชื้นแฉะได้นาน เมื่อผิวหนังแช่น้ำ เชื้อจะเข้าร่างกายทางบาดแผล รอยขีดข่วน รอยถลอก หรือไช้เข้าเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำนาน หรือติดเชื้อจากอาหารที่หนูฉี่รด


            อาการ
                 - หลังรับเชื้อ 4-10 วัน โดยจะมีไข้สูงทันทีทันใด ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะน่อง โคนขา หรือหลัง
                 - บางคนตาแดง อาจเจ็บคอ เบื่ออาหาร หรือท้องเดิน


            การป้องกัน
                 - สวมรองเท้าบูทยางกันน้ำ หากต้องลุยน้ำ ย่ำโคลน
                 - หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ ย่ำโคลนนานๆ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบอาบชำระร่างกายให้สะอาดโดยเร็วที่สุด
                 - รับประทานอาหารที่ปรุงสุก เก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด
                 - ดูแลที่พักให้สะอาด


            การรักษา
                 - รีบไปพบแพทย์ ถ้าไม่รีบรักษา บางรายอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน หรือตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน กล้ามเนื้อหัวใจอาจอักเสบและเสียชีวิตได้


8. ไข้เลือดออก
            มียุงลายเป็นพาหะ


            อาการ
                 - ไข้สูงตลอดวัน ประมาณ 2-7 วัน
                 - ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว มักคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร ส่วนใหญ่ หน้าแดง อาจมีจุดเล็กๆตามลำตัว แขน ขา
                 - ต่อมา ไข้จะเริ่มลง ในระยะนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดอาการรุนแรงได้ ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น หรือเลือดออกผิดปกติ อาจมีภาวะช็อค และเสียชีวิตได้


            การป้องกัน
                 - ระวังอย่าให้ยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง


            การรักษา
                 - รีบพาไปพบแพทย์
                 - ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ห้ามใช้ยาแอสไพริน ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล


9. โรคหัด
            ติดต่อกันได้ง่าย ทั้งการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด พบในช่วงฤดูฝน


            อาการ
                 - หลังรับเชื้อ 8-12 วัน จะเริ่มมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ พบจุดขาวเล็กๆขอบแดงในกระพุ้งแก้ม
                 - จากนั้น  1-2 วันแรก ไข้จะขึ้นสูง สูงเต็มที่ในวันที่ 4 เมื่อมีผื่นขึ้น โดยผื่นจะนูนแดงติดกันเป็นปื้นๆ ขึ้นที่ใบหน้าชิดขอบผม แล้วแพร่กระจายไปตามตัว แขน และขา ต่อมาไข้จะเริ่มลดลง ส่วนผื่นจะสีเข้มขึ้นแล้วค่อยจางในเวลา 2 สัปดาห์
                 - ในเด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการ หรือในเด็กเล็ก อาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หูอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปวด อักเสบ สมองอักเสบ อาจเสียชีวิตได้

            การป้องกัน
                 - ฉีดวัคซีนป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย รักษาสุขอนามัย

            การดูแลรักษา
                 - รักษาตามอาการ ถ้าไข้สูงมากควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราว ร่วมกับเช็ดตัว ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ



ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของสสส. และวิชาการดอทคอม
thaihealth.or.th


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์