4 วิธีบริหารเงินโบนัส

4 วิธีบริหารเงินโบนัส


                                           4 วิธีบริหารเงินโบนัส



เมื่อได้รับเงินโบนัสจากความอุตสาหะของเรา แนะนำให้กันเงินก้อนส่วนหนึ่งเพื่อใช้สอยส่วนตัวและนำเงินก้อนส่วนที่เหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด

หลังจากผ่านพ้นช่วงปีใหม่ไปหมาดๆ กลิ่นอายของขวัญของฝากยังคงตลบอบอวลไปทั่ว สำหรับหลายคนช่วงปีใหม่ถือว่าเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในรอบปี เพราะนอกจากจะเป็นช่วงที่มีอากาศเย็นสบาย มีวันหยุดพักผ่อนติดต่อกันเยอะ ยังเป็นช่วงที่หลายคนรอคอย นั่นคือ “โบนัส” นั่นเอง

ซึ่งได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการบริษัท และผลงานของเราในช่วงปีที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อได้รับเงินโบนัสจากความอุตสาหะของเรา  แนะนำให้กันเงินก้อนส่วนหนึ่งเพื่อใช้สอยส่วนตัวและนำเงินก้อนส่วนที่เหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด ด้วย 4 วิธีบริหารเงินโบนัส ดังนี้

1. โปะหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง หากมีภาระหนี้ที่ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เช่น หนี้นอกระบบ หนี้บัตรกดเงินสด หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต การลดภาระหนี้ให้น้อยลงด้วยการลดเงินต้น จะช่วยให้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เพราะดอกเบี้ยที่เสียจะคำนวณจากเงินต้น ยิ่งเงินต้นสูงดอกเบี้ยก็สูงตาม ดังนั้น หากสามารถปิดภาระหนี้ที่มีทั้งหมดจะช่วยให้หมดกังวลกับภาระหนี้ที่มีได้

2. โปะหนี้บ้าน สำหรับผู้ที่มีภาระผ่อนบ้าน แน่นอนว่าย่อมอยากให้บ้านที่อยู่กับครอบครัวหมดภาระโดยเร็ว และไม่ต้องการให้ภาระการผ่อนบ้านต้องตกไปอยู่กับบุคคลที่รัก ดังนั้น การลดระยะเวลาในการผ่อนบ้านให้เหลือเวลาผ่อนน้อยลงและเสียดอกเบี้ยน้อยลง ด้วยการโปะหนี้บ้าน จะช่วยลดภาระหนี้เงินต้นและหมดภาระหนี้ได้เร็วขึ้น

3. ลงทุนให้งอกเงย ด้วยการลงทุนที่เหมาะสม ตามความถนัดและความชอบ ที่สำคัญควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพราะสินทรัพย์ทางการเงินในแต่ละรูปแบบมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อโอกาสได้รับผลตอบแทน เช่น

• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบนี้จะไม่สูงนัก แต่จะเน้นรักษาเงินต้น 

• สำหรับความเสี่ยงปานกลาง  แนะนำกองทุนรวมผสมที่ลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน โอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่กึ่งกลางระหว่างตราสารหนี้และตราสารทุน คือไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป

• หากรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำหุ้น ทองคำ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมทองคำ กองทุนรวมน้ำมัน ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงและก็มีโอกาสขาดทุนสูง

นอกจากนี้ การเลือกลงทุนควรพิจารณาถึงความพร้อมในการลงทุน การเลือกลงทุนตามไลฟ์สไตล์จะช่วยให้เกิดความน่าสนใจและติดตามการลงทุนมากขึ้น สำหรับการลงทุนที่ได้ประโยชน์หลายต่อ อย่างเช่น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากจะเป็นการลงทุนที่มีความหลากหลายแล้ว เงินลงทุนยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร

4. เก็บออมเพื่อเป้าหมาย เป้าหมายของคนหนึ่งคนไม่ได้มีเพียงเป้าหมายเดียว และแต่ละเป้าหมายมักจะมีความแตกต่างกันในช่วงระยะเวลา ดังนั้น การออมเงินเพื่อเป้าหมายแต่ละเป้าหมายจึงแตกต่างกัน

• เป้าหมายระยะสั้นในช่วงไม่เกิน 3 ปี เช่น การออมเงินสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว การออมเงินสำหรับซื้อของขวัญให้กับบุคคลสำคัญในครอบครัว หรือการออมเงินสำหรับการศึกษาต่อ การออมเงินสำหรับเป้าหมายระยะสั้น แนะนำให้ออมในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงไม่มากนัก เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

• เป้าหมายระยะกลาง มากกว่า 3 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี เช่น การเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน การเก็บเงินดาวน์บ้าน แนะนำให้มีการออมในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง หรือการเลือกลงทุนในกองทุนผสม

• เป้าหมายระยะยาว มากกว่า 5 ปี เช่น การเตรียมเงินสำหรับการศึกษาบุตร การออมเงินสำหรับการเกษียณอายุ แนะนำให้มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นบ้างตามความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง เพราะหากเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพียงอย่างเดียวจะทำให้ผลตอบแทนที่ได้ต่ำกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งก็หมายถึงมูลค่าของเงินลดลงในอนาคต

การตั้งเป้าหมาย จะช่วยให้สามารถประเมินได้ว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ หากประเมินแล้วไม่สามารถเป็นไปได้ จะได้รีบทำการปรับเปลี่ยนเป้าหมาย นอกจากนี้ การออมเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ที่สำคัญต้องมีการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอ หากใช้เวลาออมน้อยจำนวนเงินที่ออมควรเพิ่มขึ้น หากมีระยะเวลาในการออมมาก จำนวนเงินที่ออมอาจไม่มากนัก

4 วิธีบริหารเงินโบนัสข้างต้น จะช่วยให้เงินโบนัสที่ได้รับมาเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์