ระวัง!สารหล่อลื่นทาถุงยาง เสี่ยงขาด-ติดโรค-ตั้งครรภ์

ระวัง!สารหล่อลื่นทาถุงยาง เสี่ยงขาด-ติดโรค-ตั้งครรภ์

น.ส.วันเพ็ญ ดวงสว่าง นักฟิสิกส์รังสีปฏิบัติการ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
 
กล่าวในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 20 ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ว่า ที่ผ่านมาได้ทำการศึกษา เรื่อง "ผลกระทบของการทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นชนิดต่างๆ ที่มีผลต่อการเสื่อมคุณภาพและการแตกของถุงยางอนามัย" โดยพิจารณาความเหนียวและความยืดตัวของยางจากค่าความดัน และปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย โดยได้ทำการทดสอบด้วยวิธีทดสอบตาม มอก.625-2548 ซึ่งได้กำหนดชุดควบคุมเป็นถุงยางอนามัยที่ไม่ทาสารหล่อลื่นเพิ่ม และชุดทดลองเป็นถุงยางอนามัยที่ทาสารหล่อลื่นแต่ละชนิดเพิ่ม แยกเป็นสารหล่อลื่นประเภทน้ำ (water-based) ได้แก่ เค-วาย เจลหล่อลื่นสูตรน้ำ และสารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน (oil-based) ได้แก่ เบบี้ออยล์ บอดี้โลชั่น วาสลีน ปิโตรเลียม เจลลี่และน้ำมันพืช

น.ส.วันเพ็ญกล่าวอีกว่า ในการทดลองได้ทาเพิ่มสารหล่อลื่นบนถุงยางอนามัยทิ้งไว้เป็นเวลา 5 นาที 10 นาที 30 นาที และ 45 นาที

ตามลำดับแล้วนำไปทดสอบด้วยเครื่องทดสอบความดันและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย พบว่า ค่าเฉลี่ยความดันขณะแตกและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัยทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นประเภทน้ำ มีค่าใกล้เคียงกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม และไม่พบจำนวนชิ้นบกพร่องในทุกช่วงเวลา ไม่มีผลทำให้เกิดความเสื่อมของถุงยางอนามัย สำหรับถุงยางอนามัยที่ทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นประะเภทน้ำมัน พบว่าค่าเฉลี่ยความดันขณะแตกและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัยมีค่าลดลง เห็นผลชัดเจนหลังทา 5 นาที โดยถุงยางอนามัยแตกเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม

"หากผู้ใช้ถุงยางอนามัยต้องการทาสารหล่อลื่นเพิ่ม จึงไม่ควรใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำมันกับถุงยางอนามัย แต่ควรเลือกใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำเท่านั้น เพราะการทาสารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน จะทำให้ถุงยางอนามันเสื่อมคุณภาพ ไม่สามารถใช้ป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากใช้จะยิ่งเสี่ยงต่อการติดโรคและการตั้งครรภ์" น.ส.วันเพ็ญกล่าว

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์