9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ

9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ


      

รถติด งานล้น ลูกค้าขี้วีน เจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้นินทา
สถานการณ์ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเร้าให้สติของชาวออฟฟิตอย่างเราๆ
หลุดกระเจิงแทบทุก 5 นาที และด้วยเหตุที่ครึ่งค่อนข้างชีวิตของเราๆท่านๆ
ต้องอยู่กับงาน จึงไม่รอช้าที่ให้พวกเรามาฝึกเทคนิคเรียกสติให้กลับคืนมาใน
ระหว่างวันทำงาน เพราะเมื่อสติกลับคืนมา ปัญญาที่จะสร้างสรรค์งานให้มี
คุณภาพก็จะตามมาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย

1. “ไฟแดง” ไฟแห่งสติ: สิ่งแรกที่ทำให้สติของชาวออฟฟิศ
ขาดกระเจิงพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามมาเห็นจะเป็นการจราจรที่แสน
จะติดขัด ยิ่งวันไหนที่ต้องติดไฟแดงแทบทุกแยกด้วยแล้ว มันหนีไม่พ้น
ที่จะบ่นกับตัวเองว่า “วันนี้ต้องเป็นวันซวยอย่างแน่นอน” ทางออกก็คือ
ต้อง “เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส” ลองใช้ไฟแดงเป็นเครื่องมือเตือนสติดู
ติดไฟแดงครั้งใดก็ให้หยุดดูความหงุดหงิดของตัวเองพร้อมดึงสติมา
จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้กว่าจะถึงออฟฟิศ เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสติ
พร้อมยิ้มรับกับทุกเรื่องที่กำลังรออยู่แล้ว

2. ตั้งจิตอธิฐานก่อนเริ่มงานทุกวัน: เมื่อมาถึงที่ทำงาน
สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การเริ่มงานอย่างลุกลี้ลุกลน แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ
หาเวลาสัก 5 นาทีเพื่อทำใจให้สงบ จากนั้นตั้งจิตให้มั่นแล้วนึกถึงธรรมะ
ที่ต้องการน้อมมาปฏิบัติ เช่น เมื่อวานขี้เกียจไปนิด วันนี้ต้องตั้งใจทำงาน
ด้วยความเพียร การตั้งจิตอธิษฐานไม่ได้หมายถึงการขอพรจากสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อช่วยให้ทำงานสำเร็จ ทว่าการอธิษฐานเป็นการเตือนใจ
ไม่ให้พลัดหลงไปกับอารมณ์และความเร่งรีบที่จะมาบั่นทอนจิตใจ
การทำงานนั่นเอง

3. ล้างจานเพื่อล้างจาน: การทำงานไม่ว่าอาชีพไหนก็สามารถ
เจริญสติขณะทำงานได้เช่นกัน เพราะการเจริญสติดในที่ทำงานหมายถึงการ
ดึงจิตใจให้อยู่กับงาน รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ จะล้างจานก็รู้ว่า
ล้างจาน ถูบ้านก็รู้ว่ากำลังถูบ้าน คิดเรื่องอะไรก็ใช้สติอยู่กับเรื่องนั้นๆไม่กังวล
กับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรือพะวงอยู่กับอนาคตที่ยังไม่ถึง ข้อดีของการเจริญสติ
ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น นอกจากจะทำให้งานสำเร็จแล้ว ยังทำให้ทำงานด้วย
ความผ่อนคลายโปร่งเบา เพราะจิตใจไม่ “ขยะ” ให้ต้องแบกรับ

4. ตามลมหายใจไปกับเสียงโทรศัพท์ : เคยไหมขณะกำลังทำ
งานอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าขี้วีนที่สุดเข้ามาทำให้อารมณ์ขุ่นมัว
ตั้งครึ่งค่อนวัน และเมื่อมีโทรศัพท์เข้าอีกครั้ง ( แม้จะไม่คนเดิมก็ตาม )
คราวนี้เราก็พร้อมจะระเบิดความขุ่นมัวเผื่อแผ่ไปให้ปลายสายอย่างไม่ยั้งคิด
ซึ่งผลลัพท์ที่ได้ แน่นอนว่ามีแต่เสียมากกว่า เผลอๆอาจทำให้เราต้องเสีย
ลูกค้าดีๆไปโดยไม่ได้คาดคิด ทางออกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ขอแนะนำให้ใช้
โทรศัพท์นี่แหละเป็นเครื่องมือเรียกสติ โดยก่อนรับสายให้ค่อยๆตามลม
หายใจเข้า – ออกช้าๆ 3 ครั้งเพื่อให้อารมณ์สงบนิ่งบางคนอาจใช้อุปกรณ์
เสริมอย่างเช่นกระจกบานเล็กๆวางใกล้ โทรศัพท์ ขณะคุยอาจยิ้มน้อยๆไป
ด้วย การมองตัวเองในกระจกช่วยให้ไม่เผลอส่งอารมณ์โกรธไปถึงคนปลาย
สายโดยไม่รู้ตัว

5. เจริญสติด้วยคำวิจารณ์ : การทำงานกับการวิพากษ์
วิจารณ์เป็นสิ่งที่คู่กัน แต่หลายคนมักสติหลุดเพียงเพราะถูกวิพาก
วิจารณ์ ดังนั้นสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์คือ เรา
เอาปัญญาออกหน้า หรืออัตตาออกหน้า หากเอาปัญญาออกหน้าจะเกิด
คำถามในใจว่า “ ฉันผิดพลาดตรงไหน ” แต่หากเลือกอัตตาก็จะมี
ประโยคหนึ่งตามมาคือ “ แกทำให้ฉันเสียหน้า ”
สุดท้ายถ้าเราพยายามเตือนตัวเองให้ใคร่ครวญแต่ข้อผิดพลาด ความทุกข์
ความรู้สึกเสียหน้าก็จะมาไม่ถึงเหมือนอย่างที่คุณเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้
ก่อตั้งเมืองโบราณมักเตือนตัวเองเสมอว่า “วันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นวัน
อัปมงคล”เพราะนั่นหมายถึงมีแต่คนสรรเสริญเยินยอจนหลงลืมตัว ซึ่งนำไปสู่
ความเสื่อมในที่สุด

6. เจริญสติด้วยคำนินทา : หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาที่แก้
เท่าไหร่ก็แก้ไม่ตก นั่นคือคำนินทา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็คงไม่มีปัญหา แต่
ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็อาจทำหลายคนเกิดอาการเครียดไปตามๆกัน ทางที่ดี
ที่สุด แม้เราจะห้ามคนนินทาไม่ได้ แต่เราก็สามารถห้ามใจไม่ให้คิดตาม
จน “ จิตตก ” ได้ และหนึ่งในวิธีที่ได้ผลชะงัด คือ การมองโลกในแง่ดี คิด
เสียว่าที่เขานินทาคือการเตือนทางอ้อมให้เราได้แก้ไขปรับปรุงในเรื่องที่
เรายังบกพร่อง เวลาที่เราได้ยินเสียงนินทาให้ถือเสียว่าเป็นระฆังแห่งสติที่
จะเตือนให้เราหันกลับมามองตัวเอง สิ่งไหนจริงก็ปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหน
ไม่จริงก็ปล่อยให้ผ่านไปที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิด พูด และทำแต่สิ่งดีๆ
เพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาไม่เป็นความจริง

7. สร้างทางเดินแห่งสติ: ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมมักใช้
เป็นข้ออ้างเมื่อการปฏิบัติไม่คืบหน้าคือ ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่จะฝึกฝน
เราจึงขอเสนอเส้นทางเดินแห่งสติในที่ทำงาน เริ่มตั้งแต่ลานจอดรถ ขั้น
บันได ทางเดินไปห้องน้ำ และที่จะขาดไม่ได้คือ ทางเดินไปห้องเจ้านาย
แม้ทางเดินเหล่านี้จะเป็นระยะทางสั้นๆเพี่ยงไม่กี่ก้าว แต่หากเราเดินด้วย
ความรู้สึกตัว มีสติในทุกย่างก้าว ซ้ายก็รู้ ขวาก็รู้ ขึ้นบันไดก็รู้ ไม่เผลอคิด
ฟุ้งซ่าน ถ้าทำได้อย่างนี้ สติจะไม่อยู่กับเราขณะทำงานก็ให้รู้ไป

8. พักยกด้วยระฆังแห่งสติ: สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิตที่งานยุ่ง
จนไม่มีแม้แต่เวลาจะดูนาฬิกา ขอแนะนำให้ใช้บริการระฆังแห่งสติเป็นผู้
ช่วย ระฆังแห่งสตินี้อาจจะใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งเวลาปลุกทุกครึ่ง
ชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง เคล็ดลับคือ เมื่อได้ยินเสียงระฆังแล้วให้วางมือจาก
การทำงานและกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีสัก 3 ลมหายใจ จากนั้นจึง
ค่อยทำงานต่อ เท่านี้สติก็อยู่กับตัวได้ตลอดทั้งวันแล้ว

9. ซ้อม “สอบ” ในที่ทำงาน: จริงอยู่ว่าในการทำงานย่อมมี
อารมณ์หลากหลายเข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ
โกรธ โมโห อิจฉา ริษยา แต่จริงๆ แล้วอารมณ์เหล่านี้ใช่ว่าจะเป็นผล
ร้ายกับเราเสียหมด ตรงกันข้ามอารมณ์หลากหลายที่เราต้องเผชิญใน
ที่ทำงานคือ บททดสอบที่ดียิ่งใน “วิชาสติ” ดังนั้นขอให้ใช้บททดสอบ
เหล่านี้ดูว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ใม่ให้วูบวาบไปตามสิ่งที่มากระ
ทบและเรียกสติมาช่วยได้ทันหรือไม่ หากเผลอก็ถือว่าสอบตก ต้องรีบ
สอบซ่อมและทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป

         คนเราต้องทำงานเกือบทั้งชีวิต หากเราหมั่นฝึกใช้สติควบคู่ไปกับทำงานก็
เท่ากับเรามีโอกาส ฝึกปฏิบัติธรรมกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์