เกร็ดดีๆ เรื่องสุขภาพ

เกร็ดดีๆ เรื่องสุขภาพ


 
ข่าวดีสำหรับคอกาแฟ

หลังจากศึกษากันมาเป็นเวลาหลายสิบปี นักวิจัยพบข้อมูลสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการดื่มกาแฟน่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่บ้าง
     
 การศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับกาแฟ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร New England journal of Medicine ใช้เวลาศึกษาติดตามชายและหญิงมากกว่า 400,000 คนเป็นระยะเวลาถึง 13 ปีก่อนที่จะสรุปว่า การดื่มกาแฟประมาณสี่ถึงห้าแก้วต่อวันมีแนวโน้มที่จะลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตถึงร้อยละ 12 ในกลุ่มผู้ชาย และร้อยละ 16 ในกลุ่มผู้หญิง ความเสี่ยงที่ลดลงสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ เส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบาดเจ็บและอุบัติเหตุ เบาหวาน และโรคติดเชื้อ แต่พบว่าความเสี่ยงจากการเสียชีวิตไม่ลดลงในกลุ่มคนดื่มกาแฟที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง
     
 ถึงแม้จะเคยเชื่อกันว่ากาแฟอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ แต่ก็เป็นไปได้ว่าพวกคอกาแฟมักมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เป็นสิงห์อมควัน ขาประจำวงเหล้า แถมบางรายอาจจะชอบกินแต่เนื้อแดง ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินผักผลไม้สดน้อย รวมๆ กันเข้าเลยกลายเป็นสุขภาพไม่ดี แต่โทษกาแฟว่าเป็นตัวการ
    
  อย่างไรก็ดี ต้องเข้าใจกันด้วยว่าการศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบสังเกตการณ์และติดตามผู้เข้าร่วมการศึกษาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ จึงไม่สามารถฟันธงได้เลยว่าการดื่มกาแฟทำให้การเสียชีวิตจากโรคต่างๆ ที่กล่าวมาลดลง แต่หากนำเอาผลจากการศึกษาก่อนๆ หน้ามาประเมินด้วย น่าจะพอสรุปได้ว่าการดื่มกาแฟไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต และพอจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่บ้าง
 


เกร็ดดีๆ เรื่องสุขภาพ

ลดน้ำหนักช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
หลายคนที่ต้องการลดน้ำหนักมักจะใจร้อน อยากลดน้ำหนักให้ได้ไวๆ แต่การลดน้ำหนักฮวบฮาบหมายถึงเราต้องพยายามเป็นพิเศษในการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งอาจจะเป็นความพยายามที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพตัวเองเท่าไหร่ และยิ่งกว่านั้น การจำกัดอาหารจนเกินงาม และการออกกำลัง-กายหนักๆ อาจจะไม่ใช่วิถีที่ปฏิบัติได้ต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการที่น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจไม่ใช่เพราะไขมันได้รับการเผา-ผลาญ แต่เป็นเพราะการสูญเสียน้ำในร่างกาย หรือการสูญเสียเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ 
      โดยปกติการลดน้ำหนักในอัตราที่แนะนำคือประมาณ 0.45-0.90 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจจะไม่ทันใจ แต่การลดน้ำหนักในอัตราดังกล่าวเป็นการลดน้ำหนักที่เราสามารถทำต่อเนื่องได้ในระยะยาว และดีต่อสุขภาพมากกว่า น้ำหนักของไขมัน 0.45 กิโลกรัม คิดเป็นพลังงานประมาณ 3,500 แคลอรี ดังนั้นหากจะลดน้ำหนักแค่ไม่ถึงครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ หมายความว่าในหนึ่งวันเราต้องเผาผลาญพลังงาน 500 แคลอรีต่อวัน คิดดูแล้วกันว่าต้องออกกำลังกันเหนื่อยแฮกขนาดไหน กว่าจะเผาผลาญได้ 500 แคลอรี
      ในบางกรณีของการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน ถ้าทำอย่างถูกวิธี ก็อาจไม่เป็นอันตราย เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วน ซึ่งคุกคามสุขภาพ แพทย์อาจสั่งอาหารที่ให้พลังงานต่ำมากๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักได้รวดเร็ว แต่การลดน้ำหนักโดยบริโภคอาหารที่ให้พลังงานต่ำๆ เช่นนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น คนสุขภาพปกติ ไม่ได้มีภาวะโรคอ้วน ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
 


เกร็ดดีๆ เรื่องสุขภาพ

 แปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง พอไหม?
 ตอนเด็กๆ เราท่องกันขึ้นใจว่าต้องแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง สมาพันธ์ทันต-กรรมอเมริกาแนะนำต่อว่าอย่างน้อยในหนึ่งครั้งที่ว่านั้นควรจะเป็นการแปรงก่อนนอน 
      แต่ถ้าเรากินจุบจิบดื่มโน่นดื่มนี่ตลอดวัน เราอาจจะต้องแปรงฟันมากกว่าสองครั้งตามที่แนะนำกันไว้ก็ได้ โดยเฉพาะหลังมื้ออาหารที่อุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาล เพราะอาหารจำพวกนี้ทำให้แบคทีเรียในช่องปากที่เราสะสมไว้ปล่อยกรดที่เป็นอันตรายต่อผิวเคลือบฟันของเราออกมา ดังนั้นการเลือกอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลต่ำ รวมทั้งการดื่มน้ำมากๆ สามารถช่วยลดการผลิตกรดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพฟันของเราได้ นอกจากนั้น การแปรงฟันหลังรับประทานอาหารจะช่วยลดคราบแบคทีเรียที่สะสมบนผิวฟัน จนกลายเป็นหินปูน ซึ่งหากสะสมคราบไว้มากๆ ก็จะเป็นบ่อเกิดของฟันผุ และเหงือกอักเสบ 
      แต่มีข้อควรระวังคืออย่าแปรงฟันทันทีหลังบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด อย่างเช่นน้ำส้ม ควรรออย่างน้อยสักครึ่งชั่วโมง เนื่องจากกรดเหล่านี้ทำลายผิวเคลือบฟัน หากแปรงฟันทันทีหลังบริโภคจะเป็นอันตรายต่อผิวเคลือบฟันได้ หรือถ้ารู้ว่ากำลังจะบริโภคอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด จะแปรงฟันรอก่อนบริโภคเลยก็ย่อมได้ 
      แต่อย่าลืมว่าแปรงฟันอย่างเดียวลดคราบหินปูนไม่ได้ทั้งหมด ควรใช้ไหมขัดฟัน น้ำยาบ้วนปาก และพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนอย่างน้อยปีละสองครั้งเป็นประจำ รับรองยืดอายุการใช้งานของฟันได้แน่นอน
 

เกร็ดดีๆ เรื่องสุขภาพ

ยาปลูกขนตา
สาวๆ ที่นิยมต่อขนตาหรือติดขนตาปลอมอาจจะสนใจยาตัวนี้ ยาไบมาโทรพอสต์ซึ่งใช้ชื่อการค้าว่า Latisse ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาของอเมริกาให้ใช้ในการรักษาคนที่มีปัญหาขนตาบาง หรือขนน้อย (Hypotrichosis) 
      อันที่จริงไบมาโทรพอสต์นี่มีชื่อการค้าอีกชื่อหนึ่งว่า Lumigan ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นยาหยอดตารักษาโรคต้อหิน แต่ปรากฏว่าผลข้างเคียงของ Lumigan คือทำให้ขนตาหนาขึ้น จึงทำให้บริษัทยาสมองใสนำมาทำการตลาดในชื่อการค้าว่า Latisse นั่นเอง 
      Latisse อาจจะมีผลข้างเคียงได้ เช่น คัน ตาแดง ตาแห้ง เปลือกตาคล้ำ ม่านตาเป็นสีน้ำตาลเข้ม
      การจะใช้ Latisse ให้เห็นผลดีจะต้องใช้ทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อยสองเดือนจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง โดยจะต้องป้ายยาลงไปบนผิวใต้ขอบขนตาบน แต่ไม่ต้องป้ายขอบขนตาด้านล่าง ระหว่างที่ใช้ยา ขนตาก็จะหนาสวยไปเรื่อยๆ แต่ข้อเสียคือหากหยุดใช้ ขนตาก็จะกลับไปสั้นกุดเหมือนเดิม 
      Latisse อาจจะมีผลข้างเคียงได้ เช่น คัน ตาแดง ตาแห้ง เปลือกตาคล้ำ ม่านตาเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือขนขึ้นรอบบริเวณดวงตาหากยาที่ทาบนเปลือกตาไหลไปโดนผิวบริเวณรอบๆ บ่อยๆ ส่วนอาการเปลือกตาคล้ำ เขาบอกว่าหากหยุดใช้รอยคล้ำจะค่อยๆ จางไปเอง แต่สีม่านตาที่เข้มขึ้นอาจจะไม่หาย 
      สาวๆ คงต้องชั่งน้ำหนักดูเองว่าคุ้มไหมกับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น หรือกลับไปติดขนตาปลอมจะง่ายกว่าไหม


เกร็ดดีๆ เรื่องสุขภาพ

รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ
  มีตัวยาหลายชนิดจากธรรมชาติที่เราใช้ทาช่วยลดการอักเสบของสิว และเม็ดสิวที่เห่อเต็มหน้าได้ ยาบางตัวหลายคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น น้ำมัน Tea Tree เจลทาสิวที่ผสม Tea Tree 5% มีประสิทธิภาพเทียบเท่าเบน-ซอยล์เพอร็อกไซด์ 5% แต่ระวังหากผิวเห่อเพราะเป็นโรคโรซาเซีย (โรคหน้าแดง ที่อาจมีอาการผิวเห่อคล้ายสิว) การทาน้ำมัน Tea Tree จะทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม
      กรดจากธรรมชาติอีกชนิดที่รู้จักกันดีคือกรดอัลฟาไฮดร็อกซีที่พบมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว กรดอัลฟาไฮดร็อกซีจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และช่วยลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว แต่อาจทำให้ผิวระคาย-เคือง หน้าแดง หรือแสบผิวยิบๆ
      กรดอซีเลคพบได้ในซีเรียลธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ช่วยรักษาสิวได้เช่นกัน ครีมที่มีกรดอซีเลค 20% มีประสิทธิภาพแทบจะเทียบเท่ากับยารักษาสิวที่ใช้กันทั่วไปอย่างเบน-ซอยล์เพอร็อกไซด์ หรือยาเททราไซคลีน
      นอกจากยาทาสิวที่มาจากสารธรรมชาติ ยังมียากิน เช่น อาหารเสริมที่มาจากธาตุสังกะสี (Zinc) การกิน Zinc ต่อเนื่องสักระยะหนึ่งจะช่วยลดจำนวนสิวได้ บริวเออร์ยีสต์ (เชื้อยีสต์ที่ตายแล้ว) ชนิดที่เรียกว่า ซีบีเอส 5926 ก็รักษาสิวได้ แต่ในบางรายบริวเออร์ยีสต์อาจกระตุ้นอาการไมเกรน หรือทำให้ลำไส้ปั่นป่วน 
      แม้จะใช้สารธรรมชาติรักษาสิว ก็ต้องระวังอาการแพ้ด้วยเช่นกัน ศึกษาให้ดีก่อนใช้ อย่าชะล่าใจ


เกร็ดดีๆ เรื่องสุขภาพ


เล็บอะครีลิก
 การต่อเล็บอะครีลิกเล็บเป็นอุปกรณ์เสริมความงามอีกอย่างที่ดูจะฮอตฮิต แต่การใส่เล็บอะครีลิกทุกวันจะเป็นอันตรายต่อเล็บปกติของเราหรือไม่ 
      ผู้เชี่ยวชาญที่ตอบปัญหาอยู่ในเว็บฯ ของคลินิกเมโยคิดว่าไม่น่าจะมีอันตรายแต่อย่างใด แต่มีข้อพึงระวังเนื่องจากการต่อเล็บอะครีลิกอาจจะมีช่องว่างระหว่างเล็บจริงกับเล็บอะครีลิก อย่างเช่นเกิดไปชนหรือไปติดอะไรเข้า เล็บอะครีลิกอาจจะเลื่อนออก ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเล็บต่อกับเล็บจริง เจ้าช่องว่างนี่แหละที่จะเป็นแหล่งสะสมความอุ่นชื้นได้ที่กำลังดีทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ หรือถ้าเล็บอะครีลิกยาว หรือแข็งเกินไป เครื่องมือที่ใช้ติดเล็บไม่สะอาด เล็บธรรมชาติก็อาจติดเชื้อได้เช่นกัน ถ้าเล็บธรรมชาติติดเชื้อขึ้นมา สังเกตได้จากเล็บอาจจะหนาขึ้น ผิวเล็บขรุขระ หรือสีเล็บซีด บางรายอาจจะแพ้กาวที่ใช้ติดเล็บ ทำให้มีอาการปวด บวม เป็นรอยแดงตรงบริเวณที่แพ้
      หากจะไปต่อเล็บอะครีลิก ขอให้ระวังเรื่องความสะอาดของร้าน และเครื่องมือ ช่างทำเล็บควรล้างมือให้สะอาดหลังจากให้บริการลูกค้าแต่ละราย ก่อนต่อเล็บควรแช่มือในน้ำสบู่ ไม่ควรให้ช่างเล็มจมูกเล็บ เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น รวมทั้งอย่าให้ช่างตะไบเล็บเราก่อนต่อเล็บด้วย เนื่องจากจะทำให้เล็บธรรมชาติอ่อนแอได้ 
      
หากเกิดอาการแพ้หลังต่อเล็บ ควรพบแพทย์ผิวหนังโดยด่วน เพื่อประเมินอาการ

ขอบคุณบทความจาก ::  image.gmember.com

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์