ชะตาราคา 20 ตำลึง

ชะตาราคา 20 ตำลึง


ในรัชสมัยถงจื้อแห่งราชวงศ์ชิง

ที่ว่าการอำเภอเจียงเซี่ย มีนายทะเบียนอำเภอคนหนึ่งชื่อว่าพันจิ่งฉี ปกติเขาเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมีวินัยเคร่งครัด ปฏิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญู ภรรยาของเขานางเจียงซื่อก็เป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมชีวิตครอบครัวจึงมีแต่ความสุข เป็นที่ชื่นชมของคนทั้งหลาย แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
 
วันหนึ่งแม่ของพันจิ่งฉีล้มป่วยและตายไป

พันจิ่งฉีใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลแม่ไปมาก จนเงินขาดมือไม่มีพอที่จะทำศพแม่ ทางบ้านก็ไม่มีเงินสำรองสะสมเลย เขาคิดหาทางออกไม่ได้จึงตัดสินใจนำเงินส่วนของอำเภอที่เขามีหน้าที่เก็บรักษาไว้มาใช้ก่อนเป็นการชั่วคราวเป็นจำนวน 20 ตำลึง ไม่นานก็จะใช้คืนให้ได้ แต่กระดาษย่อมห่อไฟไว้ไม่อยู่ เรื่องยักย้ายเงินทางการไปใช้ส่วนตัวครั้งนี้ล่วงรู้ไปถึงหูนายอำเภอทันที พันจิ่งฉีถูกถอดออกจากตำแหน่ง และต้องโทษจำคุก
 
นับแต่วันนั้นมา

ครอบครัวของพันจิ่งฉีก็ตกอยู่ในความทุกข์อันมืดมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาของเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ นางวิ่งเต้นหาทางช่วยเหลือสามีไปทั่ว ใครแนะนำให้ไปหาใครก็ไป จนในที่สุดก็มีคนวงในรู้มาและแนะนำว่า เพียงแต่หาเงิน 20 ตำลึงไปใช้คืนให้ทางการแล้วขอให้ยกฟ้องเท่านั้น สามีของนางก็จะพ้นผิดได้รับการปล่อยตัวออกมา เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนี้แล้ว นางก็รีบออกเดินทางในคืนนั้นทันที เพื่อจะกลับไปขอยืมเงินจากพ่อแม่ของนาง เมื่อพ่อแม่ได้รู้เรื่องราวคราวเคราะห์ของลูกสาวก็ยินดีมอบเงิน 20 ตำลึงให้ทันที นางเจียงซื่อรีบเดินทางกลับบ้านแม่พร้อมด้วยเงิน 20 ตำลึง ซึ่งหมายถึงความเป็นอิสระของสามี
 
เช้าวันรุ่งขึ้น

ขณะที่นางเจียงซื่อเตรียมตัวไปที่ว่าการอำเภอเพื่อนำเงินไปมอบคืน ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้าบ้านมา เขาแนะนำตัวเองว่าแซ่หลินเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกับพันจิ่งฉีสามีของนาง ได้ยินข่าวว่าพันจิ่งฉีถูกจับรู้สึกร้อนใจมาก อยากจะให้ความช่วยเหลือเป็นผู้นำเงินยี่สิบตำลึงไปใช้คืนที่ทำการอำเภอให้ นางจะได้ไม่ต้องลำบาก นางเจียงซื่อพาซื่อหลงเชื่อ คิดว่าชายผู้นั้นเป็นเพื่อนรักของสามีจริง อีกทั้งในสมัยนั้นสตรีเพศไม่เหมาะที่จะออกไปปรากฎโฉมนอกบ้านนัก โดยเฉพาะยิ่งเป็นที่ทำการด้วยแล้ว
 
ฉะนั้นพอได้ยินชายผู้นั้นขันอาสานางเจียงซื่อก็จัดการมอบหมายเงินยี่สิบตำลึงให้ไปทันที โดยมิได้สงสัยอะไร

นางหารู้ไม่ว่าแท้จริงชายผู้นั้นคือนักต้มตุ๋น เมื่อได้เงิน 20 ตำลึงไปแล้ว ชายแซ่หลินผู้นั้นก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย นางเจียงซื่อเฝ้าคอยสามีอยู่ที่บ้าน คอยแล้วคอยเล่าก็ไม่เห็นสามีกลับมาเสียที จนในที่สุดนึกรู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว นางเสียใจมากและคิดหาทางออกไม่ได้ จึงแขวนคอตายไปในคืนหนึ่ง พ่อของพันจิ่งฉียิ่งน่าสงสารนัก ภรรยาผู้เฒ่าเพิ่งตายจากไป ลูกก็ถูกจับ แล้วลูกสะใภ้ยังมาแขวนคอตายไปอีก แกไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี จึงนำศพลูกสะใภ้ใส่โลงแล้วไปฝากวางไว้ใต้ระเบียงทางเดินทางซ้ายมือของศาลเจ้าจอมเทพฯกวนอู
 
เวลาผ่านไปได้สามวัน

คืนนั้นผู้เฒ่าก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน แกรู้สึกแปลกใจ ว่าใครหนอดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วมาเคาะประตูเรียก จึงงัวเงียออกไปเปิดประตู และแล้วแกก็ต้องสะดุ้งสุดตัว ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของแกคือวิญญาณของลูกสะใภ้ที่เพิ่งผูกคอตายไปได้ไม่กี่วันนั่นเอง แกตัวสั่นร้องลั่นว่า "อย่ามาหลอกเตี่ยเลย เราอยู่กันคนละโลกแล้ว" แล้วแกก็ต้องสะดุ้งอีกเมื่อได้ยินเสียงวิญญาณตอบว่า "เตี่ยอย่ากลัวลูกเลย ลูกเป็นคนไม่ใช่ผี ท่านจอมเทพกวนอูได้โปรดเมตตาคืนชีวิตให้แกลูก ไม่เชื่อเตี่ยตามมาดูซิ" พ่อเฒ่าเดินตามไปดูอย่างขยาด ๆ เมื่อไปถึงปรากฎว่าในโลงว่างเปล่าจริง ๆ แต่แกก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง เมื่อเหลือบไปเห็นกลางห้องที่บูชาปรากฎศพผีหัวขาดของผู้ชายคนหนึ่งนอนตายอยู่อย่างอนาถ เบื้องพระบาทของจอมเทพกวนอูพอดี ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ มีดเล่มใหญ่ที่รูปปั้นเทพอารักษ์โจวชังถืออยู่นั้นเปื้อนไปด้วยรอยเลือดสด ๆ บนโต๊ะบูชามีเงิน 20 ตำลึงวางอยู่ชายที่ถูกเทพอารักษ์โจวชังตัดหัวนั้นก็คือชายแซ่หลินที่หลอกลวงเงินไปจากนางเจียงซื่อนั่นเอง
 
วันรุ่งขึ้น

นายอำเภอได้ทราบข่าวคดีสยองขวัญนี้ ก็รีบไปชันสูตรสอบสวน แล้วก็ต้องกราบขอบพระคุณจอมเทพกวนอูพร้อมด้วยเทพอารักษ์โจวซังอย่างนอบน้อม เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่พระองค์ได้โปรดชำระความยุติธรรม วันรุ่งขึ้น พันจิ่งฉีก็ได้รับการปล่อยให้พ้นโทษออกมา

ขอบคุณเรื่องเล่าสอนใจ
จาก สังคมธรรมะออนไลน์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์