เมื่อความลับดำมืดเผยตัว: หญิงสหรัฐแต่งงานกับพ่อบังเกิดเกล้า

เมื่อความลับดำมืดเผยตัว: หญิงสหรัฐแต่งงานกับพ่อบังเกิดเกล้า


ความลับดำมืด อาจทำลายชีวิตของเราให้ย่อยยับ ครอบครัวแตกแยก และสูญเสียศรัทธาไปโดยสิ้นเชิง

แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่านางแวเลอรีสปรูล ขณะที่สามีของเธอยังมีชีวิต หลังการเสียชีวิตของเขาผ่านไป 4 ปี เธอเริ่มระแคะราคายเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับพ่อที่สาบสูญไปของเธอกับสามี

ทุกอย่างยังคงเป็นเรื่องน่าสงสัยกระทั่งลุงของเธอได้เผยความจริงอันน่าตกตะลึง ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ชายที่เธอแต่งงานด้วยนั้น แท้จริงคือพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเอง


นางสปรูลกล่าวว่า ในใจของเธอท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ที่สามารถทำลายล้างทุกอย่างให้หมดสิ้นไปได้

เรื่องของหญิงวัย 60 ปี ชาวเมืองดอล์ยส์ทาวน์ รัฐโอไฮโอ กลายเป็นที่โจษจัน หลังเรื่องราวของเธอถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในหนังสือพิมพ์ เอครอน บีคอน เจอร์นัล เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ด้วยหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถช่วยให้คนอื่นๆ สามารถเผชิญปัญหาที่ยากจะผ่านพ้นของตนเองไปได้


เรื่องราวของเธอได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว และไปไกลถึงออสเตรเลียและอินเดีย ซึ่งก่อเกิดคำถามเช่นเดียวกันว่า เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

มันเป็นคำถามที่ค้างคาใจมาตลอด นับตั้งแต่ที่เธอทราบความจริงครั้งแรกเมื่อปี 2004 หรือ 6 ปีหลังจากที่ เพอร์ซี สปรูล สามีของเธอเสียชีวิต

สปรูลเผยว่า เธอไม่ทราบว่าเขารู้เรื่องนี้หรือไม่ และก็ไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องนี้ เธอคิดว่าหากเขารู้ เขาก็ไม่มีวันที่จะบอกเธอ

เธอยืนยันว่า สามีของเธอก็คือพ่อบังเกิดเกล้า หลังการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ โดยใช้เส้นผมจากหวีของเขา และผลที่ได้รับจากการเปิดเผยครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งร่างกาย และจิตใจของเธอทันที

นางสปรูลมีอาการเส้นเลือดในสมองอุดตันถึง 2 ครั้ง และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานอีกด้วย และเธอเชื่อว่าทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากความลับอันดำมืดดังกล่าว

เธอกล่าวว่า ความเจ็บปวด และความเครียดกำลังจะฆ่าเธอ เธอจึงต้องปลดลปล่อยความเครียดนั้นออกมา และที่เธอเล่าเรื่องราวนี้ก็เพื่อปลดปล่อยความเจ็บปวด เธอมีศรัทธาในพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเธอเชื่อว่าพระเจ้าได้นำเธอและคนอื่นๆให้ผ่านประสบการณ์ต่างๆในชีวิต ที่ทำให้เธอมีตัวตนเช่นปัจจุบัน และเสริมว่า เราจะต้องมีศรัทธา หากพระเจ้าพาเธอมาไกลเช่นนี้ พระเจ้าก็จะไม่ทิ้งเธออย่างแน่นอน



สปรูลได้พบและแต่งงานกับสามี และพ่อของตนเอง ในเมืองเอครอน และลงหลักปักฐานที่เมืองดอล์ยส์ทาวน์ นี่ถือเป็นการแต่งงานครั้งที่ 2 ของเธอ ขณะที่เขาเองก็เป็นคนดี และรักลูกๆ 3 คนจากสามีคนก่อน

หลังจากทราบเรื่อง สปรูลเผยว่า ช่วงแรกๆเธอรู้สึกโกรธแค้นอย่างมากต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การบำบัด ได้ทำให้เธอเรียนรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมาไม่ใช่ความผิดของเธอ และศรัทธาได้สอนให้เธอรู้จักให้อภัย

ในช่วงไม่นานมานี้ เธอได้ติดต่อกับบุคคลที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกับเธอ อาทิ คนที่แต่งงานกับพี่น้องของตนเอง พวกเขาบอกกับเธอว่า เรื่องราวของเธอทำให้พวกเขาจัดการกับปัญหาส่วนตัวได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ดี มีบางคนกล่าวกับเธอเช่นว่า "ความลับก็ควรเป็นความลับต่อไป" เธอกล่าวว่า เธอเองก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดพวกเขาได้ เธอแค่รู้ว่าตนเองคิดอะไรอยู่ และพระเจ้าสอนเธอว่าเราควรพูดความจริงต่อกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

สปรูลทราบดีว่าไม่ทุกคนที่จะพูดความจริง และนั่นบทเรียนที่เธอได้เรียนรู้ นับตั้งแต่ยังเด็ก

เธอเล่าว่า แม่ของเธอตั้งท้องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ขณะที่ออกเดตกับพ่อของเธอ ซึ่งมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ขณะที่เธอ เมื่ออายุได้ 3 เดือนก็ถูกส่งไปอยู่กับตาและยาย ที่เธอเข้าใจมาโดยตลอดว่าเป็นพ่อแม่แท้ๆ

กระทั่งเมื่อเธออายุ 8-9 ปี เธอจึงเพิ่งรู้ว่า ผู้หญิงที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนครอบครัวเธอบ่อยๆ ไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เป็นแม่ของเธอเอง แต่ก็ไม่เคยมีใครปริปากพูดถึงพ่อของเธอเลย

ไม่มีใครพูดถึงพ่อให้เธอได้ยิน แม่ของเธอ คริสทีน เสียชีวิตเมื่อปี 1984 และตายายก็เสียชีวิตตามกันไป แต่ก็ยังคงมีญาติฝ่ายพ่อหลงเหลืออยู่บ้าง

สปรูลทราบว่าแม่ของเธอเคยเป็นโสเภณี และเคยมีความเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตของผู้พิพากษารายหนึ่ง เมื่อปี 1980 ที่เคยถูกกล่าวหาว่าขู่กรรโชกพนักงานสอบสวน และทำร้ายเสมียนในห้องพิจารณาคดี แต่กระนั้นก็ยังมอบความรักให้เธออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และเธอเองก็ไม่เคยรู้สึดเสียใจแม้แต่น้อย

สปรูลเชื่อว่าเธออาจมีพี่น้อง หรือลูกพี่ลูกน้อง ทั้งจากฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ ขณะที่ตัวเธอเอง มีลูก 3 คน และหลาน 8 คน และเธอเองก็รู้สึกลำบากใจที่จะเผยให้ลูกหลานทราบว่า ชายที่เป็นพ่อเลี้ยงของพวกเขานั้น แท้จริงคือตาของพวกเขา

ด้านจิตแพทย์แนะนำเธอว่าควรบอกเรื่องนี้ให้พวกเขาทราบ และเธอก็บอกไปแล้วเมื่อสองปีก่อน และพบว่าพวกเขาสามารถรับมือกับปัญหาได้ดีกว่าเธอมาก

เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนที่เรื่องนี้จะกลายเป็นข่าวใหญ่โต เธอได้บอกเรื่องนี้แก่หลานๆแล้วเช่นกัน ซึ่งทุกคนก็ต่างให้กำลังใจเธอเป็นอย่างดี และจะทำทุกสิ่งที่เธอต้องการ

ในเวลาว่างหลังการเกษียณจากงานด้านบัญชี ที่บริษัทกู้ดเยียร์ ที่เธอทำมานานถึง 34 ปี เธอได้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆเพื่อหวังว่าวันหนึ่งมันจะได้รับการตีพิมพ์

เธอขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเธอสามารถผ่านเรื่องราวเช่นนี้มาได้และไม่ใช่เรื่องปาฏิหารย์ที่ทำให้เธอยังคงยืนอยู่ ณ ช่วงเวลาปัจจุบันได้ และเธอยากให้ทุกคนรู้ว่า พวกเขาสามารถฝ่าฟันปัญหาเช่นนี้ได้เช่นเดียวกับเธอ


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์