อุปกิเลสของสมาธิ

อุปกิเลสของสมาธิ


สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่า ชื่อว่า ปาจินวังสะทายวัน แขวงเมือง โกสัมพี ณ ที่นั้น ภิกษุ ๓ รูป


คือ พระอนุรุทธะ พระนันทิยะ และพระกิมพิกะ ได้กราบทูล พระพุทธองค์ว่า ข้าพระองค์ทั้งสามพยายามกำหนดเห็นแสงสว่าง แล้วเห็นรูปทั้งหลาย แต่ แสงสว่างและรูปนั้นเห็นอยู่ไม่นาน ก็หายไป ข้าพระองค์ทั้งสามไม่ทราบว่า เป็นเพราะเหตุไร?
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้น ดังต่อไปนี้

"อนุรุทธะทั้งหลาย (ตรัสแก่ภิกษุทั้งสามองค์ แต่ทรงเรียกอนุรุทธะเป็นองค์แรก) แม้ เราเองครั้งก่อนแต่ตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ กำหนดเห็นแสงสว่างได้ และ เห็นรูปทั้งหลาย แต่ไม่นานเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นก็หายไป เราก็เกิดความสงสัยว่า อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป เราก็คิดได้ว่า อุปกิเลส เหล่านี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป


อุปกิเลสเหล่านี้ คือ

๑. วิจิกิจฉา ความลังเลหรือความสงสัย
๒. อมนสิการ ความไม่ใส่ใจไว้ให้ดี
๓. ถีนมิทธะ ความท้อและความเคลิบเคลิ้มง่วงนอน
๔. ฉิมภิตัตตะ ความสะดุ้งหวาดกลัว
๕. อุพพิละ ความตื่นเต้นด้วยความยินดี
๖. ทุฏจุลละ ความไม่สงบกาย ความคะนองหยาบ
๗. อัจจารัทธวิริยะ ความเพียรจัดเกินไป
๘. อติลีนวิริยะ ความเพียรย่อหย่อนเกินไป
๙. อภิชัปปา ความอยาก
๑๐. นานัตตสัญญา ความนึกไปในสิ่งต่างๆ (เรื่องราวต่างๆ ที่เคยผ่านมา หรือเคย จดจำไว้ มาผุดขึ้นในขณะทำสมาธิ)
๑๑. รูปานัง อตินิชฌายิตัตตะ ความเพ่งต่อรูปจนเกินไป.

อนุรุทธะทั้งหลาย เมื่ออุปกิเลสเหล่านี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่เราแล้ว

สมาธิ ของเราก็เคลื่อนไป เพราะอุปกิเลสเหล่านี้เป็นต้นเหตุ เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการ เห็นรูปก็หายไป ฉะนั้น เราพยายามสอดส่องดูว่า วิธีใดจะทำให้อุปกิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็ทำใจไว้โดยวิธีนั้น อนุรุทธะทั้งหลาย เรารู้ชัดว่า วิจิกิจฉา เป็นต้นเหล่านี้ เป็นอุปกิเลสของจิต จึงได้ละเสีย"


เ ห ต ุข อ ง ก า ร ไ ม่ เ ห็ น แ ส ง ส ว ่า ง แ ล ะ ร ูป


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นต่อไปอีกว่า อนุรุทธะทั้งหลาย เราทั้งที่ไม่ประมาท มีความเพียรประคองจิตไว้ในสมาธิอยู่ บางครั้งก็เห็นแต่แสงสว่างไม่เห็นรูป บางครั้งก็เห็นแต่รูปไม่เห็นแสงสว่าง เป็นดังนี้ทั้งคืนบ้าง ทั้ง วันบ้าง ทั้งคืนและทั้งวันบ้าง เราจึงเกิดความสงสัยว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เป็นเช่นนี้.

อนุรุทธะทั้งหลาย เราคิดได้ว่า ขณะใด เราไม่นึกถึงรูป นึกถึงแต่แสงสว่าง

ขณะนั้นเราก็เห็นแต่แสงสว่างไม่เห็นรูป ขณะใดเราไม่นึกถึงแสงสว่าง นึกถึงรูป ขณะนั้นเราก็เห็นแต่รูป ไม่เห็นแสงสว่าง เป็นดังนี้ ทั้งคืนบ้าง ทั้งวันบ้าง ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง. อนุรุทธะทั้งหลาย เราเมื่อไม่ประมาท มีความเพียร ประคองจิตไว้ในสมาธิอยู่ บางครั้งเห็นแสงสว่างนิดเดียว เห็นรูปนิดเดียว บางครั้งเห็นแสงสว่างมาก เห็นรูปมากเป็นดังนี้ ตลอดทั้งคืนบ้าง ตลอดทั้งวันบ้าง ตลอดทั้งคืนทั้งวันบ้าง เราจึงเกิดสงสัยว่าอะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้เป็นเช่นนี้


อนุรุทธะทั้งหลาย เราคิดได้ว่า ขณะใด สมาธิของเราน้อย ขณะนั้นจักษุก็มีน้อย

ด้วยจักษุอันน้อยนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างน้อย เห็นรูปก็น้อย ขณะใดสมาธิของเรามาก ขณะนั้น จักษุก็มีมาก ด้วยจักษุอันมากนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างมาก เห็นรูปก็มาก เป็นดังนี้ทั้งคืนบ้าง ทั้ง วันบ้าง ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง.


ที่มา : Fw mail

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์