เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!

คนดังวัยเยาว์...เด็กทุกคนล้วนแตกต่าง 

พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่เกิดความไม่สบายใจที่เห็นลูกๆ ของตนอาจจะไม่เหมือนเด็กคนอื่น เด็กบางคนก็ซนเหลือเกิน หรือเด็กบางคนก็ไม่ชอบทำในแบบที่เด็กคนอื่นๆ ทำ แต่ความจริงแล้ว หากเรามองให้ดีเด็กก็คือเด็ก พวกเขามีธรรมชาติของตัวเอง หากพ่อแม่สังเกตให้ดี และทำความเข้าใจลูกๆ ของตนแล้ว อาจพบว่าความต่างบางอย่างนั้นอาจเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงอนาคตพวกเขาได้ 

เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!

ทอม ครูซ นักแสดงชาวอเมริกันชื่อดัง 

ทอมรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลาตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาล เพราะเขาบอกครูไม่ได้ว่าอักษร C กับ D โค้งผิดกันอย่างไร

เขามีปัญหาทางการเรียน เพราะมีอาการผิดปกติของดิสเลกเซีย ซึ่งเป็นความผิดปกติทางสมองอย่างหนึ่ง แม่และพี่น้องผู้หญิงของเขาก็เป็นกันหมดทั้งบ้าน คนที่มีลักษณะบกพร่องเช่นนี้จะมองเห็นอักษรกลับไปมาหรือสับสนวุ่นวาย แม่เขาที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นครูสอนเด็กบกพร่องด้านนี้ต้องช่วยลูกทั้งสี่อย่างสุดความสามารถ แต่ทอมนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยอย่างมาก ซ้ำพ่อแม่ของเขายังหย่ากันตอนเขาอายุ 11 ขวบ แม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น

ทอมต้องย้ายโรงเรียนกว่าสิบครั้งกว่าจะจบมัธยมฯ และเพื่อนในโรงเรียนใหม่ๆ มักไม่เข้าใจและมองพี่น้องตระกูลครูซเป็นตัวประหลาด 

เมื่อตอนมัธยมปลาย ทอมอยู่ว่างๆ ก็ตัดสินใจสมัครเล่นละครโรงเรียน และได้บทตัวเอก เขาแปลกใจที่ตัวเองรู้สึกสบายๆ มั่นใจเต็มร้อยเมื่ออยู่บนเวที ราวกับว่าเขาไม่ใช่คนเดียวกันกับ "ทอมผู้มีปมด้อย" จึงบอกแม่ว่าชอบการแสดง อนาคตต้องเป็นนักแสดงให้ได้ และเขาไม่หวั่นแม้แต่น้อยว่าผู้ที่มีความบกพร่อมด้านการอ่านอย่างเขาต้องเผชิญกับการอ่านสคริปต์อย่างหนัก 

เขาทำงานทุกชนิดเพื่อช่วยแม่ตั้งแต่เด็กจนโต เพื่อจบมัธยมด้วยคะแนนค่อนข้างต่ำ เขาไม่มุ่งเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเพื่อน แต่ตัดสินใจไปเป็นพนักงานร้านอาหารในนิวยอร์ก ทำงานทุกรูปแบบล้างชามยันเป็นลูกมือพ่อครัว ระหว่างนั้นก็หางานแสดงไปด้วย ไม่นานเขาได้บทตัวประกอบ และเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัว 

ดอน ซิมสัน ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังเคยพูดไว้ว่า "ถนนชีวิตของทอมไม่ราบเรียบ--เต็มไปด้วยหลุมบ่อ แต่เขาก็กระโดดข้ามมันไปได้ด้วยความตั้งใจจริงและการทำงานหนัก" 


เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!


ชาลี แชปลิน นักแสดงชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียง 

เป็นราชาหนังตลกคลาสสิคชาวอังกฤษ ในวัยเด็กมีชีวิตที่ขมขื่น เกิดในสลัม มีพ่อแม่เป็นนักแสดงละครเร่ พ่อแม่หย่ากัน พ่อขี้เมา แม่เริ่มป่วยจนทำงานไม่ได้และเสียสติในที่สุด ชาลีได้งานแสดงเป็นเรื่องเป็นราวเมื่ออายุ 12 แต่เนื่องจากการเรียนหนังสือกระท่อนกระแท่นทำให้อ่านหนังสือไม่แตก ต้องให้พี่ชายมาช่วยอ่านบท 

ด้วยพรสวรรค์หรืออะไรซักอย่าง ชาลีสามารถจดจำบทละครยาวๆ ได้โดยพี่ชายไม่ต้องอ่านซ้ำสอง ละครเรื่องแรกชาลีก็ดังระเบิดจากการชื่มชมของหนังสือพิมพ์ในลอนดอน แล้วชีวิตหนูน้อยก็เจิดจรัสนับแต่นั้น วันที่แม่ของชาลีได้ตายจากไป เป็นช่วงเวลาที่ชาลีกำลังถ่ายหนังอยู่ เขารีบไปดูแม่ที่โรงพยาบาลโดยยังล้างคราบแป้งแต่งหน้าออกไม่หมด เมื่อไปถึงก็ปิดประตู "คุย" กับศพแม่อยู่หลายชั่วโมง บทภาพยนตร์ที่ชาลีสร้าง ภาพของตัวตลกที่นั่งคุยเป็นวรรคเป็นเวรกับแม่ที่เสียสติ หรือ แม่ซึ่งตายแล้ว ได้สร้างเสียงหัวเราะให้คนดูบนคราบน้ำตาของตัวละคร แสดงโดย ชาลี แชปลิน


เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ทฤษฎี

เกิดมาเป็นทารก ปรากฏว่าหัวโตเบ้อเริ่ม บรรดาญาติโยมเห็นแล้วตกใจ แม้แต่แม่ของเขาก็นึกว่าเขาผิดปกติ หรือพิการ เขาพูดครั้งแรกเมื่ออายุเกือบสี่ขวบ มีเรื่องเชิงขำขันว่าประโยคแรกที่เขาพูดคือ "ซุปมันร้อนเกินไป" เมื่อแม่ถามว่าพูดได้แล้วทำไมไม่พูดอยู่นาน หนูอัลตอบว่า "ก็เมื่อก่อนแม่ไม่ทำซุปร้อนลวกปากอย่างนี้"

เมื่อเข้าโรงเรียนเด็กที่ชอบเรียนเอง คิดเอง จึงไม่ชอบครู ซึ่งนำระบบทหารมาใช้ เด็กต้องเชื่อฟัง ซ้ายหัน-ขวาหัน ห้ามหือ และครูก็ไม่ชอบอัลเบิร์ตเช่นกัน พวกครูทั้งหลายว่าเขาเป็นเด็กโง่ ไม่สนใจเรียน และโตขึ้นคงไม่ได้ดี 

พ่อกับลุงจาคอบของอัลเบิร์ตทำธุรกิจด้วยกัน ลุงเป็นนักประดิษฐ์มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์ต่างๆ แถมยังใจดี ช่างเล่า ช่างสอน เวลาลุงสอนเลขให้หลาน ลุงก็ทำให้สนุกเหมือนเล่นเกม อัลเบิร์ตจึงเรียนเร็วได้จนลุงแปลกใจ

เมื่ออายุ 15 ปี ธุรกิจของพ่อและลุงก็ขาดทุน ต้องขายทุกอย่างใช้หนี้ แล้วเอาเงินที่เหลืออยู่อพยพครอบครัวไปตั้งตัวใหม่ในอิตาลี น้องสาวก็ไปด้วย แต่พ่อแม่ฝากอัลเบิร์ตไว้กับญาติให้เรียนต่อในเยอรมนีจนจบ

อัลเบิร์ตไม่อยากอยู่ เพราะไม่ชอบประเทศเยอรมนี และคนเยอรมัน เขาจึงแกล้งป่วย และหาเรื่องให้โรงเรียนไล่เขาออก พอทำสำเร็จก็แล่นปร๋อไปหาพ่อแม่ที่อิตาลี ซึ่งพ่อแม่และลุงก็อ้าแขนรับอย่างดี ไม่ดุ ไม่เอ็ด หรือต่อว่าแม้แต่คำเดียว อัลเบิร์ตรักประเทศอิตาลีที่คนใจดีและอบอุ่น 

ระหว่างรอสอบเข้าโรงเรียนโพลีเทคนิคชั้นเลิศที่สิวตเซอร์แลนด์ เขาไปเรียนที่โรงเรียนธรรมดา แต่คะแนนสอบทั้งฟิสิกซ์และเคมีแย่พอๆกัน เพราะเขาเกลียดการสอบเป็นที่สุด แต่กระนั้นคะแนนเขาก็ดีพอที่จะเข้าโพลีเทคนิคได้ 

เมื่อกาลเวลาล่วงเลยเด็กโง่ในวันนั้น คือคนเดียวกันกับนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเจ้าของรางวัลโนเบล เมื่อค.ศ.1921 


เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!


เลโอนาร์โด ดา วินชี 

อัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย ทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารมื้อสุดท้าย และ โมนา ลิซ่า 

เขาเป็นลูกนอกสมรส พ่อของเขาเป็นลูกผู้ดีมีสกุล วงศ์ตระกูลเป็นนักกฎหมายมาหลายชั่วคน เป็นที่นับถือของชาววินชี ส่วนแม่ของเขาเป็นเพียงหญิงชาวนาธรรมดา ทั้งสองไม่อาจแต่งงานกันได้ตามประเพณีอันเคร่งครัดของชาวอิตาเลียนในยุคนั้น ชื่อของเขา ปู่เป็นผู้ตั้งให้ และรับเขามาเลี้ยงเพราะพ่อและแม่ต่างแต่งงานใหม่กับคนที่คู่ควร กระนั้นเด็กชายก็เข้าเรียนไม่ได้เพราะโรงเรียนอิตาลีเมื่อ 500 กว่าปีมาแล้วนั้นไม่อนุญาตให้เด็กนอกสมรสเข้าเรียน ปู่จึงหาครูพิเศษรวมทั้งขอให้พระสอนหนังสือให้ 

แต่คนที่เลี้ยงดูเลโอนาร์โดอย่างใกล้ชิดคืออาหนุ่มผู้มีนิสัยอ่อนโยน อาคนนี้เป็นคนกระเตงเขาไปไหนมาไหนด้วย และสอนให้เขารักธรรมชาติ เขาเคยเอากิ้งก่าเป็นๆ มาระบายสี แต่งเติมด้วยกระดาษและวัสดุต่างๆ แล้วหลอกเพื่อนๆ ว่าเป็นสัตว์ประหลาด
แม้เขาจะเติบโตมาโดยไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียน แต่วันนี้ชื่อเสียงของ "พยัคฆ์แห่งวินชี" ยังไม่เป็นรองใครในโลก 


เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!


เหมาเจ๋อตง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน 

เมื่ออายุ 8 ขวบเด็กชายเริ่มไปโรงเรียนในหมู่บ้าน เขาฉลาดและเรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็วกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน พ่อยอมให้เรียนหนังสือต่อที่หมู่บ้านอื่นโดยไม่เต็มใจนัก พ่อไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา เพราะคิดว่าไม่จำเป็นสำหรับชาวไร่ชาวนา เมื่อเขาอายุได้ 13 ปี พ่อก็บังคับให้เขาเลิกเรียนและกลับมาช่วยทำงานที่บ้าน โดยให้ดีดลูกคิดทำบัญชี เสร็จจากบัญชีก็ต้องไปช่วยงานในไร่นา เพราะพ่อทนไม่ได้ที่ลูกชายจะมีเวลาว่างไม่คุ้มค่าข้าวที่กิน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาตะลุยแอบอ่านหนังสือต่างๆ ทุกวันหลังเสร็จงาน 

สิ่งที่ชอบที่สุดคือคำสอนของขงจื๊อ และมักนำคำขงจื๊อมาเถียงพ่อ จึงเป็นที่เล่าต่อๆกันมาว่าเขาถูกพ่อด่าว่าเป็นเด็กไม่เคารพนับถือผู้ใหญ่ เหมาเจ๋อตงเถียงว่า พ่อต่างหาก..เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีความเมตตากรุณาต่อผู้น้อยอย่างที่ผู้ใหญ่พึงมี 


เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!


ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยา 

คุณหนูชาร์ลเกิดในครอบครัวที่พรั่งพร้อม ตระกูลมารดาเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการเครื่องปั้นเวดจ์วู้ด ส่วนตระกูลทางบิดาล้วนเป็นปัญญาชนชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณปู่ซึ่งเป็นทั้งแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ กวี และนักปรัชญา ผู้เขียนหนังสือสำคัญๆ ไว้หลายเล่ม 

ชาร์ลเป็นเด็กซนเงียบๆ เขารักธรรมชาติ สนใจต้นไม้ใบหญ้า รวมทั้งสัตว์ทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งนกและแมลง ชาร์ลยังสะสมหอย หิน ก้อนแร่ แสตมป์ และอะไรต่อมิอะไรอีกเพียบ 

เรื่องเล่นเหล่านี้ดูจะสำคัญมากกว่าการเรียน เขาไม่ชอบการท่องจำซ้ำซาก และไม่ค่อยสนใจวรรณคดี ภาษากรีก และภาษาละตินที่ครูสมัยนั้นเพียรสอน เขาสอบผ่านโดยการอาศัยความจำที่ดี "หาเช้ากินค่ำ" ท่องหนังสือแล้วไปสอบเอา พ่อถึงกับออกปากว่าชาร์ลคงจะได้ดียาก ชาร์ลฝืนใจเรียนแพทย์ตามที่พ่อต้องการได้เพียง 2 ปี ชาร์ลก็ยอมแพ้ ครั้งนั้นทำให้พ่อโกรธมาก จึงจับชาร์ลเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่นี่เขากลับเอาแต่เฮฮากับเพื่อน ขี่ม้า กินเบียร์อย่างครื้นเครงมากกว่าสนใจเรียน 

กระนั้นที่เคมบริจน์ชาร์ลก็พบวิชาเรียนที่เขาสนใจมากอยู่อย่างหนึ่งคือธรรมชาติวิทยา โดยอาจารย์เฮนส์โลผู้เชี่ยวชาญทางพฤกษาศาสตร์อาจารย์ของเขาได้แนะนำให้เขารับตำแหน่งนักธรรมชาติวิทยาประจำเรือหลวง"บีเกิ้ล"ที่ออกเดินทางไปทำการสำรวจสภาพภูมิปะรเทศในแถบมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกและตลอดเวลา5ปีในการเดินทาง ชาร์ลได้ทำทุกอย่างที่เขารักที่จะทำมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการสะสมไข่นก แมลง หิน ก้อนแร่  การสังเกตลักษณะของสัตว์และพืช เป็นต้น

ใครจะรู้ว่าการเล่นในวัยเยาว์ แท้จริงแล้วคือการเตรียมพร้อมสำหรับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต การควบรวมทางทฤษฏีของศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต ที่อธิบายถึงความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต 

เด็กไม่เอาไหนในวันนี้อาจได้ดีในวันหน้า!

อับราฮัม ลินคอร์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา 

อับราฮัม ลินคอร์น มีชื่อเล่นว่า เอ็บ ในวัยเด็กเขาอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในกระท่อมเล็กๆ ที่ทำจากท่อนซุง อยู่ห่างไกลจากความเจริญ มีพ่อที่เป็นคนดุและไร้การศึกษา แต่มีแม่ที่อ่อนโยน อ่านออกเขียนคล่อง ต่างจากผู้หญิงชนบทในยุคเดียวกัน เอ็บอ่านออกเขียนได้เพราะแม่สอน เขารักแม่มาก แต่โชคร้ายที่แม่ตายตอนเขาอายุ 8 ขวบ และพ่อของเขาก็แต่งงานใหม่ในเวลาต่อมา 

โชคยังดีที่แม่เลี้ยงใจดีราวแม่แท้ๆ ของเขา เธอเคยเขียนจดหมายบอกญาติว่า "เอ็บเป็นเด็กดีที่สุดตั้งแต่ฉันเคยเห็นมา ซื่อสัตย์ ไม่เคยพูดปดเลย แถมยังเป็นเด็กขยัน ไม่เคยเลี่ยงงานอีกด้วย" 

เอ็บรักการเขียน อ่านคัมภีร์ไบเบิลซ้ำแล้วซ้ำอีกจนขึ้นใจ เพราะเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีในบ้าน เมื่อ 200 ปีก่อน หนังสือเป็นของราคาแพง เมื่อใดที่เอ็บได้ยินว่าใครมีหนังสือใหม่ เขาจะไปขออ่าน ไม่ว่าจะต้องเดินไปไกลหลายกิโลเขาก็ไม่ย่อท้อ เช่นเดียวกับการที่ต้องเดินไปโรงเรียนที่อยู่ไกลจากบ้านมาก 

เขาไม่ได้เข้าชั้นเรียนบ่อยนักเพราะพ่อสั่งให้ทำงานในไร่ นับรวม แล้วเอ็บมีโอกาสเข้าห้องเรียนเพียงปีการศึกษาเดียว แต่เขาก็พยายามเรียนด้วยตัวเองโดยการอ่านหนังสือทุกชนิดเท่าที่จะหาได้ รวมทั้งหนังสือกฎหมายที่เขาจะใช้สอบและประกอบอาชีพทนายในอนาคตด้วย 

พ่อของเขาไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา แต่อยากให้ลูกชายทำไร่มากกว่า เอ็บจึงตั้งปณิธานว่าจะเป็นอะไรที่ตรงข้ามพ่อทุกอย่าง และสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการที่พ่อทุบตีเขา แบบเดียวกับที่คนขาวในยุคนั้นทารุณต่อทาสผิวดำ เขาจึงฝังใจเรื่องนี้ และเมื่อเขากลายเป็นประธานาธิบดีจึงประกาศเลิกทาส 


เรียบเรียงจาก หนังสือวันเยาว์ของคนใหญ่ โดยศุภาศิริ สุพรรณเภสัช 

prachachatlife

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์