ระวัง!! 5สิ่งทำโดนเกลียดจากรูปโปรไฟล์


เรื่องแปลก โซเชียลเนตเวิร์คเปรียบเสมือนโลกหรือสังคมที่สองที่มนุษย์เราทุกวันนี้ใช้เวลาควบคู่กับการใช้ชีวิตอยู่ในโลกในความเป็นจริง และแน่นอนว่าเราต้องนำเสนอที่เราคิดว่าดีที่สุดให้กับเพื่อนในโลกโซเชียลเนตเวิร์คโดยเฉพาะรูปถ่ายเราเองที่มักจะเลือกมุมสวยหล่อที่สุดผ่านกระบวนการตกแต่งภาพด้วยแอพฯ 

แต่หารู้ไหมครับ ว่าแต่ละภาพที่เราอัพลงไปมันมีจุดไปสะกิดให้คนเหม็นขี้หน้าเราอย่างไร้เหตุผล 

อันดับที่ 5 รูปภาพแสดงตัว (profile picture) ที่ถ่ายใกล้จนเกินไป 

ตอนนี้เชื่อว่าไม่ว่าใครก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกออนไลน์กันทั้งนั้น เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าคุณใช้รูปโปรไฟล์ที่ถ่ายใบหน้าคุณใกล้จนเกินไป ไม่เพียงแต่คุณจะโชว์ทุกอณูของผิว รูขุมขน สิว สิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้คนเห็นรู้สึกรังเกียจแล้ว ยังทำให้คุณดูมีความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจลดลงอีกด้วย 

นักวิทยาศาสตร์จาก Caltech ได้ทำการทดลองเพื่อหาเหตุผลที่คนไม่ชอบรูปโปรไฟล์ที่ถ่ายใกล้จนเกินไป โดยให้อาสาสมัครดูรูปภาพภาพ 2 รูป ที่ถ่ายนายแบบคนเดียวกัน ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน ใช้แสงเท่ากัน และท่าทางทีถูกถ่ายเหมือนกัน ต่างกันที่ระยะของการถ่ายโดยภาพแรกถูกถ่ายที่ระยะ 2 ฟุต ในขณะที่อีกภาพถ่ายที่ระยะ 7 ฟุต นักวิจัยจะนำผลการทดลองที่ได้มาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่าง "ความใกล้" กับ "ความสามารถในการดึงดูดความสนใจของผู้อื่น"

นักวิจัยกล่าวว่า รูปที่ถูกถ่ายที่ระยะใกล้นั้น จมูกของนายแบบดูจะใหญ่ขึ้น ในขณะที่หูดูจะมีขนาดเล็กลง ซึ่งเมื่อสอบถามอาสาสมัครเพื่อให้ตัดสินรูปภาพเหล่านี้ อาสาสมัครบางคนได้กล่าวว่า "นี่เป็นรูปที่ไม่ได้ดีไปกว่ารูปออดิชันหนังโป๊เลย" หรือเป็นผู้ชายที่ไม่เอาถ่าน อาสาสมัครทุกคนต่างไม่ชอบรูปที่ถ่ายใบหน้าคนในระยะใกล้ แม้กระทั่งลองเอียงดูมุมอื่นๆ เผื่อความรู้สึกจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม จากการศึกษานี้ทำให้นักวิจัยสรุปออกมาว่า ลักษณะใบหน้าของผู้ชายที่มีขนาดใหญ่ (หน้าบานหรือกว้าง) จะสื่อถึง "ความก้าวร้าว" "พฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณ" และ "ความไม่น่าไว้วางใจ" นั่นเอง 

จากการทดลองนี้ทำให้เห็นว่า "การถ่ายภาพหน้าตรงในระยะประชิดจะทำให้คนไม่ชอบรูปภาพของคุณ" และนักวิจัยเชื่อว่าต้องมีบางสิ่งบางอย่างไปกระตุ้นการทำงานของสมอง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่รูปภาพที่ถูกถ่ายในระยะประชิดเท่านั้น นักวิจัยได้คาดคะเนไว้ว่า รูปถ่ายในระยะประชิดนี้อาจให้ความรู้สึกเหมือนมีคนยืนมายืนอยู่ใกล้คุณมากๆ รุกร้ำพื้นที่ส่วนตัวของคุณ ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้สมองประเมินผลเหมือนกำลังมีภัยคุกคาม อันเป็นกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์ จึงส่งผลให้เราไม่ชอบรูปที่ถูกถ่ายในระยะประชิดนั่นเอง 

อันดับที่ 4 หรี่ตาหรือทำตาปรือขณะถ่ายรูป 

ลองจินตนาการว่ามีคนให้คุณดูภาพดวงตาปรือๆ เปิดแค่ครึ่งเดียวเหมือนคนง่วงนอนแล้วกำลังจ้องมาที่คุณ บางคนอาจจะคิดคนที่มองคุณคงจะคิดว่า หูววว! ! ! เซ็กซี่มากกก / โอ้ว! ! ! ดูดีจังเลย แต่รู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้วการทำตาปรือในแบบที่คุณกำลังคิดว่าเซ็กซี่หรือดูดีนั้นคนอื่นคิดอย่างไร 

นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองโดยให้อาสาสมัครนับร้อยๆ คนทั้งชายและหญิงดูภาพผู้ชายคนหนึ่งโดยภาพแรกเป็นภาพที่ลืมตาปกติ ในขณะที่อีกภาพหรี่ตาลง ทำตาปรือๆ และได้ใช้โปรแกรมตัดแต่งภาพเพื่อให้มั่นใจว่าในทุกๆ รายละเอียดนั้นเหมือนกันหมด แม้กระทั่งเส้นผม หลังจากนั้นผู้วิจัยก็ได้ให้อาสาสมัครตอบคำถามของบุคคลในรูปว่า คุณคิดว่าผู้ชายในรูปต้องการมีความสัมพันธ์แบบระยะยาวหรือระยะสั้น?/ ผู้ชายในรูปเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ดีหรือไม่?/ คุณคิดว่าจะปลอดภัยหรือไม่ถ้าต้องร่วมเดินทางกับเขา?/ คุณคิดว่าหลังจากเขาเข้าห้องน้ำในผับแล้วเขาจะกดน้ำหรือไม่? 

คำตอบที่ได้จากผู้หญิงและผู้ชายส่วนมากจะเป็นไปในทางลบสำหรับรูปถ่ายที่ทำตาปรือหรือหรี่ตา ในทางตรงกันข้ามสาวโสดทุกคนให้คะแนนผู้ชายที่เปิดตากว้างสูง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การเปิดตากว้างน่าจะมีความสัมพันธ์กับการให้ความรู้สึกว่ายังมีความเป็นหนุ่มสาว ในขณะที่การทำตาปรือหรือการหรี่ตานั้นน่าจะบ่งชื่อถึงวุฒิภาวะทางเพศนั่นเอง 

ด้วยเหตุนี้เองนักวิทยาศาสตร์จึงได้แนะนำสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่กำลังจะไปเจอคู่เดตเพื่อเพิ่มสัมพันธไมตรีต่อจากนี้ว่า ควรจ้องมองไปที่ตาของคู่เดตโดยตรง พร้อมทั้งเปิดตาให้กว้างเข้าไว้คุณจะดูเซ็กซี่ขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องทำตาหรี่ ตาเหล่ ตาเข ตาปรือ 

อันดับ 3 ถ้าคุณแต่งตัวแบบกึ่งชายกึ่งหญิง (Androgynous) 

ทุกวันนี้ช่องว่างระหว่างเพศลดลดอย่างเห็นได้ชัด นับว่าเป็นก้าวแรกของโลกแห่งความเท่าเทียมแต่ก็แค่ในโลกแห่งทฤษฎีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้วนักวิจัยค้นพบว่า คนที่แต่งตัวแบบทอมบอย หรือแต่งแบบกึ่งชายกึ่งหญิงจะมีความน่ารักน้อยลงและความน่าเชื่อถือลดลง ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่คุณทำงานไปได้ก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น ไม่ว่าคุณจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานสักแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วคนส่วนใหญ่ก็จะพยายามที่จะหาข้อตำหนิคุณเช่น อาจไม่มีใครชอบทรงผมของคุณ อาจอิจฉาริษยาคุณ เป็นต้น หรือบางที่เค้าอาจแค่อยากรู้จักคุณเพราะต้องการมีอะไรกับคุณแค่นั้น โดยที่ไม่สนว่าคุุณจะมีนิสัยเป็นอย่างไร หรืออาจจะโดนดูถูกเหยียดหยามจากเพศตรงข้ามไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
 
การศึกษาหนึ่งนักวิจัยได้ให้อาสาสมัครประเมินความชื่นชอบ ความน่าเชื่อถือ และความน่าไว้ใจ ของบุคคลที่เขาคุยด้วยเป็นเวลา 20 นาที ผ่านทางโลกออนไลน์ ซึ่งแต่ละคนจะใช้รูปแสดงตนแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นรูปผู้หญิงผมเปีย รูปกึ่งชายกึ่งหญิง(แยกไม่ออกอย่างชัดเจนว่าเป็นเพศใด) หรือรูปขวดที่มีหน้าคน (ดังรูป) 

ผลปรากฏว่า อาสาสมัครทุกคนประเมินว่าผู้หญิงที่ใส่เสื้อชมพูเป็นคนที่น่าติดตามที่สุด มีความน่าเชื่อถือที่สุด และน่าไว้ใจที่สุดด้วย ในขณะที่รูปกึ่งชายกึ่งหญิงกลับถูกมองว่าน่าเชื่อถือน้อยที่สุด น้อยกว่าการใช้รูปขวดทีมีหน้าคนซะอีก จากผลการทำลองทำให้นักวิจัยสรุปว่าคนที่มีหน้าตากึ่งชายกึ่งหญิงนั้นได้รับความสนใจ และมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าคนที่เป็นหญิงหรือชายแท้ๆ 

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกอินเตอร์เน็ตก็ตาม แต่ทัศนคติหรือมุมมองที่ใช้ในการมองคนเหล่านั้นย่อมไม่ต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงเท่าใดนัก 

อันดับ 2 เสียงของคุณเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงจนเกินไป 

จากกระแสนิยมที่มีในปัจจุบัน ผู้ชายที่เพอร์เฟ็คที่สุดคือ ผู้ชายที่สุขุม นุ่มลึก มีเสียงที่อบอุ่น และพร้อมที่จะปกป้องคนรัก ในขณะที่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบจะต้องมีการสื่อสารแสดงออกอย่างมีเอกลักษณ์ เช่น จะต้องยั่วยวน พูดด้วยเสียงเล็กเสียน้อย เป็นต้น ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงแนวคิดที่ใช้อธิบายลักษณะของเสียงที่ทำให้เรารู้สึกว่าคนๆ นี้แหละเพอร์เฟ็ค! ! ! ยกตัวอย่างเช่นหลายๆ ครั้งที่โฆษณาจะต้องมีการตัดแต่งเพิ่มเติมเสียงเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้มากขึ้น

แม้สิ่งที่สังคมหรือคนหลายๆ คนบอกเราว่าเสียงดังกล่าวข้างต้นคือเสียงที่เราชอบ แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย McMaster พบกลับเป็นตรงกันข้าม 

นักวิจัยได้ทำการทดลองโดยบันทึกเสียงของผู้ชายและผู้หญิง หลังจากนั้นปรับแต่งเสียงผู้ชายให้มีเสียงทุ้มมากขึ้น และปรับเสียงผู้หญิงให้แหลมมากขึ้น แล้วสร้างเป็นเสียงที่พูดสั้นๆ หรือคำอุทานเช่น อ๊ะ, โอ้ ,หรือลองสัมผัสดูสิ หลังจากนั้นก็ให้อาสาสมัครทั้งชายและหญิงฟังเสียงดังกล่าวพร้อมทั้งให้คะแนน ผลปรากฏว่า ผู้ชายส่วนมากจะให้คะแนนความน่าดึงดูดใจกับเสียงที่มีความเป็นผู้หญิงมากกว่า (ระดับของเสียงที่สูงกว่า) เช่นเดียวกับผู้หญิงที่ให้คะแนนความน่าดึงดูดใจกับเสียงของผู้ชายที่มีเสียงทุ้มต่ำมากกว่า (ระดับของเสียงต่ำกว่า) ในขณะเดียวกันทั้งชายและหญิงก็ลงคะแนนว่าเสียงผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิงมากกว่า และเสียงผู้ชายทีทุ้มต่ำมากกว่านั้นมีแนวโน้มที่จะนอกใจคู่ครองของตนด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้ทั้งชายและหญิงต่างก็ไม่ชอบเสียงดังกล่าว การทดลองนี้ให้ผลที่น่าประหลาดใจ นอกจากจะไม่รู้บุคลิก หน้าตา ท่าทางอื่นๆ ของคนๆ นั้นแล้ว ทั้งสองเพศถูกทำให้เชื่อว่า เจ้าของเสียงนั้นต้องเป็นคนที่น่าสนใจมากแน่ๆ จากการฟังแค่เสียงของอีกฝ่ายเท่านั้น 

จากการทดลองนี้ทำให้เห็นว่าแค่ "เสียง" ก็มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเป็นอย่างมาก นักวิจัยจึงเชื่อว่าการที่คนส่วนมากไม่ชอบเสียงทุ้มนุ่มลึกและเสียงสูงแหลมนั้น เป็นการปรับตัวของร่างกายเพื่อไม่ให้เรามีพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครองของตน หรือเพื่อป้องกันการถูกชักจูงหรือหลอกลวงในการทำธุรกิจนั่นเอง 

อันดับที่ 1 คุณมีนิสัยที่ดีเกินไป 

ไม่น่าเชื่อว่า นิสัยดีเกินไปจะเป็นเหตุผลอันดับ 1 ที่จะทำให้คนเกลียดคุณ แล้วการดีเกินไปทำให้คนไม่พอใจคุณได้อย่างไร???

เพื่อที่จะศึกษาเรื่องนี้ นักวิจัยจึงให้อาสาสมัครเล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดยเป็นเกมที่มีผู้เล่น 5คน โดยไม่มีใครรู้ว่าคนที่คุณกำลังเล่นอยู่ด้วยนั้นเป็นใคร ซึ่งจริงๆ แล้วคนอาสาสมัครที่กำลังเล่นเกมอยู่ด้วยนั้นเป็นคอมพิวเตอร์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้มีบุคลิกภาพเฉพาะ สามในสี่ของบุคลิกจะเป็นประเภทไม่ดีเกินไป ไม่เป็นกลางจนเกินไป และเล่นอย่างยุติธรรม ส่วนบุคลิกสุดท้ายที่ถูกตั้งไว้จะเป็นประเภทเห็นแก่ตัวอย่างมาก หรือไม่ก็เป็นคนดีเกินไปพร้อมที่จะเสียสละ 

หลังจากจบเกมแล้วนักวิจัยก็จะถามอาสาสมัครว่า คุณชอบที่จะเล่นเกมกับคนไหนมากที่สุด? อาสาสมัครเกือบทั้งหมดบอกว่าใครก็ได้ ที่ไม่ใช่คนที่ดีเกินไปและคนที่ทำตัวเป็นอันธพาล เห็นแก่ตัวเป็นอย่างมาก เพราะเขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นต้องมีอะไรแอบแฝงต้องการอะไรจากเขาหรือไม่ก็เขาคงเป็นคนบ้า และการเล่นเกมส์กับอีกฝ่ายที่เป็นผู้เล่นที่ดีเกินไปทำให้อาสาสมัครรู้สึกแย่เมื่อถูกเปรียบเทียบนั่นเอง ไม่เพียงแต่คนดีเท่านั้นที่จะถูกเกลียดหรือไม่พอใจ คนที่ดูดีมีระดับ ดูเพอร์เฟ็คหรือคนที่ดูมีออร่าโดดเด่นออกมาจากฝูงชนก็จะมีแนวโน้มที่จะถูกเกลียดด้วยเช่นกัน 

นี่ไม่ได้เป็นการบอกว่า เป็นคนดีไปก็ไม่ได้อะไร งั้นมาเป็นคนเลวดีกว่า มันไม่ถูกซะทีเดียวถ้าคุณต้องเลิกทำดี เพราะในขณะที่คุณทำดี คนรอบตัวคุณก็เอาพฤติกรรมของคุณมาเปรียบเทียบกับตัวเขาเองก็รู้สึกแย่เอง แล้วมันจำเป็นด้วยหรือที่คุณต้องเลิกทำดี 

ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมที่คุณอาจจะทำไปโดยที่ไม่รู้ตัวว่าคนรอบข้างจะรู้สึกไม่ดี ไม่พอใจ จนถึงขั้นเกลียด อย่ารอช้า! ! ! ถ้าหากคุณมีนิสัย ดังกล่าวรีบปรับแก้ซะก่อนที่คุณจะถูกเกลียดโดยไม่รู้ตัว 

ระวัง!! 5สิ่งทำโดนเกลียดจากรูปโปรไฟล์



ขอบคุณ : vcharkarn.com,fwdder.com


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์