‘ฟังเสียงร้องของลูก’ เทรนด์เลี้ยงลูกมาแรง!

เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อคุณพ่อคุณแม่ปล่อยเจ้าตัวน้อยร้องไห้เป็นเวลานานๆ โดยไม่เข้าใจถึงการช่วยเหลือ เด็กจะเกิดความเครียด ก็จะมีผลเสียกับสมองที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาการที่สำคัญที่สุดในช่วงขวบปีแรก เนื่องจากเบบี้เมื่อแรกเกิดมีเซลล์สมองประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ และจะไม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว จากนั้นสมองจะเกิดการขยายตัวและเพิ่มจำนวนสายใยประสาทที่จะเป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วง 6 ปีแรกของชีวิตเมื่อมีการกระตุ้นและฝึกฝนที่เหมาะสมตามวัย

แนวการศึกษานี้ได้จากผลการวิจัยและคิดค้นโดย ดร.พริสซิล่า คันสตัน ที่ทำงานวิจัยร่วมกับ Brown University สหรัฐ และโด่งดังเป็นที่กล่าวขานไปทั่วสหรัฐ เคยออกรายการของเจ้าแม่วงการทอล์กโชว์อย่าง โอปราห์ วินฟรีย์ มาแล้ว สำหรับเมืองไทย ผู้ที่ได้ไปเรียนและนำความรู้นี้มาเผยแพร่ให้กับพ่อแม่คนไทยหัวคิดสมัยใหม่ได้รู้ถึงกลไกของลูกน้อย คือ แอนนี่ เลิศอัษฎมงคล เพื่อนำมาพัฒนาเด็กไทยให้มีพัฒนาการที่ดีสู้กับเพื่อนบ้านในยุคการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้ ซึ่งที่ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง สิงคโปร์นิยมการเลี้ยงลูกแบบนี้กันแล้ว

‘บอดี้ แลงเกวจ’ นิยมในอเมริกา

การเลี้ยงลูกด้วยการฟังบอดี้ แลงเกวจ แอนนี่ อดีตนักแสดงและวีเจชื่อดัง ให้ความสนใจตั้งแต่เมื่อครั้งไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก สาขาจิตวิทยาการให้คำปรึกษา ที่มหาวิทยาลัยแห่งซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ หลังเรียนจบเธอหาประสบการณ์ฝึกงานและทำวิจัยด้านจิตวิทยาบำบัดกับเด็กในระดับชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียน Lawton School และพบปัญหาของพ่อแม่ว่า ลูกๆ ไม่ฟังพ่อแม่ ดื้อและซน ในฐานะที่เรียนด้านจิตวิทยาเด็กมาเธอย้อนคิดกลับไปว่า แล้วตอนเด็กๆ พ่อแม่เข้าใจถึงความต้องการของลูกและตอบสนองความต้องการนั้นหรือยัง เธอจึงเริ่มศึกษาเรื่อง “ภาษาของเด็ก” และเข้าคอร์สเรียนหลักสูตร Dunstan Baby Language (DBL) ประเทศสหรัฐ หลักสูตรที่คิดค้นโดย ดร.พริสซิล่า ดันสตัน นานถึง 9 เดือน และได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองให้เป็น Certified Instructor หรือครูผู้สอนของหลักสูตร เธอกลับมาเมืองไทยเพื่อแบ่งปั้นประสบการณ์มาแชร์กับผู้ปกครองไทยสมัยใหม่ ด้วยการเปิด Baby Language Thailand by DBL คอร์สแรกของประเทศไทยที่จะมาไขความลับเรื่อง “ภาษาของลูกน้อย” ซึ่งเป็นเสียงร้องพื้นฐานของทารกทั้ง 5 เสียง และเสียงซับซ้อนอีก 25 เสียง นำมาเปิดสอนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ชาวไทยเพื่อพัฒนาลูกน้อยเป็นครั้งแรก

“แอนนี่ที่ต้องการจะถ่ายทอดวิชาความรู้ในการเตรียมพร้อมคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ให้เข้าใจในเสียงร้องต่างๆ ของทารกเพื่อการสื่อสารกับลูกน้อยในขั้นพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการรับมือกับความเครียดในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ไปจนถึงการช่วยกระตุ้นพัฒนาการต่างๆ ของทารกตั้งแต่ในครรภ์ เพราะถ้าเด็กๆ ไม่เครียดในวัยเด็กแล้ว สมองเขาจะพัฒนาได้ดี หากเราต้องการใส่ภาษาที่สองหรือสามให้ลูกก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ผู้ปกครองที่ได้เรียนรู้วิธีการในการดูแลเด็กเล็กให้มีพัฒนาการสมวัย ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด และต่อยอดสู่ความสำเร็จในชีวิตวัยเรียนของเด็กได้อย่างเต็มศักยภาพ”

‘เบบี้ แลงเกวจ’ แตกต่างจาก ‘เบบี้ ซายน์’

เมื่อหลายปีก่อน ดร.พริสซิล่า ได้เคยนำความรู้ของเธอมาเผยแพร่ในเมืองไทยแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่การบรรยายเป็นภาษาอังกฤษและมีผู้เรียนเป็นจำนวนมาก การเรียนรู้จึงไม่ทั่วถึง แต่สำหรับที่อเมริกาเริ่มใช้หลักสูตรฟังเสียงร้องของเด็กเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และเผยแพร่ไปที่ยุโรปและเอเชีย สำหรับเมืองไทยการฟังเสียงของลูกอย่างเข้าใจถ่องแท้ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มาก

“การฟังเสียงร้องของลูกนับเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับเมืองไทย เพราะคนยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็น เบบี้ ซายน์ ซึ่งไม่ใช่ เบบี้ ซายน์ คือ การเรียนรู้ท่าทางของเด็ก แต่ เบบี้ แลงเกวจ คือ การฟังเสียงร้องของเด็ก เรื่องนี้ได้รับความนิยมที่อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และแถบเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง สิงคโปร์ เพราะหลักสูตรนี้ใช้มานาน 10 ปี โดยเริ่มทำการวิจัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 กับเด็กกว่า 1,000 คนใน 7 ประเทศ มากกว่า 30 เชื้อชาติทั่วโลก ซึ่งเสียงร้องของเด็กเป็นภาษาสากลและเป็นภาษาเดียวกันทั่วโลก ซึ่ง เบบี้ แลงเกวจ คือ การเรียนรู้เสียงร้องร่วมกับดูปฏิกิริยาของเด็ก เช่น เด็กหิวพยายามดูด ทำปากจุ๊บๆ และเด็กจะร้องเสียงเน่ะ เป็นปฏิกริยาโต้ตอบของร่างกายเด็ก ซึ่งเป็นหลักสากล คนไทยบางกลุ่มจึงคิดว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องง่าย แอนนี่ เปิดโรงเรียนเกือบจะครบปีแล้ว เริ่มแรกสอนจากคนรู้จัก สอนเป็นคอร์สเล็กๆ เพื่อให้ผู้ปกครองได้ฝึก ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเสียงร้องและภาษาของเด็ก แอนนี่ คิดว่า เบบี้ แลงเกวจ จะได้รับความนิยม เพราะพ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีความสุขกับชีวิตตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งที่สุด แต่ให้มีความสุขกับชีวิต ทำให้คนรอบข้างมีความสุข สติปัญญาเด็กไทยก็ไม่แพ้ชาติอื่น ยิ่งเปิดเป็นประชาคมอาเซียน เราจะเติมภาษาอังกฤษให้เด็กก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น”

เข้าใจเสียงร้องของลูก

แอนนี่เล่าว่า คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เมื่อมีลูก ในช่วงสัปดาห์แรก คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มสับสนกับเสียงร้องไห้ของลูกน้อย ทำให้พ่อแม่หลายคนถึงกับเกิดอาการวิตกกังวล ทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้ว่าที่ลูกร้องไห้นั้นสาเหตุมาจากอะไร เด็กบางคนมักร้องไห้เวลากลางคืน ทำให้พ่อแม่ไม่ได้พักผ่อน เกิดอาการเครียด บางคนถึงกับเกิดความท้อแท้ ยิ่งหากเป็นคุณแม่ที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ความเครียดเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถผลิตน้ำนมออกมาได้เพียงพอ และในช่วง 3 เดือนแรกนี่เอง ที่คุณพ่อคุณแม่อาจเกิดอาการเครียดทับถม เพราะไม่เข้าใจเสียงร้องของลูกและแก้ไขไม่ถูกจุด ความจริงแล้วไม่ใช่แค่พ่อแม่เท่านั้นที่เครียด ตัวเบบี้เองก็เครียดเหมือนกัน ซึ่งความเครียดนี้จะมีผลเสียกับสมองที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาการที่สำคัญที่สุดในช่วงขวบปีแรก

เชื่อหรือไม่ว่า เบบี้แรกเกิดมีเซลล์สมองประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ และจะไม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว จากนั้นสมองจะเกิดการขยายตัวและเพิ่มจำนวนสายใยประสาทที่จะเป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วง 6 ปีแรกของชีวิตเมื่อมีการกระตุ้นและฝึกฝนที่เหมาะสมตามวัย เพราะฉะนั้นหากเจ้าตัวน้อยเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเครียด ความกดดัน พัฒนาการของสายใยประสาทในสมอง รวมถึงพัฒนาการด้านอารมณ์ หรืออีคิว ของเด็กก็จะบกพร่องไม่เป็นไปตามวัย พ่อแม่ที่ต้องการเสริมสร้างอัจฉริยภาพให้กับลูกจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความสำคัญในเรื่องนี้

ในทางวิชาการ เสียงร้องไห้งอแงของเด็กๆ ถือว่าเป็นภาษาที่ลูกน้อยพยายามจะสื่อสารบอกเราว่าเขาต้องการอะไร เสียงร้องของเด็กถึงจะไม่ได้สื่อออกมาเป็นคำพูดเหมือนที่เราทุกคนใช้สื่อสารกัน แต่สามารถอธิบายได้ว่า เด็กแรกเกิดต่างยังไม่มีความพร้อมในการใช้อวัยวะในการออกเสียงเพื่อพูดจาออกมาเป็นคำต่างๆ ได้ เสียงร้องของเด็กจึงเป็นหนทางหนึ่งที่ลูกน้อยใช้ในการสื่อสารเพื่อบอกพ่อแม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง และหากเราเข้าใจถึงเสียงต่างๆ ที่เบบี้สื่อออกมาได้ พ่อแม่ก็จะสามารถหาทางช่วยเหลือลูกได้อย่างทันท่วงที ช่วยให้เด็กหยุดร้องไห้ได้เร็วขึ้น และยังช่วยให้ลูกเกิดความอุ่นใจและมั่นคงทางอารมณ์ยิ่งขึ้น เพราะเด็กจะรู้สึกว่าพ่อแม่พยายามเข้าใจ คอยช่วยเหลือและไม่ทอดทิ้งเขา ซึ่งเป็นการสร้างสัมพันธภาพอันดีภายในครอบครัวตั้งแต่วันแรกที่เจ้าตัวน้อยได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน จะดีแค่ไหนหากเรามีตัวช่วยที่สามารถทำให้เข้าใจภาษาของวัยเบบี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

“จริงๆ เสียงร้องของเด็กไม่ได้ทำลายเซลส์สมอง แต่ความเครียดของเด็กต่างหากที่ไปทำลาย อย่างเด็กที่เป็นโคลิกซึ่งยังไม่มีผลวิจัยบอกว่าเกิดจากอะไร แต่ในมุมมองของแอนนี่คิดว่า ในท้องของเด็กอาจมีแก๊สและทำให้เด็กปวดท้อง เด็กจึงร้องไห้ ซึ่งก่อนหน้านั้นเด็กอาจอยากเรอ แต่ร้องบอกพ่อแม่ไป พ่อแม่ก็ไม่รู้ บางครั้งเด็กร้องเพราะโมโหหิวทั้งๆ ที่แม่เพิ่งให้กินนมไป ก็ดูที่ผ้าอ้อม แต่ทารกหิว

เมื่อไม่ได้กินก็หงุดหงิด สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานง่ายๆ หากพ่อแม่เข้าใจลูก ทารกก็ไม่เครียดพัฒนาการสมองก็จะดีตามไปด้วย หากเด็กไทยสุขภาพสมองรับการพัฒนาได้เต็มที่ ถึงวัยใส่ข้อมูลก็พร้อมที่จะรับ เขาจัดการอารมณ์คืออีคิวได้ เมื่อเศร้าอยู่ทำไงให้หายเศร้า เด็กจะเครียดยาก ไม่ขี้หงุดหงิด บางครอบครัวอยากมาเรียนแต่พ่อแม่ยุ่ง ก็มักส่งคุณตา ยาย ปู่ มาเรียนก็มี”


‘ฟังเสียงร้องของลูก’ เทรนด์เลี้ยงลูกมาแรง!

‘5 เสียง’เบบี้สื่อความต้องการ

ดร.แอนนี่ จากสถาบันBaby Language Thailand by DBLอธิบายว่า เสียงร้องไห้ของเด็กนั้นถือว่าเป็นปฏิกริยาตอบโต้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เสียงร้องของลูกนั้น เมื่อฟังให้ดี พ่อแม่จะสามารถแยกความแตกต่าง และตีความหมายออกมาเป็นความต้องการของลูกได้ ตามหลักสูตรDunstan Baby Languageโดยจะแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักและฝึกฝนจำแนก5เสียงสำคัญที่สื่อถึงความต้องการขั้นพื้นฐานของทารก(Basic Needs)และอีก25เสียงที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว เราจะรู้สึกว่าเสียงเด็กร้องก็เหมือนกันหมด แต่ถ้าเราทราบเสียงหลักๆ เหล่านี้ เราก็จะสามารถเข้าใจลูกว่ากำลังสื่อสารอะไรได้ง่ายขึ้น มาทำความรู้จักเสียงร้องไห้ของเด็กใน 5 เสียงหลักที่สื่อถึงความต้องการพื้นฐาน ดังนี้

1.“Neh”(เน่ะ) = หนูหิว

เสียงNehจะเกิดจากปฏิกิริยาการตอบโต้เมื่อร่างกายพยายามจะดูดนม เพราะเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่เวลาทารกหิว เขาจะพยายามหานม สังเกตได้จากรูปปากของลูกที่อ้าครึ่งไม่อ้าครึ่ง และลิ้นที่พยายามจะดุนเพดานปาก เวลาที่ลูกร้องเสียงนี้เป็นเสียงที่พ่อแม่มักจะจับความหมายได้ง่ายที่สุด บางทีจะสังเกตได้ว่า ลูกจะส่ายหน้าไปมาเพื่อหานมแม่ด้วย

2.“Owh”(อ้าว) = หนูง่วงแล้ว

เสียงOwhเกิดขึ้นเมื่อร่างกายแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ หรือรีเฟล็กซ์ กับการหาว บวกกับการเปล่งเสียงร้องของลูกน้อย แสดงให้เห็นว่าลูกน้อยต้องการนอนพักผ่อน

3.“Eh” (เอ) =ช่วยให้หนูเรอด้วย

4. “Eairh” (เอ อ้า) =หนูปวดท้อง

5.“Heh” (เฮ่) =หนูไม่สบายตัว

ผู้ปกครองผู้เข้าอบรมคอร์ส“บอดี้ แลงเกวจ”นันท์ภัส ตันตยาภิวัฒน์ คุณแม่บ้านวัย32ปี ศึกษาจบด้านนิเทศศาสตร์ ปัจจุบันมีลูก 2 คน ชาย 1 หญิง 1 วัย 3 ขวบครึ่ง กับ 5 เดือน เล่าว่า ที่สนใจมาเรียนเรื่องฟังเสียงร้องของลูก ถึงแม้จะมีลูกเป็นคนที่ 2 แล้วก็ตาม ก็เพื่อให้ลูกสมองพัฒนาได้เต็มที่

“ลูกชายคนแรกได้คุณย่าคุณยายช่วยเลี้ยง แต่เมื่อแยกออกมาอยู่เป็นครอบครัวเดียว บางทีการเลี้ยงดูลูกของเราแบบเดิมๆ บางอย่างไม่สามารถใช้ได้กับชีวิตปัจจุบันแล้ว เพราะลูกคนละวัยก็ควรเลี้ยงดูแบบต่างกัน เมื่อท้องลูกคนที่ 2 เปิดศึกษาตำราเยอะ และพบว่า ตอนนี้มีเรื่องการฟังเสียงร้องของเด็ก และรู้ว่า ดร.แอนนี่ สอนก็เลยสนใจมาเรียน เคยมีเพื่อนลูกร้องโคลิก ซึ่งปัญหาหนึ่งอาจเป็นเพราะแม่เครียด หากแม่เข้าใจ บอดี้ แลงเกวจ ของลูก เมื่อลูกร้องแล้วเราไม่ตอบสนองทันที เด็กรู้สึกขัดใจก็ร้องยาว หากเด็กร้องตลอดเวลา สมองก็ไม่พัฒนา เติมอะไรให้เขา เขาก็ไม่รับ แต่ถ้าลูกไม่ร้องเพราะเราสื่อสารกันได้ ลูกก็ไม่เครียด แม่ก็ไม่เครียด เราไม่อยากให้ลูกร้องและไปรบกวนการพัฒนาสมองของลูก ป้องกันไว้ดีกว่า พอเราได้เรียนรู้ภาษาของเด็กทารกตอนท้อง 6 เดือน พบว่า ลูกสาวเลี้ยงง่ายมาก ซึ่งพัฒนาด้านสมองตอนนี้ไม่เห็น แต่เห็นความแตกต่าง เราเริ่มเข้าใจว่าทำไมลูกร้อง เรารู้ปุ๊บตอบสนองลูกเร็ว ลูกไม่งอแงเลย เลี้ยงง่าย เป็นเด็กอารมณ์ดี นอนเป็นเวลา ยิ่งกลางคืนลูกนอนหลับได้ยาว ซึ่งสมองของเด็กจะพัฒนาเร็วขณะเด็กหลับยาว ซึ่งลูกสาวหลับยาวถึง 6 ชั่วโมง แต่ลูกคนโตตอนเล็กๆ เขาตื่นทุกๆ 2 ชั่วโมง เมื่อลูกสาวนอนเป็นเวลา แม่ก็ได้พักผ่อน แม่ก็ไม่เครียด ช่วงกลางวันลูกอารมณ์ดี แม่ก็สามารถป้อนความรู้ให้ลูกได้และลูกยินดีรับ เพราะเขาไม่งอแง ทำให้แม่อย่างเรารับมือกับลูกได้ค่ะ”


‘ฟังเสียงร้องของลูก’ เทรนด์เลี้ยงลูกมาแรง!

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์