ถอดบทเรียนสิ่งแวดล้อม จากมหันตภัยน้ำมันรั่วสู่ท้องทะเล


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเลที่กล่าวกันว่าร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ อุตสาหกรรมปิโตรเลียม คือการระเบิดที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน "ดีปวอเตอร์ ฮอไรซัน" กลางอ่าวเม็กซิโก ซึ่งบริษัทบริติช ปิโตรเลียม หรือบีพี ได้รับสัมปทานจากสหรัฐ

อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 20 เมษายน 2553 ซึ่งทำให้มีคนงานเสียชีวิต 11 คน และต้องใช้เวลา 87 วันกว่าจะหยุดการรั่วไหลของน้ำมันได้ ประเมินว่ามีน้ำมันปนเปื้อนสู่ท้องทะเลราว 780 ล้านลิตร จากภาพถ่ายดาวเทียมชี้ว่า ท้องทะเลที่ได้รับผลกระทบโดยตรงครอบคลุมพื้นที่ราว 68,000 ตารางไมล์ (180,000 ตารางกิโลเมตร) 

ในเดือนมิถุนายน 2553 บีพีตั้งกองทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่คาดว่ามูลค่าความเสียหายทั้งต่อคนและสิ่งแวดล้อมสูงกว่าตัวเลขดังกล่าว หลายเท่า

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ สิ่งมีชีวิตในทะเล หรือระบบนิเวศในทะเล ซีบีเอสรายงานว่า สิ่งมีชีวิตประมาณ 400 สปีชีส์อยู่ในภาวะเสี่ยง แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมา 3 ปีเศษแล้ว แต่ภัยคุกคามที่มีต่อสิ่งแวดล้อมยังไม่จางหายไป 

หนังสือพิมพ์ ไทมส์-พิเคยูน อ้างรายงานของสมาพันธ์สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติแห่งสหรัฐว่า ปัจจุบันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเหตุการณ์แท่นขุดเจาะน้ำมันระเบิดในอ่าว เม็กซิโกยังไม่สิ้นสุด ทุกฝ่ายยังคงต้องร่วมมือกันหาแนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้ พร้อมระบุถึงสถานการณ์ของสัตว์และพืชทะเลหลังเหตุการณ์ผ่านไป 3 ปี

รายงาน ของสมาพันธ์ระบุว่า ชายฝั่งทะเลยาว 1,100 ไมล์ (1,770 กม.) มีน้ำมันปกคลุม รวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำที่ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ในรัฐลุยเซียนา และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีเต่าทะเลกว่า 1,700 ตัว ที่ถูกคราบน้ำมันปกคลุมจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ สายพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เต่าหญ้า (Kemps ridley turtle) ซึ่งเป็นเต่าทะเลสปีชีส์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์มากที่สุดในโลก

นอก จากนี้ยังมี "โลมาปากขวด" 650 ตัว เคลื่อนไหวไม่ได้เพราะคราบน้ำมันบนผิวหนัง ซึ่งรวมถึงลูกโลมาหรือโลมาที่เพิ่งคลอด 130 ตัว ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรโลมา

ส่วนกรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่อะแลสกา เมื่อ 24 มีนาคม 2532 เมื่อเรือขนส่งน้ำมันของบริษัทเอ็กซอน จน กระทั่งมาติดอยู่บนโขดปะการังปรินซ์วิลเลียมซาวนด์ บริเวณชายฝั่งรัฐอะแลสกา ส่งผลให้เกิดน้ำมันดิบรั่ว 260,000 ถึง 750,000 บาร์เรล กินพื้นที่กว่า 28,000 ตารางกิโลเมตร 

เหตุการณ์ที่ปรากฏนับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ น้ำมันรั่วครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2532 จนกระทั่งเหตุการณ์น้ำมันรั่วล่าสุดที่อ่าวเม็กซิโกเมื่อ 2553 

การ รั่วไหลน้ำมันครั้งดังกล่าวบริเวณอ่าวปรินซ์วิลเลียมซาวนด์ส่งผลให้สัตว์น้ำ เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งนิตยสารอเมริกัน ไซเอนติฟิกระบุว่า มีปลาแซลมอนจำนวนนับไม่ถ้วน นากทะเล 2,800 ตัว แมวน้ำ 300 ตัว นกทะเลหลายชนิดอีกกว่า 250,000 ตัว และวาฬอีก 22 ตัว รวมไปถึงกระทบต่อระบบนิเวศห่วงโซ่อาหารในทะเลและผลกระทบต่อเนื่อง กระทั่งปี 2553 เอกสารของรัฐบาลสหรัฐประเมินว่า ยังมีน้ำมันอีก 23,000 แกลลอน แทรกซึมอยู่ในพื้นดิน 

หลัง เกิดเหตุการณ์ 20 ปี ทีมจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาลงพื้นที่สำรวจบริเวณอ่าวปรินซ์วิลเลียม ซาวนด์พบว่า จากเหตุน้ำมันรั่วที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศตามชายฝั่งทะเล ที่อาจจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูมากกว่า 30 ปี นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์

ทั้ง นี้รัฐบาลของมลรัฐอะแลสกา และรัฐบาลกลางสหรัฐ ใช้เงินทั้งสิ้น 173.2 ล้านดอลลาร์ ในการจัดการฟื้นฟูและป้องกันเหตุรั่วไหลที่เกิดขึ้น โดยบริษัทเอ็กซอนใช้เงินอีก 39.9 ล้านดอลลาร์ สำหรับการทำความสะอาดบริเวณชายฝั่งและเยียวยาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ในท้ายที่สุดเอ็กซอนยอมจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับรัฐบาลเป็นจำนวนกว่า 507 ล้านดอลลาร์


ถอดบทเรียนสิ่งแวดล้อม จากมหันตภัยน้ำมันรั่วสู่ท้องทะเล

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์