คอลลาเจน ดี(ไม่)จริง อย่าคิดไปเอง!?


นับวันวัฒนธรรมคลั่ง "ความขาว" จะยิ่งทวีความแรงมากขึ้น ผู้ผลิตหัวใสต่างก็รังสรรค์ผลิตภัณฑ์เสริมเอาใจผู้บริโภค ที่เคลมว่าขาวใสแน่นอนอย่าง "คอลลาเจน"  ใหม่ล่ามาแรง ทั้งแบบผง และแบบเม็ด รับประทานง่ายวันละครั้ง สวยไว ใสปิ๊งทันที

ทั้งยังซื้อง่าย - ขายคล่อง เดี๋ยวนี้คลิกเดียวส่งตรงถึงบ้าน สรรพคุณก็ชวนรับประทาน อาทิ ดื่มแล้วผิวเนียนกระจ่างใส , ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน ขาว ใส ใน 7 วัน , ผิวขาว หน้าใส เร่งด่วน เห็นผลภายใน 1 สัปดาห์ !! โดดเด่นด้วยคอลลาเจนเข้มข้น 10,000 มก. ไม่ต้องฉีดปลอดภัย 100%

โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็เป็นสาวๆ ซึ่งคนไทยอย่างเรามีผิวชนิด 3 - 5 ที่สร้างเม็ดสีได้ดี ผิวสวย ผิวแข็งแรง ริ้วรอยมาช้า มีเพียงแค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา "คอลลาเจน" ได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะสารสกัดบำรุงสุขภาพ บำรุงผิวพรรณ ผู้บริโภคเองก็เต็มใจซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาบริโภค จนลืมคิดถึง "คุณค่า" ที่แท้จริง

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เผยว่า แท้จริงแล้วการกินคอลลาเจนไม่ได้ช่วยเรื่องผิวพรรณเลย เว้นแต่ว่าได้รับคอลลาเจนผ่านการฉีด หรือใช้เครื่องมือพิเศษผลักไออนนำคอลลาเจนเข้าไป ร้อยไหม หรือยิงเลเซอร์เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนตื่นตัว

ผู้ผลิตจึงใช้กลยุทธ์จับคอลลาเจนมาคู่กับกลูต้าไธโอน ดึงดูดผู้บริโภคที่อยากเด้งเต่งตึงขาวใส เท่านั้นไม่พอยังโฆษณาขึ้นชื่อส่วนผสมอื่นๆ ที่ดูดีเข้าไปอีก เช่น ไกลซีน เปปไทด์ มิกซ์เบอร์รี่ แคลเซียม เป็นต้น
 
นพ.กฤษดา กล่าวอีกว่า คอลลาเจนมันคือตั้งแต่ ผม เล็บ เนื้อ หนัง กล้ามเนื้อ ล้วนเป็นคอลลาเจน สรุปง่ายๆ คอลลาเจนคือเนื้อตัวเรา นั้นก็คือโปรตีน มันก็มีอยู่ในสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย เวลาที่สกัดคอลลาเจนมามักจะโฆษณากันว่าคอลลาเจนผงจากปลาทะเลน้ำลึก หรือไม่ก็คอลลาเจนบริสุทธิ์ ผู้ผลิตต้องการสร้างกิมมิคให้สินค้าดูเป็นของล้ำค่า คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อ จากหอยมุก จากไข่ปลาคาเวียร์

เมื่อก่อนมีมาคอลลาเจนจากญี่ปุ่นที่มาใส่ในหม้อไฟ เรียกกันว่า กินคอลลาเจนสดๆ แต่พอแปรรูปเป็นผงไม่มีทางรู้เลยว่าผสมแป้งหรือมีสารปนเปื้อนอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ส่วนใหญ่เน้นชูธงว่าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก ดังนั้นข้อเสียอย่างแรกคือ "แพ้" หากกินแล้วรู้สึกคลื่นไส้ถือว่าเป็นระดับอนุบาล แต่ถ้าแพ้รุนแรงจะบวมเป็นผื่นขึ้น ถึงขั้นแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจไม่ออกได้ ยิ่งคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก คนที่แพ้อาหารทะเลกินคอลลาเจนชนิดนี้จะเกิดอาการแพ้รุนแรง เตือนคนที่แพ้อาหารทะเล ต้องดูที่มาของคอลลาเจนด้วย

ข้อเสียที่เป็นของแถม ได้แก่ สารปนเปื้อน เพราะถ้าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก มักจะมีพวกโลหะหนักที่ติดมาจากทะเลน้ำลึก ได้แก่ พวกตะกั่ว ปรอท หรือพวกสารปนเปื้อนอื่นๆ

กรณีผู้บริโภคไม่แพ้ จึงกินทุกวันด้วยความหวังว่ากินแล้วสวย นพ.กฤษดา ระบุว่า ถ้ากินทุกวันไตทำงานหนักแน่นอน เพราะคอลลาเจนผ่านทางไต มันจะทำให้ไตทำงานหนักมาก นอกจากอาหารประจำวัน ยังต้องทำงานล่วงเวลาขับคอลลาเจนอีก ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องไต เป็นโรคไตไม่ควรกิน รวมทั้งคนที่อยากสวยแต่อายุเยอะแล้วต้องระวังมากๆ

ส่วนการกินแล้วขาวนั้น อาจเป็นเพราะการผสมกลูตาไธโอน หรือผสมสารปรอท ซึ่งสารปรอททำให้ขาวแน่นอน แต่ผลข้างเคียงเยอะมาก ทำให้ตับ ไต พังหมดเลยครับ ในระยะสั้นขาวจริง แต่ในระยะยาวเป็นผลเสียต่อร่างกายมาก ระยะยาวนั้นถ้าเป็นคนที่ไม่มีโรคประจำตัว แล้วรับประทานติดต่อกันประมาณ 1 ปี จะเกิดอาการไตวาย

แต่ทำไม! คอลลาเจนที่มีขายเกลื่อนเมืองขณะนี้ สรรพคุณออกจะเลิศ อย.ก็รับรอง ซึ่งตรงนี้เป็นเหตุให้ผู้บริโภคลังเลว่าแท้จริงแล้วมันเป็นยังไง นั้นก็คือการจด อย.หากจดในนามของอาหารและกรรมวิธีผลิตสะอาดถูกต้องตามมาตรฐานก็สามารถมีเลขที่ อย.ได้ไม่ผิดจุดประสงค์

นพ.กฤษดา เตือน มีเคสกินแล้ววูบ หน้ามืด ใจสั่น น่าจะเป็นผลข้างเคียงของกลุ่มยาขับปัสสาวะ (Diuretic) ที่ทำให้ปัสสาวะเยอะ และลดความดันบางตัว ตัวซีด จึงทำให้ดูขาวนั่นเอง เป็นอาการของ Orthostatic Hypotension

ผู้ที่เคยรับประทานคอลาเจนคนหนึ่ง เล่าว่า เวลาเปิดซองชงกิน จะมีกลิ่นคาวนิดๆ ออกรสเปรี้ยวหน่อยๆ มีให้เลือกหลากหลายรส ทั้ง ส้ม สตรอเบอรี่ องุ่น ซึ่งนพ.กฤษดา เผยว่า เหตุที่ต้องมีรสเปรี้ยวเนื่องจากใส่วิตามินซี เพื่อช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายได้ดี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเครื่องดื่มพวกนี้ส่วนใหญ่เค้าอยากให้คนติด เพราะฉะนั้น 2 สิ่งที่จะใส่เข้าไปคือ คาเฟอีน และน้ำตาล เมื่อดื่มจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ถ้าเป็นน้ำตาลฟรุกโตสยิ่งทำให้ติดหวาน และทำให้จุกตับ
 

แนะนำให้ทานคอลลาเจนจากธรรมชาติดีกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ กินปลาดิบแตะวาซาบิ หรือปลานึ่งมะนาว ก็ได้วิตามินซี แต่ถ้าเป็นคอลลาเจนผงสมมติกินไป 100 ได้จริงๆ ไม่ถึง 1 ด้วยซ้ำ และอย่างที่บอกเสี่ยงเกิดอาการแพ้ด้วย สร้างภาระให้ไตอีก ทั้งยังได้ของแถมพวกสารตะกั่ว ปรอท โลหะหนักพ่วงตาม

ข้อมูลทางการแพทย์ ระบุด้วยว่า ในปัจจุบันคอลลาเจนได้รับความสนใจในการใช้เป็นอาหารเพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวหนัง แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดถึงภาวะร่วงโรยของผิวหนังที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้งตามกาลเวลาแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างถาวร จึงควรดูแลผิวด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะบล็อกโคลี่ เพราะมีคอลลาเจนมาก บีทรูท แครอท ฟักทอง กล้วยน้ำว้า โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน


ที่สำคัญควรดื่มน้ำที่สะอาดให้มาก พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอควบคู่กันไป ละเว้นจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงสภาวะที่มีฝุ่นและควันพิษต่างๆ รวมทั้งแสงแดดจัดๆ ในช่วงเวลา 9.30-15.00 น. ซึ่งจะทำลายผิว แม้จะเป็นวิธีการง่ายๆ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ชอบทำ มักอ้างว่าไม่มีเวลา ไม่สะดวก และไม่ทำอย่างต่อเนื่อง นิยมทางลัดหรือวิธีการสำเร็จรูป จึงเป็นจุดอ่อนให้ผู้ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพทั้งหลายนำเอามาใช้ชวนเชื่อผู้บริโภค

คอลลาเจน ดี(ไม่)จริง อย่าคิดไปเอง!?


ขอบคุณ : Springnews


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์