เข้าใจยาก แต่ก็อยากเข้าใจ


โดย : ชนะ เสวิกุล

อันว่าภรรยากับสามีนั้น ใครที่ไหนเขาก็ว่ากันว่าเปรียบเหมือนลิ้นกับฟัน ซึ่งก็คงเพราะว่าอยู่ใกล้กัน (เกือบ) ตลอดเวลานั่นละเป็นเหตุผล ส่วนใครจะเป็นฟันใครจะเป็นลิ้นนั้นก็แบ่งคิวกันไปแล้วแต่บ้านใครบ้านมัน แต่ก็มีบางบ้านเหมือนกันที่ภรรยาจองคิวเป็นฟันตลอดรายการ ทีนี้พอเป็นลิ้นเป็นฟันกันแล้วมันก็เลยมีงานหลักที่จะต้องกระทบกระทั่งกันอยู่เนือง ๆ เพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน เช่น ลิ้นจะทำอย่างนั้นในขณะที่ฟันจะเอาอย่างนี้ หรือฟันคิดจะให้ลิ้นทำอย่างโน้นแต่ไม่ยอมบอก ลิ้นก็เลยไม่เข้าใจและไม่ได้ทำอย่างโน้นตามที่ฟันคิด เแต่หันไปทำอย่างนู้นแทน ซึ่งอย่าว่าแต่เรื่องทำเรื่องคิดอะไรเลย แค่เขียนนี่ก็งงแล้ว

คนเราทุกคนนั้นอยากจะให้คู่ของตัวทำอย่างที่ใจเราอยากได้ แต่ไม่ยักอยากบอกออกมาดัง ๆ หรอก อาจจะด้วยความที่คิดว่าคนรักกันน่าจะรู้น่าจะเข้าใจกันดี ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะตั้งแต่รู้จักกัน คบกัน จีบกัน รักกัน จนกระทั่งตัดสินใจตกล่องปล่องชิ้นกันนี่ มันก็น่าจะเป็นเวลาที่นานพอดูอยู่ ดูใจอยู่ใกล้ ๆ กันนาน ๆ ขนาดนั้นก็น่าจะรู้กันบ้างแล้วละน่า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เรียกแฟนว่าคนรู้ใจ

แต่ความจริงแล้วยังมีอีกเรื่องที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ นั่นคือเรื่องความเป็นตัวตนธรรมชาติของแต่ละคน ไอ้ตอนที่เป็นแฟนกันอยู่นั้นถึงใกล้แต่ก็ยังไกล ถึงเจอกันทั้งวันแต่พอมืดค่ำแล้วถึงจะไม่อยากแยกแต่ก็ต้องย้ายกลับบ้านใคร บ้านมัน เลยมีระยะห่างพอที่ต่างคนต่างยังไม่ทันได้เห็นธรรมชาติของแต่ละคนได้อย่างชัดเจนนัก นี่ยังไม่นับถึงการที่ทั้งคู่ต่างก็งุบงิบเก็บงำความเป็นตัวตนของตัวเอาไว้

ถ้าพูดกันตรง ๆ แล้วเรามักจะทำอะไรไปตามธรรมชาติความเคยชินของตัวเอง พูดง่าย ๆ คือเรามักทำอะไรไปตาม "ความเข้าใจของตัวเอง" มากกว่าจะทำไปด้วย "ความเข้าใจคู่ของเรา" นั่นคือ คนเรามีแนวโน้มที่จะทำทุกอย่างไปตามธรรมชาติของตัว ตามความคิดความเคยชินของตัว

เอาง่าย ๆ เช่น ถ้าเราออกไปที่ไหนก็ตามที แล้วคิดจะซื้อของกลับเข้ามาฝากคนที่บ้าน แวบแรกที่เราตัดสินใจซื้อนั้น เรามักจะซื้อของที่เราชอบ อย่างถ้าเราชอบกินข้าวขาหมู ก่อนกลับบ้านเผอิญผ่านร้านเด็ดประเภทชวนชิมต้องพามารำอะไรทำนองนั้น เกิดนึกถึงคนที่บ้านว่าได้เวลาอาหารแล้วคงจะหิว ก็เลยจัดแจงไปเข้าคิวซึ่งยาวเหยียด เพื่อซื้อกลับไปให้เธอด้วยความอยากจะเอาใจ พอเอาไปให้นอกจากเธอจะไม่ยอมกินแล้วยังบ่นเราเสียกระบุงโกย หาว่าซื้อข้าวขาหมูมาแกล้งกันเพราะเธอกำลังไดเอตอยู่

หรือวันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงาน เราอุตส่าห์ไปจองตั๋วคอนเสิร์ตนักร้องต่างประเทศที่กำลังมาเปิดแสดงด้วย ราคาสูงลิบหวังจะมาเซอร์ไพรซ์เธอ แต่ปรากฏว่าคุณเธอไม่ปลื้ม เพราะฝันเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเราคงจะพาไปดินเนอร์หรูใต้แสงเทียนที่ร้านโปรดกันสองคน แล้วก็เลยลงท้ายด้วยการที่เราต้องมานั่งน้อยอกน้อยใจ ว่าอุตส่าห์ทำดีที่สุดแล้ว นอกจากจะไม่ได้รับคำชมยังแถมถูกบ่นถูกเคืองเสียอีก ส่วนเธอก็ไปนั่งน้อยอกน้อยใจอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้าน ว่าทำไมเราถึงไม่เข้าใจเธอ อยู่กันมาตั้งนานแล้วแท้ ๆ

หรือแม้แต่วิธีที่เราใช้ดูแลกันและกันก็เหมือนกัน หลาย ๆ ครั้งที่คู่ของเราเขามีปัญหาคับข้องใจจากเรื่องงานหรือเรื่องคนอื่น ๆ นอกบ้าน เราเห็นแล้วก็สงสาร ด้วยความรู้สึกของตัวเองที่ว่า เวลาที่มีปัญหาเราจะชอบอยู่คนเดียวและคิดทบทวนอะไรไปเงียบ ๆ เราก็เลยเดินแยกออกมาให้โอกาสเขาอยู่ตามลำพัง ในขณะที่เขากลับรู้สึกว่า เวลามีปัญหาก็อยากให้มีคนเข้าไปนั่งใกล้ ๆ พูดจาอะไรกันให้คลายอึดอัด เห็นเราเดินไปอยู่ห่าง ๆ ก็เลยพาลคิดไปว่าเราไม่ใส่ใจดูแลเขา ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตกันหนักเข้าไปอีก

ไม่ว่าใครก็คงอยากที่จะทำดีที่สุดต่อคู่ของตัวนั่นล่ะ แต่ปัญหาคือ ดีที่สุดที่ว่านั้นเป็นดีที่สุดของเรา ไม่ใช่ดีที่สุดของเขา ถึงจะเป็น Concept หรือแนวความคิดที่ดี แต่มันก็ผิดที่วิธีลงมือปฏิบัติ

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีเมื่อเราอยากจะทำอะไรให้คู่ของเรา เราก็เลยควรจะนึกไว้เสมอว่า เขาชอบอะไรอย่างไร พยายามมองจากมุมของเขา อย่ามองเฉพาะแต่มุมของเรา แล้วอ้างกับตัวเองว่าคิดดีแล้ว ทำดีที่สุดแล้ว บางทีสิ่งที่เธอต้องการนั้นมองจากมุมเราอาจจะเห็นว่าไม่สมเหตุสมผล หรือดูน้อยนิดจนไม่น่าสำคัญอะไรได้ แต่เชื่อเถอะว่า ทุกอย่างสมควรและสำคัญเสมอ ถ้ามันเป็นสิ่งที่คู่ของเราเขาต้องการจริง ๆ

ก็อย่างที่สุภาษิตของไทยเราว่าไว้ว่า ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ถ้ารักจะอ้อนก็ต้องเข้าใจแฟนเรา...เกี่ยวกันไหมนี่



เข้าใจยาก แต่ก็อยากเข้าใจ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์