โลโม่ ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization เดิมทีกล้องโลโม่ออกแบบมาเพื่อใช้ในหน่วยงานสายลับของกองทัพรัสเซีย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกองทัพและผลิตเลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2526 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น มีคำสั่งให้หน่วยงาน LOMO ผลิตกล้องเลียนแบบกล้องคอมแพคท์ของญี่ปุ่นขึ้นมาให้เร็วที่สุด ถูกที่สุดและมากที่สุด เพื่อแจกจ่ายให้พลเมืองรัสเซียทุกคนได้รู้จักการถ่ายรูป โดยมีคำขวัญว่า "คอมมิวนิสต์อันทรงเกียรติทุกคนควรมีกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A เป็นของตัวเอง" โดยผู้ผลิตกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A คือ Michail Aronowitsch Radionov อดีตหน่วยตำรวจลับของสหภาพโซเวียต
ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 Matthias Fiegl และ Wolfgang Stranzinger หนึ่งในผู้บริหารบริษัท Lomographische AG เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก แต่ลืมนำกล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงไปซื้อและได้รู้จักกับกล้อง Lomo Kompakt Automat โดยบังเอิญ และหลังจากได้ถ่ายและล้างรูปจากร้านล้างรูปธรรมดาในซุเปอร์มาร์เก็ต ผลออกมา พบว่าภาพถ่ายมีสีสันจัดจ้านดูผิดเพี้ยน แต่มีความสวยงามจนทำให้พวกเขาได้หลงใหลกับภาพที่ปรากฏขึ้น และในปี 2535 Fiegl และเพื่อนได้จัดตั้งบริษัท Lomographische AG ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจากนั้นไม่นานกระแสความนิยมในโลโม่กระจายไปทั่วโลก ภายใต้แนวความคิดว่า "Lomography is an analog lifestyle product"
กล้องโลโม่ เน้นการถ่ายภาพจากระดับเอว การใช้สีจัดจ้าน เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นศิลปะ เป็นนามธรรม เหล่านี้เป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพโลโมกราฟีนิยมชมชอบ
กล้องโลโม่ มีขนาดที่เล็ก ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการพกพา และใช้บันทึกภาพในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการถ่ายในที่ ๆ มีแสงน้อยได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมสำหรับการภาพทีเผลอ (แคนดิด) และภาพเหตุการณ์จริง
แต่ละรุ่นของกล้องโลโม่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
1.Holka และ Diana เป็นกล้อง Medium Format
2.Actionsampler และ Supersampler สร้างภาพหลายเฟรมหลายแอคชั่นในการกดครั้งเดียว
3.Pop- 9 จะให้ภาพซ้ำแบบ
4.Colorsplash มีแฟลชที่เปลี่ยนสีได้
5.Fisheye ลักษณะภาพจะดูนูน ขอบรูปวงกลม ดีไซน์กล้องดูกึ่งๆ คลาสสิก
คติของโลโมกราฟีคือ "ไม่ต้องคิด ถ่ายไปเลย" ("don't think, just shoot")