“ช่วงกินเจหิวบ่อยจังเลย ทำอย่างไรดี?”
“อยากกินเจนะ แต่อาหารเจมีแต่มันๆ เลี่ยนๆ ทั้งนั้นเลย เลือกกินแบบไหนดี?”
เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงมีคำถามเหล่านี้อยู่ในใจ ดังนั้นก่อนจะเข้าสู่เทศกาลถือศีลกินเจ ซึ่งในปี พ.ศ.2556 นี้ตรงกับวันที่ 5-13 ต.ค.นี้ ผู้เขียนเลยขอชวนทุกท่านมาอินเทรนด์บุญกับบทความแห่งเทศกาลกินเจกันค่ะ
แต่ละท่านอาจมีจุดประสงค์ของการกินเจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะกินด้วยความเชื่อเรื่องเว้นกรรม งดการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ หรือเพื่อเสริมจิตที่เมตตา ผลพลอยได้อย่างหนึ่งที่ผู้กินเจทุกคนน่าจะคาดหวัง ก็คือผลในเรื่องสุขภาพที่ดีใช่ไหมคะ?
คำว่ากินเจ บางคนแปลง่ายๆว่าการไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ เพราะหลักการกินเจที่ถูกต้องคือ การงดทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ของสัตว์ รวมทั้งผักฉุนทั้ง 5 นั่นก็คือ
กระเทียม(ทั้งหัวและต้น)
หัวหอม (รวมถึงต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาวและหอมหัวใหญ่)
หลักเกียว (อันนี้คือกระเทียมโทนจีน หน้าตาคล้ายหัวกระเทียมนั่นแหละ)
กุยช่าย และใบยาสูบ บุหรี่ รวมทั้งของมึนเมาต่างๆ
เพราะเชื่อกันว่าผักทั้ง 5 ชนิด มีกลิ่นรุนแรงมีพิษเข้าไปทำลายธาตุทั้ง 5 ในร่างกายทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติ
ส่วนที่ถามกันมามากมายว่า การกินเจอย่างไรให้ได้ประโยชน์นั้น ความจริงสามารถทำได้ง่าย หากผู้กินเจทุกท่าน มีเวลาเลือกสรรวัตถุดิบที่ดี มีประโยชน์ นำมาประกอบอาหารเจทานกันเอง แต่ด้วยวิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันย่อมเป็นไปได้ยาก ทำให้การซื้ออาหารเจมาทานเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและสะดวกกว่า
ปัญหาร้อยทั้งร้อยที่ประสบพบเจอกันก็คือ อาหารเจที่ขายล้วนมีแต่มันๆเลี่ยนๆอุดมไปด้วยแป้ง แทนที่จะได้ทานเจเพื่อสุขภาพ กลับกลายเป็นเพิ่มปัญหาให้กับสุขภาพกันไป
มาดูกันได้แล้วคะว่าเทคนิคในการทานเจให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรพิจารณาถึงสิ่งใดกันบ้าง
1.เลือกกินให้ครบ 5 หมู่ในทุกๆ มื้อ หลักนี้สำคัญมากและขาดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทานอาหารปกติ หรือทานอาหารเจ เราควรคำนึงถึงสัดส่วนอาหารในแต่ละหมู่ให้ครบในทุกๆมื้อ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป หากใครกลัวว่าทานเจแล้วไม่ละเว้นการทานเนื้อสัตว์จะได้โปรตีนไม่เพียงพอ ไม่ต้องกังวลนะคะ ให้เน้นทานพืชตระกูลถั่ว เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนกันค่ะ
2.เลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ธัญพืชต่าง ๆ ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยออกมาเป็นแป้งที่พร้อมดูดซึม ซึ่งน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากันของแป้งขัดขาว
3.เลือกกินของนึ่ง, ต้ม, ตุ๋น และเลี่ยงของทอดและผัด เพราะช่วยให้เลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง ข้อนี้สำคัญมากๆสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และไม่อยากได้ไขมันส่วนเกินแถมมาในช่วงเทศกาลกินเจ
4.เลือกกินผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงาน และปริมาณแป้งน้อยกว่าจึงไม่ทำให้อ้วน
5.กินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณกินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่เจ ถ้ามีความหวานและผสมน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้ไม่ต่างกัน
6.ควรกินผลไม้หลายๆ สี ทั้งแดง, เขียว, ขาว, เหลือง, ดำ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลายและเพียงพอ รวมไปถึงมีไฟเบอร์ที่จะช่วยระบบขับถ่าย ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและสารพิษตกค้างออกมา ส่วนใครที่มักมีปัญหา กินเจแล้วหิวบ่อย ให้หาแอปเปิ้ลเขียว หรือผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยติดตัวไว้นะคะ ได้รองท้องแล้ว ยังได้ประโยชน์อีกมากมายเลยล่ะค่ะ
7.ควรกินพืชตระกูลถั่วด้วย เพราะเป็นแหล่งโปรตีน มีธาตุเหล็กสูง ช่วยสลายคอเลสเตอรอล ปัจจุบันถั่วถูกแปลงโฉมให้อยู่ในรูปของโปรตีนเกษตร ที่มีความคล้ายคลึงกับอาหารจริง ๆ แล้วแถมยังไม่มีไขมันด้วย แต่แนะนำให้เลี่ยงพวกถั่วทอดไว้นะคะ เดี๋ยวจะได้ไขมัน และคอเลสเตอรอลเพิ่มได้โดยไม่รู้ตัว
8.ควรกินให้หลายหลาย หลักการเดิมๆที่ผู้เขียนเองมักเตือนทุกๆ ท่านอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ควรทานอะไรซ้ำๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมของอันตราย โดยเฉพาะอันตรายทางเคมีที่เรามองไม่เห็น และสะสมในร่างกายจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยเฉพาะอาหารเจที่มีไขมันสูง บรรจุในกล่องโฟม อาหารปิ้ง ย่าง หรือทอด
หลายข้อหน่อย แต่มีประโยชน์มากนะคะสำหรับสุขภาพของเรา และคนที่เรารักในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจนี้ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ก็เพื่อสุขภาพที่ดีตามคอนเซ็ปต์ You are what you eat กันค่ะ ท้ายนี้ผู้เขียนขออนุโมทนาในทุกๆ บุญกุศล ของผู้ที่ “ถือศีล กินเจ” กันด้วยนะคะ สาธุ.