เรื่อง ‘ฟัน’...ที่ไม่ Fun!


ไม่น่าเชื่อว่าฟันในช่องปากแค่ 32 ซี่จะมีผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้ขนาดนี้ ว่ากันตั้งแต่เรื่องกลิ่นปาก ฟันผุ ไปจนถึงเรื่องรากฟัน ฯลฯ แต่หนึ่งในปัญหาที่หลายคนเป็นกันมากและน่ารำคาญสุดๆ ก็คือปัญหาการเสียวฟันค่ะ กินอะไรร้อนๆ เย็นๆ นิดหน่อยก็รู้สึกเหมือนความเสียววิ่งจี๊ดขึ้นไปถึงสมอง ยังดีที่ทุกวันนี้มียาสีฟันที่ช่วยลดการเสียวฟันได้ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เรามาดูสาเหตุของการเสียวฟันกันก่อนดีกว่า

• สัญญาณเตือนภัยก่อนจะสาย

จาก การวิจัยพบว่า ทุก 1 ใน 4 ของผู้ใหญ่ทั่วโลกมีอาการเสียวฟัน ซึ่งถ้า ไม่รีบหาสาเหตุและวิธีแก้ไข อาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาใหญ่และนำไปสู่การ สูญเสียฟันในที่สุด

อาการเสียวฟันมักเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น ภายนอก เช่น การดื่มหรือกิน อาหารร้อนหรือเย็น การแปรงฟัน หรือแม้กระทั่งการสูดลมเย็นๆ ก็สามารถทำให้รู้สึกเสียวฟันได้ เพราะโดยปกติฟันของคนเราจะถูกปกป้องด้วยเหงือกและผิวเคลือบฟัน แต่เมื่อผิวเคลือบฟันสึกบางลง หรือเหงือกร่น เนื้อฟันที่อยู่ภายในจะถูกเปิดออก จึงทำให้ไวต่อความรู้สึกจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ ได้ง่าย

• สาเหตุของการเสียวฟัน

ฟันสึก - ฟันที่ผ่านการใช้งานมานาน ด้านบดเคี้ยวมักสึกบางลงตามธรรมชาติ ส่วนฟันด้านข้างที่สัมผัสกับขนแปรงสีฟันก็เช่นกัน จะมีโอกาสสึกได้มากกว่าด้านอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแปรงฟันผิดวิธี โดยแปรงในแนวนอนด้วยแรงกดที่รุนแรง มักทำให้เกิด

ปัญหาคอฟันสึก นอกจากนี้ การใช้ยาสีฟันที่ผสมสารขัดฟันเนื้อหยาบ ก็จะช่วยเร่งให้เกิดคอฟันสึกอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน ส่วนประเภทอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดและมีรสเปรี้ยว ก็จะทำให้ผิวฟันอ่อนแอลง หากแปรงฟันทันทีหลังอาหารประเภทนี้ โอกาสที่ฝันจะสึกบางลงก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น

เหงือกร่น - นับเป็นสาเหตุของการเสียวฟันที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 35-40 ปีขึ้นไป ส่วนมากมักสัมพันธ์กับภาวะเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากคราบแบคทีเรียและหินปูน โดยปกติขอบเหงือกจะปิดรากฟันจนถึงคอฟัน เมื่อเหงือกร่นลง ผิวของรากฟัน ก็จะลอยอยู่เหนือขอบเหงือก ซึ่งบริเวณนี้มีปลายประสาท อยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีความไวต่อการกระตุ้นภายนอก เป็นต้นเหตุของปัญหาเสียวฟัน นอกจากนี้ เหงือกร่นยังทำให้เกิดช่องห่างบริเวณคอฟัน ทำให้เป็นแหล่งสะสมของเศษอาหาร และนำมาซึ่งปัญหาอื่นๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้นผู้ที่มีอายุ 35-40 ปีขึ้นไป จึงจำเป็นต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ

ฟันผุ - เกิดจากกรดแบคทีเรียกัดละลายแร่ธาตุออกจนทำให้ผิวฟันอ่อนแอลง เมื่อปล่อยทิ้งไว้จนลุกลามถึงเนื้อฟัน จะทำให้เกิดอาการเสียวฟันและปวดฟันได้ ฟันผุมักพบมากในวัยเด็ก และลดน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่กลับพบได้บ่อยอีกครั้งในวัย 35-40 ปีโดยพบฟันผุที่บริเวณรากฟัน อันเป็นผลตามมาจากปัญหาเหงือกร่น นอกจากนี้ ภาวะน้ำลายน้อย (dry mouth) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุได้มากในกลุ่มผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน เป็นต้น

• วิธีแก้ไขและป้องกันการเสียวฟัน

1. แปรงฟันให้ถูกวิธี และควรใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม โดยบริเวณขอบเหงือกซึ่งบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างเหงือกและฟันนั้น ควรทำความสะอาดฟันให้ทั่วด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรแปรงแรงเกินไป

2. เมื่อกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรดหรือเปรี้ยวจัด เช่น อาหารหมัก ดอง น้ำอัดลม ควรเว้นช่วงเวลาอย่างน้อย 30 นาทีและจึงค่อยแปรงฟัน

3. ไม่ควรใช้ยาสีฟันที่ผสมสารขัดฟันชนิดหยาบ เพราะจะไปทำลายผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันสึกก่อนวัยอันควร

4. ถ้าตรวจพบว่ามีฟันผุ ฟันสึก หรือมีปัญหาเรื่องเหงือก ควรพบทันตแพทย์เพื่ออุดฟัน และรักษาก่อนปัญหาลุกลาม

5. ตรวจสุขภาพฟันทุกๆ 6 เดือน

อย่าง ไรก็ตาม การใช้ยาสีฟันที่มีคุณสมบัติลดอาการเสียวฟันเป็นแค่การบรรเทาอาการเบื้องต้น เท่านั้น ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุอย่างแท้จริง ดังนั้นหากมีปัญหาเกี่ยวกับฟันสึก ฟันผุ หรือเหงือกร่น ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและแก้ไข เสียก่อน หลังจากนั้นควรหมั่นดูแลรักษาอนามัยในช่องปากให้ดี โดยเลือกใช้ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปากที่มีคุณสมบัติเฉพาะด้านในการช่วยป้องกันและลดปัญหาในช่อง ปาก ได้อย่างครบวงจรค่ะ

Try This!

• ลดการกิน ‘เกลือ’ ในแต่ละมื้ออาหาร จะสามารถช่วยลดความดันเลือดและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมปัจจุบันได้ ปริมาณที่เหมาะสมคือห้ามเกินกว่า 6 กรัมต่อวัน (ส่วนคนที่เป็นโรคความดันสูงและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วควร บริโภค ไม่เกิน 4 กรัมต่อวัน)

• ใครที่ไม่อยากให้เส้นขนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายขึ้นเร็วจนถอนแทบไม่ทัน วิธีธรรมชาติที่อยากแนะนำก็คือการดื่มชาที่มีส่วนผสมของสะระแหน่ เพราะงานวิจัยของตุรกีค้นพบได้ว่า การดื่มชาดังกล่าวจะทำให้ฮอร์โมน Testosterone-ฮอร์โมนเพศชายซึ่ง เป็นตัวการทำให้ขนเจริญงอกงามนั้นลดลง ว่ากันว่าควรดื่มวันละ 2 แก้วติดต่อกัน 5 วันแล้วจะเห็นผล

• นักโภชนาการแนะนำให้กินผักแตกต่างกัน 5 ชนิดต่อวัน เนื่องจากอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหัวใจ ได้ถึง 38%

• งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Vanderbit ระบุไว้ว่า การเปล่งเสียงหัวเราะเป็นเวลานาน 15 นาที สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 39.8 กิโลแคลอรี

ที่มาข้อมูล : นิตยสารเปรียว



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์