การมีชีวิตอยู่อย่างมีชีวิต

การมีชีวิตอยู่อย่างมีชีวิต


เสียงกลองไทโกกังวานตั้งแต่เช้าจนเย็น เขาตีกลองจนเลือดอาบมือ แทบทุกปีเขาเดินทางมาที่เชิงภูเขาฟูจิ ตีกลองไทโกเพื่อขอบคุณแม่แห่งธรรมชาติ ในวันจันทร์เต็มดวงแห่งเดือนสิงหาคม

การตีกลองเป็นการหวนคืนสู่รากเหง้าของเขา สำหรับเขาดนตรีไม่ใช่เป็นเพียงเสียงแต่เป็นการสื่อสารกับธรรมชาติ และเชื่อมจิตวิญญาณมนุษย์เข้าด้วยกัน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนไม่ใช่การมีชีวิตอยู่ แต่คือการมีชีวิตอยู่อย่างมีชีวิต

คนตีกลองมีชีวิต

คนตีกลองชื่อ คิตาโร


คิตาโรอ่านโน้ตดนตรีไม่ออก ไม่เคยเรียนดนตรีจากสถาบันใด แต่ทุกครั้งที่เขาสัมผัสเครื่องดนตรี พลังบางอย่างจะไหลออกจากตัวเขาเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับเสียง กลายเป็นเสียงแห่งจิตวิญญาณ

คิตาโรบอกว่า ?"ดนตรีนี้ไม่ได้มาจากจิตของผม มันมาจากสวรรค์ผ่านร่างของผมและออกมาทางนิ้วมือและบทเพลง บางครั้งผมก็สงสัยผมไม่เคยฝึก ผมอ่านและเขียนดนตรีไม่เป็น แต่นิ้วมือของผมเคลื่อนไหว ผมสงสัยว่านี่มันเป็นเพลงของใครกัน? ผมเขียนเพลงของผม แต่มันไม่ใช่เพลงของผมหรอก"

คิตาโรเป็นลูกชาวนาชินโต ชื่อคิตาโรมาจากตัวละครการ์ตูนทางโทรทัศน์ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงแบบ R&B (Rhythm and Blues) ของ โอทิส เรดดิ้ง คิตาโรเรียนดนตรีด้วยตนเอง ทั้งกีตาร์ไปจนถึงกลอง

เขาพูดถึงเรื่องการเรียนด้วยตัวเองว่า "ผมเพียงแต่เรียนรู้ที่จะไว้ใจหูและความรู้สึกของผม"

ระหว่างที่เรียนโรงเรียนมัธยม เขาตั้งวงดนตรีกับเพื่อน พวกเขาเล่นดนตรีในคลับและงานปาร์ตี้ เขาว่า "ในโรงเรียน ผมอยู่ในวงสมัครเล่น ผมเริ่มเล่นกีตาร์แต่เปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ด ในการเล่นสดครั้งหนึ่งเมื่อคนเล่นกลองบาดเจ็บเล่นไม่ได้ ผมไม่มีประสบการณ์การเล่นกลองเลยแม้แต่นิด แต่ผมก็ต้องเรียนรู้มัน เพราะผมเป็นหัวหน้าวง และเราต้องเล่นสด ฝีมือกลองของผมไม่ดีเลย แต่เราก็เข็นมันผ่านไปจนได้ ต่อมาคนเล่นเบสกีตาร์บาดเจ็บ ผมก็ต้องเรียนเล่นเบสกีตาร์"

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เป็นการฝึกแบบถูกบังคับ! เขาว่า "มันยากสำหรับผม แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก มันสร้างฐานความรู้ในการใช้เครื่องดนตรีทั้งหมดที่ผมใช้ และจำเป็นที่จะใช้สร้างสายทางดนตรีของผมเอง" 

หลังเรียนจบ เขาต้องการเป็นนักดนตรี คิตาโรไปเล่นตามคลับต่างๆ ในโตเกียวและโยโกฮามา เขาเล่นคีย์บอร์ด จนต่อมาค้นพบซินธิไซเซอร์ เขาบอกว่า "ก่อนอื่น คู่มือการใช้เป็นภาษาอังกฤษ ผมอ่านไม่ออก ผมจึงพยายามสร้างเสียงอะไรสักอย่าง แต่ทำไม่ได้ ผมลองทั้งวัน แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรออกมา เพราะผมตั้งโปรแกรมมันไม่เป็น ในที่สุด เสียงแรกก็หลุดออกมาจนได้ เป็นเสียงคล้ายลม แต่ผมดีใจมากที่ผมสามารถสร้างเสียงอะไรบางอย่างได้ มันไม่สำคัญว่าเป็นเสียงอะไร..."

พ่อแม่ของเขาไม่อยากให้เขามีอาชีพทางดนตรี อยากให้ทำงานในบริษัทในเมืองที่อยู่ คิตาโรจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใคร เขาทำงานทุกอย่างเพื่อให้อยู่ได้ เช่นการทำอาหาร และอื่นๆ และแต่งเพลงตอนกลางคืน

ในต้นทศวรรษ '70s เขาเปลี่ยนเครื่องมือมาเป็นคีย์บอร์ด เข้าร่วมวง Far East Family Band และท่องโลก เขาพบนักดนตรีเยอรมันคนหนึ่งซึ่งสอนเขาใช้ซินธิไซเซอร์ ต่อมาเขาออกจากวงและท่องเที่ยวไปทั่วเอเชีย

ในปี 1977 เขาออกงานอัลบั้มสองชิ้น คือ Ten Kai และ From the Full Moon Story กลายเป็นที่นิยมของพวกนิวเอจ เขาแสดงคอนเสิร์ตซิมโฟนีเล็กๆ ครั้งแรกที่โตเกียว เขาใช้เครื่องซินธิไซเซอร์ สร้างเสียงต่างกันของเครื่องดนตรีต่างๆ 40 ชนิด เป็นครั้งแรกในโลก

เขาโด่งดังทั่วโลกจากเพลงประกอบหนังสารคดีโทรทัศน์ของญี่ปุ่น Silk Road หลังจากนั้นก็ได้เล่นดนตรีกับนักเล่นที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ได้รับรางวัลหลายครั้ง รวมถึงเพลงประกอบหนังของ โอลิเวอร์ สโตน เรื่อง Heaven and Earth

คิตาโรใช้ชีวิตเรียบง่าย เขาบอกว่า "ธรรมชาติให้แรงบันดาลใจแก่ผม ผมเป็นเพียงคนส่งสาส์น...

"สำหรับผม บางเพลงเป็นเหมือนก้อนเมฆ บางเพลงเป็นเหมือนสายน้ำ"


แม้ว่าคนจะจัดดนตรีของเขาเป็นแบบนิวเอจ แต่เขาบอกว่า น่าจะเป็นเป็นดนตรีแบบจิตวิญญาณมากกว่า เน้นที่ความอบอุ่น อารมณ์ เขาบอกว่า "ความรู้สึกเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของดนตรีของผม"

คิตาโรพิสูจน์ว่า ความรู้ดีมิสู้ประสบการณ์ และประสบการณ์ก็ไม่จำเป็นต้องมาจากการเล่าเรียนตามหลักสูตร ความรู้มาจากการเรียนที่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ การดัดแปลง การเปิดช่องทางออกให้กฎเกณฑ์ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การเรียนด้วยหัวใจ คนเราสามารถเรียนได้ด้วยตัวเองเสมอ หากเปิดหัวใจออกกว้าง


บทความโดย............วินทร์ เลียววาริณ

จาก ทำดีดอทเนต

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์