เมื่อไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นเพศอะไร...


เมื่อไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นเพศอะไร...


เมื่อไม่รู้ว่าตัวเอง "เป็นเพศอะไร"...

มนุษย์ส่วนใหญ่เกิดมามีอวัยวะเพศเพียงหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่ใช่อวัยวะเพศชายก็เป็นอวัยวะเพศหญิง แต่อัตลักษณ์ทางเพศ บทบาทการแสดงออกทางเพศนั้นมีหลากหลาย แม้แต่คนที่ชัดเจนว่าเป็นชาย-หญิง ก็มีระดับความเป็นชาย-หญิงที่มากน้อยไม่เท่ากัน เปรียบเหมือนสีแต่ละสีก็มีหลายเฉด เข้มอ่อนต่างกันไป 

การที่คนส่วนใหญ่ของโลกนี้เป็นชาย-หญิง สร้างความเข้าใจผิดๆ จนฝังลึกเป็นทัศนคติว่า คนที่เป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากชาย-หญิงตามมาตรฐานของคนส่วนใหญ่ คือ "คนผิดปกติ" ทั้งที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์จะเป็นอะไรก็ได้เท่าที่ใจต้องการ 

อาจารย์แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำการวิจัยโดยสำรวจความหลากหลายทางเพศของเด็กมัธยม 2,700 คน จากโรงเรียนมัธยม 5 แห่งในกรุงเทพฯ พบว่า

เด็กตอบว่าตัวเองมีความหลากหลายทางเพศร้อยละ 11 

ซึ่งในร้อยละ 11 นั้น เปอร์เซ็นต์มากที่สุดคือ กลุ่มที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพศไหน และจากการสำรวจพบว่า การยอมรับของครอบครัวมีบทบาทสำคัญ และส่งผลกระทบต่อเด็กมาก เด็กที่พ่อแม่ยอมรับมีผลการเรียนดีกว่า มีความสุขมากกว่า มีภาวะซึมเศร้าน้อยกว่า มีความคิดฆ่าตัวตายน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 

"พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนหลากหลายทางเพศมักจะมาหาหมอด้วยคำขอให้หมอช่วยเปลี่ยนลูกให้กลับไปเป็นตามเพศสภาพเดิมซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก สิ่งที่เปลี่ยนได้คือบทบาททางเพศ (Gender Role) แต่ไม่สามารถเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) ได้ เวลาที่พ่อแม่พาลูกมาปรึกษา หมอไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเด็ก ช่วยแค่ประเมินว่าเด็กมีปัญหาหรือไม่ แต่คนที่หมอช่วยคือ

พ่อแม่ช่วยดูแลรับฟังการปรับทุกข์ที่มาจากความไม่เข้าใจ หมอต้องพยายามทำให้พ่อแม่เข้าใจว่าการเป็นคนหลากหลายทางเพศไม่ได้แปลว่าเป็นโรคหรือมีปัญหา 

ณ ปัจจุบันสมาคมจิตแพทย์อเมริกา และสมาคมเวชศาสตร์วัยรุ่นสหรัฐอเมริกา สรุปแล้วว่า การพยายามทำให้เด็กกลับไปเป็นเพศเดิม (Retransition) ไม่เป็นผลดีต่อเด็กและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้เกิดความอึดอัดคับข้องใจ นำมาซึ่งปัญหาอื่นๆ" 


อ.พญ.จิราภรณ์กล่าวอีกว่า ในสังคมไทยมีการนิยามคำหลายคำ เพื่อใช้กับคนที่ไม่ใช่ชาย-หญิงตามมาตรฐานของสังคม ที่นิยมใช้มากที่สุดคือคำว่า "เบี่ยงเบนทางเพศ" ซึ่งเป็นคำที่ไม่ควรใช้ เพราะเป็นคำที่แปลว่าผิดไปจากปกติ ซึ่งเป็นการนิยามแบบตีตราที่ไม่ถูกต้อง เพราะความหลากหลายไม่ได้แปลว่าผิดปกติ เช่น คนถนัดขวากับคนถนัดซ้าย ถึงแม้ประชากรส่วนใหญ่ในโลกถนัดขวา แต่ไม่ได้หมายความว่าคนถนัดซ้ายผิดปกติ

อีกคำหนึ่งที่ใช้กันมากคือคำว่า "เพศทางเลือก" ซึ่งเป็นคำที่ไม่ควรใช้เช่นกัน เพราะเป็นการสื่อว่าเพศเป็นสิ่งที่เลือกได้ สร้างความเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่เด็กเลือกได้แต่ทำไมไม่เลือก แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครเลือกได้ การจะเป็นเพศไหนมันเป็นไปตามธรรมชาติ 

ถ้าสังเกตที่ตัวเราเองจะรู้ว่าไม่มีวันที่เราตั้งใจว่าวันนี้จะเป็นชาย วันนี้จะเป็นหญิง เราเป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ โดยธรรมชาติ ไม่มีใครเลือกสิ่งที่เป็นได้ เลือกได้แค่สิ่งที่แสดงออก 

ฉะนั้นคำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนกลุ่มที่ไม่ใช่ชาย-หญิง ในมาตรฐานของสังคมก็คือคำว่า "หลากหลายทางเพศ" 

อาจารย์แพทย์หญิงนิดา ลิ้มสุวรรณ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พูดไปในทางเดียวกันว่า โดยทั่วไปอัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์พัฒนามาตั้งแต่ 2-3 ปีแรก คนส่วนใหญ่มีอัตลักษณ์ทางเพศตรงกับอวัยวะเพศ (Biological Sex) และจะคงที่อยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่เสมอไปในทุกคน 

ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าว่าเด็กจะโตไปเป็นเพศอะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เตือนว่าเป็นแนวโน้มเสี่ยง คือ อาการที่เด็กไม่พอใจสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พอใจเพศที่ตัวเองเป็นมากๆ บางคนเฉือนอวัยวะเพศตัวเองทิ้ง รู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราเกิดมาในร่างกายที่ผิด เด็กที่มีระดับความไม่พอใจที่รุนแรงมีแนวโน้มว่าจะคงความไม่เป็นสุขในเพศของตัวเองไปจนถึงวัยรุ่น และจะพัฒนาไปเป็นคนที่มีความหลากหลายทางเพศ 

เมื่อไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นเพศอะไร...

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์