คำบรรยายธรรมะพิเศษ จาก อ.เฉลิมชัย ควรอ่านและเก็บไว้ให้ดี


วันนี้มีสิ่งดีๆ ที่ชาวเน็ตต่างพากันกดไลท์ กดแชร์ มานำเสนอให้ชาว teenee.com ได้อ่านกันคะ อาจจะยาวสักนิดแต่รับรองมีแง่คิดดีๆแฝงอยู่ในบทบรรยายนี้ให้เราได้เรียนรู้แน่นอน 

คำบรรยายธรรมะพิเศษ จาก อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เนื่องใน โอกาส วันครบรอบวันเกิดอายุ 60 ปี ณ ศาลาธรรม วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย ถอดเทปคำบรรยายโดย คุณพิทักษ์พงษ์ กิตติจารุนั นท์ ( username สูงสุดสู่สามัญ) 

การชำระใจระยำของตัวเอง การมีความเพียรพยายาม ขัดเกลาใจที่จะระยำของตัวเอง เราจึงจะเลือกทางเดินได้ทางหนึ่ง นั่นคือทางแห่งความสำเร็จ ทางโลกียวิสัยทางโลก เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ทั้งถูกปั่นบ้าบอคอแตก เราจะต้องเสียอย่างหนึ่งออกไป นั่นคือเสียความเป็นเวทนานั้น เราติดตัณหา เรารู้จักตัณหา เราเข้าใจตัณหา เราจึงอยู่กับตัณหาได้อย่างสบาย เราจึงผาดโผนอยู่ในยุทธจักรแห่งการแย่งชิง แย่งชิงในอาชีพของเราเอง มนุษย์นั้นแสวงหาที่มีตัณหา ตัณหาคือการแย่งชิง คนที่ฉลาดที่สุดจึงได้เปรียบ ดังนั้นคนที่ฉลาดที่สุดจึงต้องเรียนรู้สิ่งที่วิเศษ นั่นคือธรรมชาติ ธรรมชาติของตัวเราเอง ธรรมชาติของผู้อื่น เรารู้จักธรรมชาติของตัวเราอย่างดีเยี่ยม เราจึงรู้จักธรรมชาติของสัตว์ทุกตัว "

" ดังนั้นมนุษย์ที่วิเศษนั้นจึงฝึกฝนตัวเอง ในการให้รู้จักเข้าไปสู่ยังที่เขาเรียกว่าจิตวิญญาณ ที่พวกเราไม่รู้จัก มนุษย์ทุกคนรู้จักแต่สมองสั่งการ มนุษย์ทุกคนรู้จักอย่างเดียวคือสมองมันสั่งอย่างไร เราจึงทำอย่างนั้น เราไม่มีสิ่งกีดกั้น หรือมีตัวเบรกหรือบังคับให้ใจของเรานั้น ให้สมองของเรานั้นคิดในทางเป็นกลางมัชฌิมาปฏิปทา สุดท้ายมนุษย์นั้น นอกจากพอมีพอกินพออยู่เป็นพอคเก็ตอย่างหนึ่ง อิ่มมั่ง หิวมั่ง สลับกันไป ไปอยู่ในที่สูงแห่งชีวิตยาก ดังนั้นมนุษย์ที่พิเศษจึงเรียนธรรมะสำหรับฝึกฝนจิตใจตนเองอยู่เสมอ ผมนั้นเฝ้าเพียรในการฝึกฝนใจของผมมาโดยตลอดเวลา ตั้งแต่ปี2525 ชีวิตอยู่ในโลกียวิสัยโดยภายนอก แต่ภายในนั้นธรรมะ อยู่ในสายแห่งธรรม ดังนั้นใจนั้นมุ่งมั่นต่อการรัดใจของตนเอง เพื่อพัฒนาใจของตัวเองก็คือการอยู่กับตัวตนของตัวเองให้มากที่สุด ในขณะที่ผาดโผนในยุทธจักรข้างนอก เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อกลับเข้าไปสู่เคหะสถาน ไปอยู่ในบ้านในช่อง ไปอยู่ในความสงบในครอบครัวของตนเอง นั่นคือสิ่งที่เราต้องสงบก็เพื่ออะไร สงบก็เพื่อที่จะฝึกฝนจิตใจของตนเองให้เห็นความสำเร็จให้มากที่สุด ความสำเร็จนั้นนำมาใช้ในชีวิตของเรา นั่นคือสัจจะ นั่นคือธรรมะ "

" หลักธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งพวกเราไม่รู้จัก พวกเราจะรู้จักแต่เสียงสวดของพระ พวกเราจะรู้จักแต่ว่าเราให้ทาน เรารักษาศีล แล้วเราจะได้บุญ เรามีแค่นั้น แต่เราไม่รู้หรอกว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่นำมาฝึกใจของเราได้ ฝึกเพื่ออะไร ฝึกเพื่อไปอยู่กับการเข้าใจจิตวิญญาณ คือจริงแท้ของจิตวิญญาณ เพื่ออะไร เพื่อบังคับสมองอันงี่เง่าของเรา สมองมนุษย์นั้นจึงเต็มไปด้วยตัณหา มันมีแต่ความอยาก ความอยากนั่นคือความปกติในโลกียวิสัย แต่ว่าความอยากนั้นจะต้องถูกปิดกั้นหรือบังคับได้ชั่วครั้งชั่วคราวที่เรามีอำนาจ ในการสั่งการบังคับมัน ทำให้เกิดความเป็นกลางของชีวิต จึงทำให้ดำรงชีวิตอย่างถูกต้องและนำพาชีวิตของตัวเองได้อย่างปานกลาง ดังนั้นธรรมะนั้นฝึกให้เราเป็นผู้รู้เท่าทันจิตวิญญาณของตนเอง "

" ท่านคงจะมองว่า แล้วอาจารย์เข้าวัดเข้าโบสถ์ทำไม ขังตัวเองอยู่ทั้งหมด 6 วันโดยไม่พูดสักคำเดียว นั่นคือการสร้างสัจจะอธิษฐานของตัวเองว่า การเข้าไปอยู่ในโบสถ์ 6 วันจะไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว และกินข้าวมื้อเดียว และกินมังสวิรัติด้วย แล้วอยู่กับความเงียบของจิตวิญญาณของตัวเอง นั่นทำไม ทำไมจึงทำอย่างงั้น ทุกวันก็ทำอยู่ แต่ทำไมต้องทำ "

" ผมจะบอกให้ท่านได้รับทราบว่า การเข้าปริวาสกรรมนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของสงฆ์ พระสงฆ์ที่ประพฤฒิไม่ดีไม่งาม มีอาบัติมากมาย จึงไปเข้าปริวาสกรรมนั่นก็คือการไปถามตนเองอยู่ การไปทรมานตัวเอง การฝึกตัวเองเข้าสู่ภวังค์ สำหรับผมนั้นมีการฝึก สมาธิจิตอยู่ในขั้นที่ถือว่า อัปปนาสมาธิปริวาส นั่นก็คือ การเรียนรู้ในจิตวิญญาณในระดับนั้น ดังนั้นการเข้าสู่ปริวาสกรรมนั้น ถือว่าเป็นการเข้าสู่วันปริวาสกรรม นั่นก็คือ เป็นการรอคอยเวลานี้ เป็นเวลานานถึงเวลา 30 กว่าปี เพื่อรอเวลานี้ เพื่อรอโอกาสนี้ เพื่อรอ 60 ปีนี้ เพื่อจะได้ทำในสิ่งตัวเองปรารถนา เพราะถือว่าเป็นธรรมขั้นสูง เป็นสมาธิหรือการวิปัสสนาญาณขั้นสูง ดังนั้นทั้งคืนเพื่ออะไร ผมนั้นเพื่อจะสอบจิตของตัวเอง เข้าไปอยู่ในนั้น ท่านรู้ไม๊ว่า การขังท่านอยู่ในโบสถ์ ท่านจะเป็นบ้าได้ ขั้นยากที่สุด ท่านคิดว่าหมูเหรอ ที่มีคนเอาข้าวไปให้กินหนึ่งมื้อ ท่านอยู่ในนั้นในโบสถ์คนเดียวตลอด 6 วัน 6 คืน ท่านทำไป ถ้าท่านไม่มีสมาธิจิตสูงพอ ท่านอยู่ไม่ได้หรอก แค่วันเดียวท่านก็อยู่ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก "

" ดังนั้น การเข้าไปอยู่ในนั้น ท่านรู้ไหมว่าต้องทำอะไร เราต้องทำอะไร เราต้องทำใจของเราให้ว่างอยู่เสมอตลอด 24 ชั่วโมง เรามีวอกแวกบ้าง เรามีอยู่ 2 อย่างที่ทำก็คือนั่งสมาธิ 2 คือจงกรม 2 อย่าง ผมนั้นเดินในโบสถ์โบสถ์นั้นยาว 15 เมตร กว้าง 9 เมตร ท่านรู้ไหมผมเดินหลายสิบกิโล ถามว่าหิวไหม ไม่หิวเลย ถามว่า เมื่ออยู่ในโบสถ์ยังหิวทุกวัน อยู่ในวัดทำงาน หิวทุกวัน หิวมากกิน 3 มื้อยังหิวอยู่เลย แต่ว่า เวลาอยู่ในโบสถ์นั้น สมาธิจิตอันแน่วแน่นั้น จึงทำให้เราไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง อยู่ในนั้น นั่งภาวนา ยืนภาวนา เดินภาวนา นอนภาวนา ตลอดเวลาที่อยู่ในนั้น เพื่อพัฒนาความละเอียดของภวังค์ ภวังค์คือความเงียบสงัด ความเงียบสงัดเหล่านั้นจึงเข้าสู่ภวังค์แห่งสมาธิ สมาธินั้นจึงทำให้เราคิดได้ในอดีตและคิดได้ในอนาคต "

" ดังนั้น วันนี้เป็นวันสรุปสุดยอดของชีวิตว่า ผมนั้น ผมจะบวชไหม ผมจะบวชไหม ผมได้ตั้งจิตไว้ว่า ผมจะบวชเมื่ออายุ 65 ปี ปรากฏว่า สิ่งที่ผมรอคอยนั้นได้ตอบคำถามผมแล้วว่า ผมไม่สามารถ ผมไม่สามารถที่จะบวชได้ ในเวลา 65 ปี อายุ 65 ปี ท่านทราบไหมว่าเพราะอะไร เพราะว่าผมรู้ว่า ผมนั้นจะต้องกลับชาติมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ยามเมื่อพระพุทธศาสนากำลังแย่ลง ดังนั้น การบวชครั้งนี้ ผมยังมีกรรมต่อ ทั้ง 2 คน 2 จิตวิญญาณที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผมไม่สามารถที่จะทอดทิ้งกรรมที่อยู่ร่วมกันนั้นได้ และสิ่งหนึ่งที่ผมจะทิ้งได้ ผมก็ทิ้งได้ แต่ผมไม่ทิ้ง เพราะผมรู้ว่า ผมต้องกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วผมจะบอกท่านว่า ผมจะไม่กลับมาในชาตินี้ด้วยซ้ำไป ถ้าผมได้บวชเมื่ออายุ 65 ปี แต่ว่า การเข้าสมาธิครั้งนี้จึงรู้ว่า ผมนั้นทำไม่ได้  เพราะมีภาระในภพชาติหน้าอีกชาติหนึ่ง "

" ดังนั้น วันนี้จึงเป็นวันที่ ถือว่าเป็นวันที่ผมล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ล่วงรู้ข้างหน้าผมเอง และภพชาติข้างหน้าผมเอง ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด เพราะท่านไม่เชื่ออยู่แล้ว เพราะท่านไม่ได้เรียนรู้ธรรมะใดๆทั้งสิ้น ท่านไม่รู้จักจิตภาวนา ท่านไม่รู้จักจิตวิญญาณ ท่านไม่รู้จักอะไรสักอย่าง ท่านรู้จักแต่ตัวท่านเอง ท่านยึดมั่นแต่ตัวตนของท่านเอง ท่านยึดมั่นอยู่ในสมองของท่านเอง ท่านยึดมั่นแต่ตัวของท่านและครอบครัวของท่าน ท่านเห็นว่าอยู่ในโลกนี้ทุกอย่างนั้นเป็นความจริงของท่าน จริงๆ แล้ว มันไม่เป็นความจริงสักอย่างในชีวิตของเรา ชีวิตของเรานั้นไม่มีอะไรเลย เราเป็นสมมุติทั้งหมด เราจึงเดินทางไปสู่ความตาย เป็นการทิ้งกัน แม้กระทั่งทิ้งตัวเราเอง นั่นคือจุดสุดท้ายของชีวิต  ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นจึงรู้เหตุการณ์ตนเองในการเดินทางไปสู่ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา แต่ในสัตว์โลกทุกตัว ส่วนใหญ่นั้นล้วนต้องอยู่วิบากกรรม คืออยู่ในวงล้อมแห่งวัฏฏสงสาร เกิดดับ เกิดดับ เป็นธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่ดี "

" มนุษย์นั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่เทวดายังต้องอิจฉา เทวดานั้นจึงอิจฉาในการเกิดเป็นมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเทวดาลงมาเกิดทุกครั้งนั้น ก็จะต้องมีการจัดงานส่งด้วยความยินดีปรีดา เพราะเทวดานั้นมีความสุขมากเกินไป เทวดานั้นยังอยู่ในโลกียวิสัยอยู่ เป็นจิตที่อยู่ในโลกียวิสัยอยู่ เวลาเทวดาลงมาเกิดจึงมีการส่งดีใจแสดงความยินดี เพราะเกิดลงมาแล้วมีโอกาสปฏิบัติธรรม เพราะอยู่ในสรวงสวรรค์นั้นปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะมีความสุขมากเหลือเกิน ความสุขนั้นมาก เทวดารูปนั้น บางคนนั้น บางตัวตนนั้น มีกรรมดีมาก กรรมชั่วก็มี กรรมดีส่งผลให้เกิดเป็นเทวดา สุดท้ายก็ต้องลงมาเกิด ก็ยังดี เทวดาก็ดีใจในการเกิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ไม่ใช่เป็นสิ่งไม่ดี มนุษย์นั้นถือว่าเป็นภพภูมิที่ดี ภพภูมิที่ดีที่สุดระหว่างกึ่งกลางระหว่างภพภูมิที่ต่ำกว่าและสูงกว่า ดังนั้นการเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐนั้นก็มีส่วนหนึ่งเท่านั้นเองในโลกนี้ที่มนุษย์ประเสริฐนั้นปรารถนา ในการจะไม่กลับมาเกิดอีก ไม่เป็นแม้กระทั่งเทวดา ไม่เป็นแม้กระทั่งพรหม แต่ว่าจะไม่กลับมาเกิดอีก นั่นคือสูงสุดที่พระพุทธเจ้าได้สอนและท่านได้ตรัสรู้ไปล่วงหน้าแล้ว "

“ ผมนั้นจึงฝึกตัวเองเป็นอย่างนั้น ดังนั้นจึงบอกให้ท่านทั้งหลายทุกท่านว่าโลกียวิสัย ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่ดี โลกียวิสัยเป็นเรื่องที่ดี เราอยู่ในโลกนี้ ทำมาอาชีวะ มีศีล มีธรรม มีความสุขก็พอแล้ว เป็นความเพียงพอแก่ชีวิตแล้ว นั่นก็คือเป็นสิ่งที่ถือว่าดีที่สุด เราทำบุญทำทานปฏิบัติจิตของเรานั้นเป็นบุญกุศลที่ได้รับจากจิตวิญญาณ บุญกุศลนั้นมี 2 อย่างด้วยกันคือ ทำทาน 2 กับสัตว์กับพืช 2 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุทาน ไม่ว่าจะเป็นให้ทานแก่มนุษย์และสัตว์ เหล่านี้ถือเป็นบุญ แต่บุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือบุญแห่งการปฏิบัติจิตพวกเราเอง นั่นคือทำความว่างเกิดภายในจิตของเรา ในขณะที่เราทำมาอาชีวะ เรามีลูกมีเมีย เรามีความรับผิดชอบอยู่ "

" แต่วันหนึ่ง ขอให้ท่านนั้นจงฝึกในการปฏิบัติภาวนาในใจของตัวเอง ท่านอาจจะภาวนาอะไรไม่ได้เลย ท่านก็หลับตาส่งไปก่อน ท่านอย่าสนใจ ดีกว่าท่านไม่ได้หลับตาเลย ท่านจงเป็นเวลาเวลาหนึ่งสำหรับชีวิตของตัวเองประมาณ 2  นาที 3 นาที 5 นาทีก็พอ สำหรับชีวิตของทุกชีวิต ท่านรู้ไม๊ ท่านไม่รู้จักอะไรเลย แต่ว่าสิ่งนั้นเป็นบุญเกิดแก่ท่าน เป็นพื้นฐานของการจะมุ่งไปสู่การเข้าใจจิตอะไรสักอย่าง แต่ถ้าท่านไม่นั่งหลับตาเลย ท่านจะไม่รู้จักอะไรเลยสักอย่าง "

" ดังนั้นให้ท่านนั่งหลับตา ท่านอาจจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คิดถึงธุรกิจ คิดถึงอนาคตของครอบครัว คิดถึงลูกถึงเมีย คิดถึงข้างหน้า คิดถึงทุกอย่าง ไม่เป็นไรท่านคิดไป แล้วท่านก็นั่งหลับตาไป นั่นคือเป็นชีวิตของท่านที่เรียกว่า เป็นสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณ เป็นตัวที่หนือกว่าชีวิต ที่ท่านจะหวนถึง "

" ดังนั้นวันนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผมที่ได้มาพูดสิ่งนี้แก่พวกเรา ไม่ว่าจะเป็นคณะศรัทธาญาติโยมของวัดเรา หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ลูกหาของผม และเพื่อนฝูงมิตรสหายและท่านผู้มีเกียรติ วันนี้จะได้เข้าใจว่า สิ่งที่ผมคิดนั้นคืออะไร สิ่งที่ผมได้รู้จักนั้นคืออะไร ผมไม่อยากให้ท่านเป็นอย่างผมหรอก ผมอยากจะให้ท่านเป็นเหมือนผมที่เป็นโลกียวิสัยมากกว่านะ การทำกิจของตัวเองอื่นๆ ความสำเร็จและความสุขนั้นสำคัญมากกว่า ยังมุ่งไปสู่การทำการหลุดพ้นแบบผม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ยากสำหรับเรามาก  เราจงคิดเรื่องง่ายที่สุดนั่นคือทำอย่างไร ให้เราทำธุรกิจ ทำมาอาชีวะของเราให้มีความสำเร็จ "

" นั่นก็คือสิ่งที่ผมบอกให้ท่านได้รับรู้ว่า ถ้าท่านได้รู้จักจิตวิญญาณ ท่านไม่ได้เสียเวลาเลย ในการที่ท่านจะได้เรียนรู้จิตวิญญาณของตัวเองนั่นคือการนั่งหลับตาวันละ 3 นาที แล้ววันหนึ่งท่านจะรู้สึกว่าท่านอยากนั่งหลับตาซัก 5 นาที แล้ววันหนึ่งท่านจะรู้สึกว่า ท่านอยากนั่งหลับตาซัก 10 นาที แล้วท่านจะรู้สึกว่าท่านอยากหลับตา 20 นาที แล้ววันหนึ่งท่านอยากหลับตาหนึ่งชั่วโมง แล้วท่านจะรู้สึกว่าท่านนั้นยิ่งใหญ่ ชีวิตของท่านนั้นยิ่งใหญ่ ทั้งการลืมตาและหลับตา เมื่อลืมตานั้น ธุรกิจของท่านงอกงาม เจริญรุ่งเรือง มีแต่โภคทรัพย์ มีแต่ความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีแต่ความสุข ครอบครัวของท่านก็เป็นสุข ทุกชีวิตที่อยู่รายล้อมของท่านนั้น มีความดีหมด ธุรกิจของท่านจึงงดงาม และถ้าท่านนั่งหลับตานาน 1 ชั่วโมง ท่านจะลืมตาขึ้นพร้อมกับความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตการมีวิสัยทัศน์จนท่านไม่คาดหมาย "

" ท่านไม่คาดคิดว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไม เหตุผลก็คือ จิตวิญญาณของท่านละเอียดโดยที่ท่านไม่รู้จักมาก่อน ท่านไม่รู้ตัว ท่านไม่ค้นหาจิตวิญญาณของท่านได้หรอก แต่การหลับตานั้น จึงทำให้ท่าน มีความว่าง เป็นช่วง ช่วง ของขณะจิตเท่านั้นเองต่อความกว้างที่ควบคู่นั้น จึงทำให้เกิดช่องแห่งบุญ เกิดขึ้นในใจของตัวเราเอง ดังนั้นบุญนั้นก็คือปัญญา ปัญญาก็คือการเห็นธุรกิจขึ้นมา ลืมตามองธุรกิจแล้ว จึงรู้ว่า จะทำอย่างไร และแก้ปัญหาวิกฤตของธุรกิจท่านอย่างไร แก้ปัญหาชีวิตของท่านอย่างไร "

" ท่านลืมสิ่งที่พวกเราไม่รู้จัก ดังนั้น วันนี้ผมอยากจะอธิบายให้ท่านฟังว่า สำหรับคนหนุ่มคนสาวที่มาอยู่ในที่นี้ เราจะมีเวลามาก ในการที่พัฒนาครอบครัวของเรา พัฒนาชีวิตของเรา ไปสู่ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ทางโลกียวิสัยเหนือคนอื่น ทำให้เรามีทั้งความดี มีเงินทอง มีความสุข เราไม่ตกอยู่ในทุกขเวทนา เรามีแต่สุขและมีความเมตตา ตั้งแต่ให้เพื่อแสวงบุญให้แก่ใจของเราเอง เราก็ได้โภคทรัพย์ทุกอย่างเพิ่มเติมมากขึ้น แล้วใจของเราที่ละเอียดจัดการระบบของจิตวิญญาณนั้นบังคับสมองในตัณหาของเรานั้นให้ลดน้อยลง แล้วจะพอกพูนเรื่องเมตตาธรรมให้มากขึ้น เมตตานั้นเมื่อจุนเจือ เจือจุนไปสู่ยังสัตว์โลก นั่นคือ สิ่งที่พอกพูน ทำให้เราคิดถึงจิตวิญญาณมากขึ้น เราจึงพอกพูนจิตเรานั้นก้าวกระโดดมากกว่าการไม่เข้าสู่จิตวิญญาณ "

" การไม่เข้าสู่จิตวิญญาณนั้น เรามีธุรกิจที่สำเร็จด้วยบุญเก่าของเรา แต่บุญใหม่นั้นเราไม่ได้สร้างเลย บุญเก่านั้นจึงทำให้ธุรกิจของเรานั้น ไปสู่ยังคะแนน ในกรณีที่ บุญเก่านั้นทำคะแนนของเรา 6 คะแนน เราไม่สามารถจะก้าวข้ามคะแนนที่ 7 ได้เลย ถ้าเราไม่แสวงบุญเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกคนนั้นจึงต้องแสวงบุญเพิ่ม เพื่อไปสู่เป้าหมายของการได้คะแนนที่ 7 เมื่อเราพอกพูนผลบุญมากขึ้น คะแนนนั้นพัฒนาไปสู่คะแนนที่ 7 เมื่อเราพอกพูนมากขึ้นในภพอย่างนี้ เราจึงมีคะแนน 9 เต็ม เมื่อเราพอกพูนมากขึ้น สูงสุดในการเรียนรู้ ทางจิตวิญญาณของเรา 9 ถึง 10 ปีของการเรียนรู้ที่แท้จริง เราบังคับทุกอย่างของสมองโง่ๆของเราได้ สมองที่เต็มไปด้วยตัณหาได้ โดยเรายืนหยัดจัดเตรียมงานบริหารจัดการ และจัดเตรียมของชีวิต จัดระเบียบของทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างที่ได้เห็นไปเมื่อวานนี้ จึงทำให้เรานั้นเป็นนักปกครองที่ดี เป็นนักการตลาดที่ดี เป็นนักการบริหารจัดการที่ดี บริหารจัดการทั้งครอบครัวและบริหารจัดการทั้ง ทั้งคนงานของเรา ผู้ร่วมงานของเรา บริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง ไปสู่ยังการจัดการที่เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา นั่นคือสูงสุดของเรา "

" สุดท้ายการฝึกของเรานั้น จึงนำไปสู่การให้ เป้าหมายของเราจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เราอาจจะโลภโมโทสัน เราอาจจะยังประโยชน์อยู่ เรายังอยากได้ อยากนู๊น อยากนี่ ในขณะที่เราได้คะแนนเพียง 7 คะแนน แต่เมื่อเราได้ 8 คะแนนแล้ว เราจึงรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อเราได้ 9 คะแนน เราจึงรู้สึกไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มานั้น ไม่เป็นประโยชน์อย่างใดแก่เราเลย ประโยชน์นั้น ควรไปมอบแก่มนุษย์ แก่สัตว์โลก แก่สรรพสิ่งทั้งหลาย แก่พระศาสนา แก่ประเทศชาติ มันจะถูกพัฒนาไป "

" ดังนั้นท่านจะเห็นว่า ผู้ที่สำเร็จทางธรรมมากๆนั้น ถ้าเขาไม่อยู่ในโลกียวิสัย มีความรุ่มรวย มีความร่ำรวย มั่งคั่ง เขาก็ยังมุ่งไปสู่แดนจิตวิญญาณอย่างเดียว นั่นคือการให้ ให้ธรรมะ เขาไม่สามารถให้เงินให้ทองได้ แต่เขาให้ธรรมะได้ ให้การอบรมสั่งสอน ให้ธรรมะนั้นเป็นบุญมหากุศลมากเป็นการชี้ทางสว่างในทิศทางเดียว ส่วนท่านรู้ไหม คนอยู่ในโลกียวิสัยนั้น ฝึกธรรมะให้ได้ 2 อย่างด้วยกัน (1) ให้ธรรมะ  (2) ให้เงินให้ทอง  เกื้อหนุนต่อสัตว์โลก สุดท้ายก็คือเกื้อหนุนต่อพระศาสนา ประเทศชาติ ก็เป็นบุญที่มากมายเพิ่มขึ้น "

" มีพวกปฏิบัติธรรมอยู่ 2 พวกด้วยกัน (๑) พวกหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มุ่งหวังอันโลกียวิสัย ไม่มุ่งทุกสิ่งทุกอย่าง ปรารถนาอย่างเดียวในการหลุดพ้นนั่นคือ สมณะ ชีพราหมณ์ นั่นคือการมุ่งไปสู่การหลุดพ้นอย่างเดียว นั่นคือการเลือกปฏิบัติธรรมมากขึ้น จึงนำธรรมะไปสอน จึงได้บุญ บุญนั้นก็พอกพูน (๒) อีกคนหนึ่งนั้น เป็นพวกที่อยู่ในโลกียวิสัย ปรารถนาทดสอบและทดลอง ผมนั้นเป็นคนที่อยู่ในจำนวนนั้น นั่นก็คือ เห็นว่าการอยู่ในโลกียวิสัยนั้น ปฏิบัติธรรมด้วยนั้น จึงเป็นประโยชน์มากกว่า เพราะผมนั้นมีความแข็งแรงทางจิตวิญญาณมากกว่า จึงไม่ไปอยู่ถ้ำ จึงไม่ไปอยู่ป่า ไม่อยู่โคนต้นไม้ เพื่อเอาตัวรอดนั่นเป็นอีกพวกหนึ่ง ดังนั้น พวกอย่างผมนั้นจึงมีมาก ในโลกมนุษย์นี้ มีคนอย่างผมมาก ท่านมองภายนอก ท่านไม่รู้หรอกว่า เป็นคนนั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ท่านไม่รู้หรอกว่า ไอ้สตีฟ จอบส์ มันปฏิบัติธรรม ท่านไม่รู้หรอกว่า บุญชัย เบญจรงคกุล เศรษฐีปฏิบัติธรรม ท่านไม่รู้หรอกว่า คุณชัย โสภณพานิช ปฏิบัติธรรม ท่านไม่รู้หรอกว่า เศรษฐีหลายคนที่ปฏิบัติธรรม แล้วนำเงินเหล่านั้น สุดท้ายจุนเจือไปสู่ยังประเทศชาติ มีมากมาย เอ่ยไม่หมด มากจริงๆ "

" ท่านรู้ไหมนั่นคือพวกหนึ่ง ที่เป็นพวกที่มุ่งปรารถนาที่ทดสอบสภาวะจิตทางวิญญาณของตนเอง นั่นคือการทำบุญ การนำธรรมะมารับใช้กับการดำรงชีวิตมาก ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นดีจริงเช่นไร ธรรมะของพระพุทธเจ้าดีจริงไหม นั่นก็คือนำธรรมะด้วยการเปรียบปานอย่างมีสตินั้น นำมาสู่กิจการ นำมารับใช้ต่อชีวิตของเราเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายทางโลกียวิสัย นั่นคือความสำเร็จทางโลก มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างนั้นก็คือประชาชนคืนสู่สัตว์โลก นั่นคือสิ่งที่หลายท่านมี และมากด้วยในประเทศนี้ และในโลกนี้ "

" ดังนั้น ในโลกนี้  เรามีคนปฏิบัติธรรมมากมาย ไม่ใช่ทางพุทธศาสนาอย่างเดียว ในพุทธศาสนานั้น มีผู้มุ่งไปสู่จิตวิญญาณทั้งหมด ในทุกศาสนา สอนในเรื่องจิตวิญญาณทั้งหมด แต่มีจำนวนน้อยคนของมนุษย์ในพวกนี้เข้าสู่โลกจิตวิญญาณได้ เพราะมนุษย์นั้นมัวเมาอยู่ในตัณหา มัวเมาอยู่ในความอยาก มัวเมาอยู่ในโลกียวิสัย ติดในสุขเวทนา จึงมุ่งไปสู่แห่งการเสาะแสวงหาเพื่อตัวเอง ตัวเองจึงใช้สมองสั่งการ จึงใช้สภาวะของสมองสั่งการ จึงไม่มีตัวเบรคที่เหมือนจิตวิญญาณ "

" ดังนั้น สิ่งนี้ ที่วันนี้ ผมได้มาบอกกล่าวให้ทุกๆท่านได้รับทราบว่า ถ้าท่านมีโอกาสท่านจงทำเถอะ มันเป็นประโยชน์แก่ชีวิตครอบครัวของท่าน เป็นความสุขที่แท้จริงของครอบครัวของท่าน เป็นความสุขที่แท้จริงของการดำรงชีวิตแห่งความสำเร็จที่มนุษย์นั้นปรารถนา นั่นก็คือความร่ำรวย ความมั่งคั่ง ความอยู่ดีกินดี นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา ท่านจงเชื่อผมเถอะ ให้ท่านหลับตา ผมขอให้ท่านนั่งหลับตา ท่านไม่ต้องคิดถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ ท่านไม่ต้องคิดถึงพระสงฆ์ก็ได้ ท่านไม่ต้องคิดถึงธรรมะก็ได้  ท่านไม่รู้จักสักอย่างก็ได้  แต่ขอให้ท่านมีเวลาให้แก่ตัวเอง วันละ 5 นาที ท่านนั่งอยู่คนเดียว ตรงไหนก็ได้ ท่านเลือกนั่งตรงไหนก็ได้  แต่ขอคนเดียว ไม่มีลูกเมียนั่งข้าง ท่านอย่าเอาลูกเมียมากวนใจ ท่านอย่าเอาลูกผัวมากวนใจ เพราะผัวตัวดีมันบีบหัวใจ ดังนั้นขอให้ท่านอย่าเอามันมา ท่านอยู่คนเดียว ท่านไม่ต้องนึกถึงใคร ไม่ต้องนึกถึงข้อธรรมะ ไม่ต้องนึกถึงศาสนา  ท่านไม่ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านไม่ต้องนึกถึงใครสักคน แม้กระทั่งเมียและลูกจ้าง ท่านนั่งหลับตานิ่งๆเฉยๆปล่อยให้จิตวอกแวกของมันไป และถ้าท่านเบื่อท่านก็ลุกไปทำมาหากิน ท่านลุกไปอาบน้ำอาบท่า ท่านอาจจะลุกไปทำอะไรของท่านก็เรื่องของท่าน  "

" แต่ว่า ขอวันหนึ่งท่านจงหลับตา แล้ววันหนึ่งท่านจะบอกผมว่า อาจารย์ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์เหลือเกิน ผมไม่ต้องวิงวอนอะไรกับใครเลย ความสำเร็จก็มาถึงอย่างแปลกใจและตกใจ   ท่านเชื่อผม ท่านหลับตาไป  แล้ววันหนึ่ง ท่านจะมาบอกผมว่า อาจารย์สิ่งที่อาจารย์พูดนั้นเป็นสิ่งที่ดี  โดยเฉพาะครอบครัวผมนั้นดี ทุกอย่างที่มันเป็นอุปสรรคนั้น  ปัญหาในชีวิตของผมนั้นหมดสิ้นลงเพราะฟังอาจารย์พูดให้หลับตา เดี๋ยวนี้ผมหลับตาได้ 4 ชั่วโมงแล้วอาจารย์  เมื่อลืมตาความสำเร็จทั้งหมดมันเกิดขึ้น  ท่านจงเชื่อผม  ถ้าท่านไม่เชื่อผม  ท่านก็อยู่ในโลกของท่านไป  ท่านทุกข์ทนไป  ท่านอยู่ในความพอเพียงแห่งความทุกข์ทนและความยากแค้น แร้นแค้นของท่านต่อไป  ถ้าท่านปรารถนาที่จะพัฒนาทางโลกีย์ของท่านให้สูงขึ้น  ท่านจงเชื่อผม  การหลับตาเป็นสิ่งที่ดี  ผมไม่อยากอธิบายให้ท่านฟังกำกวม  เพราะมันใช้เวลายาวมากในการที่จะอธิบายว่าการที่ท่านหลับตานั้น  ท่านเป็นประโยชน์  และการเป็นประโยชน์กี่ขั้นตอนของการหลับตาภาวนานั้น  ไม่บอกท่าน  ขอให้ท่านหลับตาอย่างเดียว  แล้วทุกอย่างจะเป็นอัตโนมัติ ไปสู่การค้นพบที่ผมรู้จัก แต่ท่านไม่รู้จัก และท่านจะรู้จัก ในโลกนี้ไม่มีให้ท่าน  ในโลกนี้ไม่มีให้ท่านได้สัมผัส มีอย่างเดียวในสิ่งที่ท่านหลับตา  "

" แล้ววันหนึ่งท่านก็จะรู้ว่า  ท่านไม่ใช่ท่าน  วันหนึ่งข้างหน้าอาจใช้เวลายาวนาน 10 ปี 20 ปี 30 ปี  แต่ทุกการพัฒนาของท่าน  ทำให้ชีวิตครอบครัวของท่านและการงานของท่าน  หน้าที่การงานทุกอย่างท่านสำเร็จลุล่วงอย่างคาดไม่ถึง  ท่านไม่ต้องภาวนาขอร้องอย่างพระพุทธเจ้า  ท่านไม่ต้องภาวนาขอร้องอย่างองค์เทพทั้งหลาย  ท่านไม่ต้องไปหาพระหาเจ้าให้เป่า  ท่านหลับตาก็พอ  แต่ถ้าท่านไม่หลับตา  ท่านไปให้เป่า  ท่านจงไปให้เป่า  ท่านเป่าไปเรื่อยๆ โดยการท่องเที่ยวไปทุกทิศทุกทาง ทั้งโลกเลย  ให้เป่าหัวท่าน  ให้เปียกหัวท่าน  ตบหัวมัน  ดังนั้นผมชอบตบหัวคน  มันยื่นหัวมาให้ตบ  ผมก็ตบส่งเดชมันไปอย่างนั้นเอง  ให้มันสมหวัง สมปรารถนาในสิ่งที่มันต้องการ  มันปรารถนาเช่นนั้น  มันปรารถนาพลังจากจิตวิญญาณของผม  มันถือว่าผมนั้นเป็นผู้มีบุญ  การตบหัวนั้น  จึงทำให้มันนั้น มีสมองที่ดี ปราดเปรื่อง ทำให้มันนั้น คิดการใดสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนา ทุกอย่างทุกประการ  ผมก็ให้พรมันเช่นนั้น  ให้พรมัน ถ้ามึงเชื่ออย่างนั้น  เดี๋ยวมึงมาให้กูตบหัวต่อไป จะให้กูตบหรือพระตบหัวแก่มึง ไปเรื่อยๆ ไม่มีปัญหา  แต่ถ้าท่านใด คิดว่าท่านเป็นผู้ตบหัวคนอื่น หรือผู้ที่จะตบหัวตบปากของมันเอง คือเป็นการล้างสมองโง่ๆงี่เง่าของท่านทิ้งไป คือท่านล้างด้วยตัวท่านเอง คือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณนั่นก็คือการหลับตาอย่างเดียว ที่ผมบอกให้ท่าน ท่านจงหลับตาเสียเถิด "



คำบรรยายธรรมะพิเศษ จาก อ.เฉลิมชัย ควรอ่านและเก็บไว้ให้ดี


คำบรรยายธรรมะพิเศษ จาก อ.เฉลิมชัย ควรอ่านและเก็บไว้ให้ดี

เกริ่นนำโดยทีมงาน teenee.com 
ขอบคุณที่มา :: กลุ่มรักศิลป์ร่วมสมัย เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ,พุทธศิลป์ร่วมสมัย๓แบบและพุทธศิลป์ที่ระลึก


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์