ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

บางครั้งเรื่องจริงก็เหลือเชื่อกว่านิยายเสียอีกนะนี่บ้านเรามีผีอาฆาต,


ความเชื่ออะไรน่ากลัว และที่เมืองนอกก็มีเหมือนกันนะ


แถมบางเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่ฮิตในอเมริกา

 

แต่แล้วจู่ๆ เรื่องนี้กับกลายเป็นเรื่องจริงซะนี่




The Clown Statue / The Clown Doll


ชาวอเมริกันบางคนกลัวตัวตลกครับ (จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัว



ตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ประหลาดทำร้ายคน



นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวมันอีก

โดยเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีใน



ห้องอยู่นั้น ก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง (บางที่ก็บอกพี่เลี้ยงเด็ก) พ่อแม่เด็กถามเด็ก



ว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก (ตุ๊กตา



ตัวตลก) ในห้องของผมทีครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ

เมื่อพ่อแม่ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อย



และเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้น นั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว



พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันที และผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวกเขา แต่พบ



ว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัด ไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน



หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของ



สตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen  King's It (1990)  หรือเรื่อง Killer Klowns



(1988), Clownhouse (1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น

และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น? ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา



(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า คนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัว



เป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง (และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่



ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี (John Wayne Gacy 1942



~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้



รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า “ฆาตกรตัวตลก” เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆ



ในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด






The Living Severed Head

ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจาก



บ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!


และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา



 

พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม

เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยติน หรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่า

 



เป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละที



จะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต  หนึ่ง



ในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์ (Charlotte



Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต (Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน



หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยาน



โดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูดคำว่า “ไม่ได้”



(couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลาย



 

คนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่

ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่ง

 



ต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์



(Beaurieux) ผู้ซึ่งทำการทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ (Languille) หลังจากเขาถูก



แท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน (แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบ



มนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมา



เมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกอีกครั้ง



 

และจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที

แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุก

 



 

จากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว  

แม้สมัยนี้กิโยตินจะถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุ

 



เกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก



คนหนึ่งศีรษะถูกตัดออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า


"หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่



แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและ



จ้องฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”







Mummy Funhouse

ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

ในระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่อง


เล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านผีสิงนั้นทั้งสองได้เห็นมัมมี่



สยองตัวหนึ่ง มันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังหรือกระดูกมนุษย์ มันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้



อัด ระหว่างที่ทั้งสองสำรวจนั้นเองก็พบว่ามันคือของจริง!!

มันเป็นจริงซะงั้น!! คงจะเคยได้ยินมาบ้าง ที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และ



เรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด (เรื่อง



The Six Million Dollar Man) ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง (Amusement Park in Long Beach)



ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั้ง



ลูกมือกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดร่วง



ลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อน มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอมหากแต่มันเป็น



ของจริง!!

มัมมี่ตัวนั้นถูกส่งไปยังห้องชันสูตรของนครลอส แองเจลีส โดยมีนายแพทย์โธมัส โนกูชิ พนักงาน



ชันสูตรทำการเอาขี้ผึ้งซึ่งหุ้มไว้หลายชั้นออกก่อน จึงได้พบว่าข้างในนั้นเป็นร่างเหี่ยวๆ ของชายคนหนึ่ง



อายุอานาม 30 ปีเศษ ซึ่งเสียชีวิตมานานแล้วจากบาดแผลรอยกระสุนถูกยิง

จากการสอบถามพบว่ามัมมี่ตัวนี้คือ เอลเมอร์ แม๊กเคอร์ดี้ (Elmer McCurdy) อดีตวายร้ายชื่อกระฉ่อน



แห่งโอ๊คคลาโฮม่า ที่เที่ยวออกอาละวาดปล้นรถไฟ และธนาคารอยู่แถบโอ๊คลาโฮม่าสมัยที่ยังเป็นบ้าน



ป่าเมืองเถื่อน ก่อนที่จะจบชีวิตลงด้วยการถูกยิงตายในการดวลปืนหมู่เมื่อเดือนตุลาคม 1911

ทำไมศพวายร้ายเร่ร่อนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา ถึงต้องมีการดองเก็บไว้ไม่ให้เน่า ใครเป็นคนทำ



และเพื่ออะไร คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากสันนิษฐานว่าสัปเหร่อคงมองเห็นช่องทางทำเงินให้กับเขา



จึงเก็บมาดองแล้วตั้งไว้มุมห้องเก็บศพ ใครที่อยากเห็นวายร้ายตัวจริงๆ ก็ต้องจ่ายเงิน 1 นิคเกิ้ล หรือ 5



เซนต์ให้กับคนจัดงานคาร์นิวัลเร่ ซึ่งเขาขายต่อให้สวนสนุกอีกทอดหนึ่ง

การสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริงหรือนิยายก็ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ มัมมี่ตัวนั้นถูกยกให้พิพิธภัณฑ์



โอ๊คลาโฮม่าเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1977 และเขาก็ไม่มีโอกาสโชว์ตัวอีกเลย เมื่อเขากลับบ้านเกิดที่



โอ๊คลาโฮม่าแล้วถูกฝังลงในสุสานบู๊ตฮิลล์ในที่สุด







The Body in the Bed


ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

มีชายหญิงคู่หนึ่งไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขา ทั้งคู่เช่าโรงแรม และเมื่อทั้งคู่



เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้น แต่



สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้อง



โรงแรมเต็มเพราะมีการประชุมครั้งใหญ่ไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นได้ เขาเลยเสนอชดเชยอาหาร



กลางวันโรงแรมฟรี และส่งแม่บ้านเพื่อมาทำความสะอาดห้องและพยายามกำจัดกลิ่น

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันทั้งคู่กลับมาที่ห้องนอนของตน พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม



เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้ง และขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่



ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกับการพนัน เลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้ชัดการเลยส่ง



แม่บ้านมาอีกครั้งคราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยน



ผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็



พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทนและโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด

และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงเขากลับว่าข้างในนั้นมีศพผู้หญิงยัดอยู่!!

มันเป็นจริงซะงั้น!! เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วย คงเคยได้ยินเรื่องผี



ช่องแอร์ใช่มั๊ย นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้าง



แต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ

และตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนาม



ที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่า



ที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา  ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล



(Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาว



เยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้นและบ่นว่าห้องมีกลิ่นหื่น จนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง



และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว  

ที่แคสซัสซิตี้ 14 กรกฎาคม 2003 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกให้ไปสอบสวน กรณีมีการพบศพชายนิรนาม



ถูกฆ่าและยัดใต้ที่นอนในโรงแรมท้องถิ่น ซึ่งศพนั้นถูกยัดไว้ทั้งอาทิตย์แต่ไม่มีใครสังเกต จนกระทั้งแขก



ที่เข้ามาพักในห้องทันไม่ไหวต่อกลิ่นจนกระทั้งเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดก็พบเรื่องน่ากลัว

วันที่ 15 มีนาคม 2010 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมนฟิสได้รับแจ้งว่ามีการพบศพที่ห้อง 222 ที่โรงแรม



Budget lnn เป็นร่างกายของหญิงคนหนึ่งชื่อโซนี่ (Sony Millbrook) ที่พบภายในเตียงสปริง โดย



ฆาตกรได้ฆ่าเธอและยัดใส่เตียงสปริงเพื่ออำพรางคดี จากการสอบสวนพบว่าศพดังกล่าวอยู่ในห้อง



มานานโดยมีห้องเช่าที่มีศพในเตียงนั้นถึง 5 รายและทำความสะอาดหลายครั้ง โดยไม่เอะใจเลยว่า



ในเตียงสปริงมีศพอยู่

หรือจะเอาประเทศไทย ก็มีข่าวทำนองนี้มากมาย (ลองพิมพ์คำว่า ยัดศพใต้เตียง ที่กูเกิ้ลละกัน)




 

The Curiously Realistic Decoration


ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

ในวันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุก



สนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้



ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคนฆ่าตัวตายของจริง!!

มันกลายเป็นจริงซะงั้น! วันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายใน



สวนสาธารณะในฟลอริดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมง



โดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายราย



จนกระทั้งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า

ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ Mostafa



Mahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย



เพื่อนบ้านบอกว่าที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นและปล่อยศพทิ้งไว้ เพราะนึกว่าเป็นของตกแต่งวันฮาโลวีน



จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขาตายมานานสามวันโดยลูกกระสุนที่ยิงที่ตา


 

The Toxic Woman


ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดอาการป่วย เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และเมื่อนางพยาบาลใช้สายยางเพื่อนำมา



ต่อกับถุงเลือดสำรอง กลับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษแสนน่ากลัว ทำให้นางพยาบาลและคนอื่นๆ ที่สัมผัส



หรือดมเลือดของเธอเข้าเกิดอาการผิดปกติและตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา....................

มันกลายเป็นจริงซะงั้น! เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ



(Gloria  Ramirez) อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมือง



แคลิฟอร์เนียทางใต้ของริเวอร์ไซด์ ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ อาการตื่น



หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้นแต่ก็พูด



ตะกุกตะกัก โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ

คณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดยาให้กับเธอ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์



ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่าง



นั้นเอง บางคนได้กลิ่นของผลไม้ออกจากปากของเธอ

แพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาลทำการแนบกระบอกฉีดยา เลือดของเธอมีสี



แปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยา



มันไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้าของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น อาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคน



ก็ล้มชัก จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉิน



ภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับ



เพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด

ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ เป็น



หลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบาง



รายทนทุกข์ทรมาน และตายในสองสัปดาห์ให้หลัง ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาที



หลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ (แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถ



ระเหยเป็นไอได้ ใครสูดดม สามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ

ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบว่าหญิงคนนั้น และคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ มีสิ่งหนึ่ง



ที่น่าสนใจคือ ในบรรดาพนักงานที่ล้มป่วย เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และจากผลการตรวจเลือดผู้ป่วย



ทั้งหมดก็พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆเลย จึงสรุปปรากฏการณ์ที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ว่าเป็นอุปทานหมู่



ทำให้เรื่องราวของเธอยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้




The Headless Lover

ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

หญิงท้องคนหนึ่ง บอกสามีของเธอว่า ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายอีกคน ด้วยเหตุผล



ทั้งหมด สามีเลยตัดสินใจตัดหัวชู้รักแล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าหลายแบบ



แต่หลักๆแล้วมันก็แนวนี้แหละ

มันกลายเป็นจริงซะงั้น! จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt  Stephen  Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane



Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมันนี ในปี 1993 เขากำลังยินข่าวดีเมื่อภรรยาเขาตั้งท้อง



แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมันแล้ว (ตรูเป็นหมันแล้วมันท้องได้ไงฟ่ะะ)



ไดแอนจำต้องยอมรับว่าเธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์

โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก

ธันวาคมตอนเย็น ไดแอนที่ตั้งครรภ์แก่ อยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เธอโทรศัพท์ถึงชู้รักของเธอเกรกอรี่



และแล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาดไป ไดแอนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้น แต่เธอไม่ต้องคิดนานหรอก



เพราะอีกชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้ว



ใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า

"ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ”



สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขาแล้ว


 


Something Off About That Picture

 


ตำนาน... “เรื่องเล่าลึกลับ” ขนหัวลุก... สุดท้ายกลายเป็นจริง.!!

มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมาที่ร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตา



ภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆไป เขาถาม



หญิงชราว่านี่ใครกัน

“โอ!!” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว



แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย??”

มันเป็นจริงซะงั้น! Post-mortem photography หมายถึงภาพที่ระลึกหลังความตาย เป็นงานศิลปะ



มากกว่าธรรมดา เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัวและถ่ายรูปให้



เสมือนพวกเขามีชีวิต (ทำท่าเหมือนหลับนอนลึก) ก่อนนำไปฝัง การถ่ายภาพนี้นิยมในหมู่ชนชั้นกลาง



สมัยวิคตอเรียน ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาว หรือทารกซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้ว



เด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บางครั้งการจัดท่ากับของเล่น



โปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่ามากกว่าปรกติในเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำบนเฟรมการออกแบบพิเศษ นอกจากนี้



ก็ยังมีลูกค้าที่เป็นหบาทหลวงที่ตายแล้ว ก็ถูกนำมาตกแต่งเต็มยศและนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขา



เสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาด



ก็นำมาต่อใหม่และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น



เครดิตเด็กดี


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์