สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

"ซีอุย" มีชื่อจริงว่า งงหลีอุย แซ่อึ้ง แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็น ซีอุย เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2470 ที่เมืองซัวเถา โดยเป็นลูกคนที่ 3 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 12 คน ของนายฮุนฮ้อ กับ นางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง ในครอบครัวยากจนที่ทำการเกษตร เมื่อยังเป็นเด็กและเป็นวัยรุ่น ซีอุยมีส่วนสูง 150 เซนติเมตรเท่านั้น จึงมักถูกรังแกอยู่เสมอ จนกระทั่งมีนักบวชรูปหนึ่งได้แนะนำเขาว่า ถ้าอยากจะมีร่างกายแข็งแรงต้องกินเนื้อหรืออวัยวะมนุษย์ คำสอนนี้ได้ฝังอยู่ในใจซีอุยมาเสมอ

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2488 ซีอุยอายุครบ 18 ปีเต็ม ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ซีอุยประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ 8 ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นทำสงครามกันอยู่ ซีอุยถูกส่งไปรบในสมรภูมิพม่าแนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บแดนของจีน เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มที่ซีอุยต้องเผชิญกับความลำบากและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอด อาหารก็ขาดแคลน ขณะที่เพื่อนทหารก็ทยอยตายไปเรื่อย ๆ จากการสู้รบ ซีอุยจึงได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรกจากที่นี่ เมื่อสงครามสงบ ซีอุยถูกปลดจากการเป็นทหาร ด้วยความแร้งแค้น ซีอุยถูกเพื่อน ๆ ชักชวนให้เข้ามาหางานทำในเมืองไทย โดยหลบหนีเข้าเมืองมาด้วยการเป็นกรรมกรรับจ้างในเรือขนส่งสินค้าชื่อ "โคคิด" เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ด้วยการหลบซ่อนมาเป็นเวลา 3 สัปดาห์เต็ม โดยขึ้นฝั่งที่ท่าเรือคลองเตย และหลบซ่อนตัวในโรงแรมห้องแถวเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาได้เดินทางไปยังอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปหาญาติ ที่นั่น ซีอุยทำงานด้วยการรับจ้างทำสวนผักและรับจ้างทั่วไปเป็นเวลานานถึง 8 ปีเต็ม ก่อนที่ซีอุยจะก่ออาชญากรรม โดยที่ซีอุยมีนิสัยชอบเกาหัวและหาวอยู่เสมอ ๆ มีบุคลิกชอบเก็บตัว

"ซีอุยได้จับเด็กมาผ่าเอาตับมากินโดยเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ" โดยได้ฆ่าเด็ก 3 รายแรก ที่ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่จะหลบหนีไปโดยรถไฟและก่อเหตุอีกที่งานฉลองตรุษจีนที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เมื่อปี พ.ศ. 2500 สุดท้ายถูกจับได้หลังจากคดีฆาตกรรมในจังหวัดระยอง เมื่อปี พ.ศ. 2501 ซึ่งมีเพียงเหยื่อรายแรกและเป็นรายเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบในขณะนั้น (พ.ศ. 2497) สุดท้ายเขาถูกจับขังคุกและประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เพราะในระหว่างดำเนินคดี 9 วัน ซีอุยยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือ 7 คดี และจิตแพทย์ลงความเห็นว่า ซีอุยไม่ได้เป็นบ้า ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2502

ภายหลังมีการสืบค้นคดีโดยรายการโทรทัศน์ บางอ้อ ทางช่อง 9 รวมทั้งรายการ ย้อนรอย ทางไอทีวี มีหลักฐานพยานและรูปคดีที่บ่งชี้ว่า ซีอุย ไม่ได้ฆ่าเด็กทุกคน มีเพียงเด็กคนสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นหลักฐานมัดตัว ขณะตำรวจได้เข้าจับกุมหลังจากซีอุยลงมือฆ่า และอวัยวะในร่างกายของเหยื่อทุกรายก็ไม่ได้สูญหาย จึงเป็นที่สงสัยว่าเหตุใด ซีอุย จึงรับสารภาพว่าเป็นผู้ฆ่าเหยื่อทุกราย และนำอวัยวะมากิน ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นของรูปคดีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดในปัจจุบัน บ้างก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของไทยได้ให้สัญญากับซีอุยว่าให้ซีอุยรับสารภาพ แล้วจะจัดการให้ได้กลับเมืองจีน ด้วยความที่ไม่จัดเจนในภาษาทำให้ซีอุยรับสารภาพ และถูกประหารชีวิตในที่สุด ชาวบ้านร่วมสมัยที่ยังอาศัยในพื้นที่บางคนที่ยังมีชีวิตอยู่เชื่อว่าซีอุยไม่ได้เป็นฆาตกรตัวจริง

ปัจจุบัน ศพของซีอุยเก็บไว้ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "พิพิธภัณฑ์ซีอุย"

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%A2


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

นวลฉวี เพชรรุ่ง เกิดวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในครอบครัวที่มีฐานะมั่งคงพอสมควร เพราะมีที่นาให้คนอื่นเช่าแม้จะมีลูก 10 คน แต่ลูกๆ ทุกคนได้รับการศึกษาขั้นดี มีการงานนับหน้าถือตา นวลฉวีแม้เป็นผู้หญิงรูปร่างบาง ตัวเล็ก หน้าตาพอใช้ได้ แต่เธอก็มีเสน่ห์ ร่าเริง มีชีวิตชีวา และหัวดี เจนสามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนพยาบาลที่ศิริราชพยาบาล และจบการศึกษาในปี พ.ศ.2497 จากนั้นก็ออกไปทำงานที่โรงพยาบาลภูมิพลประมาณปีเศษก็ออกเพราะมีเรื่องกับคนในโรงพยาบาล จึงย้ายมาเป็นนางพยาบาลที่เมืองบ้านหมี่ประมาณ 1 ปี จากนั้นก็ทำงานในสถานพยาบาลยาสูบปี พ.ศ.2501 โดยพักอยู่ในโรงพยาบาล

ช่วงต้นปี พ.ศ. 2501 นวลฉวีได้เดินทางเที่ยวทางเหนือกับเพื่อนชื่อโมทนี และพบรักกับหมอคนนี้ชื่อ หมออธิป สุญาณเศรษฐกร

หมออธิป สุญาณเศรษฐกร เกิดและโตในกรุงเทพฯ เป็นบุตรคนสุดท้องในลูก 5 คน ในครอบครัว พ่อแม่เป็นข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ อดีตเคยเป็นคนในจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นหมอที่รูปหล่อ และเฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง

11 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับนวลฉวี จากนั้นไม่นาน วันที่ 17 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับ ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อน
แม้ว่านวลฉวีจะจดทะเบียนสมรส แต่เธอยังไม่ได้แต่งงานกับหมออธิปสักที และหมออธิปก็มีหญิงสาวมาพัวพันเรื่อยๆ ทำให้นวลฉวีเกิดความหึงหวงเป็นอย่างมาก นวลฉวีเริ่มระแคงระคายความรักของหมออธิป ด้วยความหึงหวง เธอถึงกลับใช้วิธีต่างๆ เพื่อจับหมออธิปให้อยู่หมัด ไม่ว่านั่งเฝ้าหมอในที่ทำงาน ตามทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว แทนที่หมออธิปจะรักกับเพิ่มความรำคาญแก่หมออธิปมากขึ้น

5 มิถุนายน 2502 นวลฉวีพบหมออธิปอยู่กับผู้หญิงในโรงพยาบาลรถไฟ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น

13 กรกฎาคม 2502 นวลฉวี แจ้งความตำรวจว่าถูกหมออธิป ทำร้ายร่างกายตน

เช้าวันที่ 12 กันยายน 2502 เวลา 8.45 น. นาย จำลอง จิรัตฐิตกุล ช่างกลปากเกร็ดนั่งเรือแท็กซี่จากบ้านที่คล้องอ้อมไปทำงาน ระหว่างที่นั่งเรือแท็กซี่นั้นเขาได้พบกับ ศพ ต่อมาทราบว่า เป็น ศพของนวลฉวี ผลจากการชันสูตร สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงจนเลือดตกในมากและสิ้นใจก่อนถูกโยนลงน้ำ บาดแผลที่ถูกแทงมีทั้งหมดสีข้างข้างขวาและที่หลังด้านซ้ายรวม 3 แผล แต่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของศพไม่พบรอยฉีดขาด

14 กันยายน 2502 ตำรวจเชิญตัวหมออธิปไปสอบสวน และพบรอยข่วนที่ข้อมือหมอ ตำรวจไม่รอช้าถ่ายบาดแผนนี้เก็บเป็นหลักฐานพร้อมกับแจ้งข้อหา "หมอฆ่าเมีย" ทันที จอมพลสฤษดิ์อยากพบหมอครับ มีอะไรก็รับๆ เสียนะครับ ถ้าไม่รับหมอโดนยิงเป้าแน่ ฮะๆ คิดดูให้ดีนะครับหมอ หมออธิปไม่รับกับจอมพลสฤษดิ์ว่า ตนเองเป็นคนวางแผนฆ่านวลฉวี โดยจ้างวานให้คนอื่นจัดการฆ่าแล้วเอาศพไปถ่วงน้ำ

ต่อมา ตำรวจตามจับคนรับจ้างฆ่า และเค้นหนักจนในที่สุดก็สารภาพสิ้น หมออธิปสิ้นอิสระภาพ

วันที่ 10 กันยายน 2502 เวลา 18.00 น. เศษ (ดูดาวจร) หมออธิปนำนวลฉวีมาทางหน้าบ้านของนายชูยศ แล้วพาเข้าห้องครัว ปิดประตูลงกลอน หมออธิปรอจังหวะที่นวลฉวีเผลอโป๊ะยาสลบจนเธอนอนหลับ และให้ทีมงานลงมือฆ่า จากนั้นขนศพไปทิ้งจากสะพานนนทบุรีสู่แม่น้ำเจ้าพระยา

ผู้พิพากษาทั้งสี่ประกอบด้วย นาย เฉลิม กรพุกกะณะ นาย พินิจ เพชรชาติ นาย สว่าง เวทย์ และนาย วุฒิกรรม วงษ์ศิริ ออกมานั่งบัลลังก์ตัดสินคดีประวัติศาสตร์อาชญากรรมท่ามกลางประชาชนนับหมื่นที่แห่มาฟังคำพิพากษาอย่างมืดฟ้ามัวดิน จนถึงขนาดต่อลำโพงโดยรอบสนามหญ้าบริเวณศาลทหารอาญา เก้าอี้หลายตัวในศาลหักเพราะทานแรงคลื่นมนุษย์ไม่ไหว

นายอธิปจำเลยที่ 1 มีความผิดตามที่กล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 อนุมาตรา 4) 83 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานก่อให้คนอื่นกระทำความผิดให้ต้องโทษประหารชีวิตนายอธิปจำเลยที่ 1 จำเลยที่รับจ้างโดยใช้มีดปลายแหลมฆ่านวลฉวี ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่กระนั้น ภายหลังต่อมา หมออธิปได้รับอนิสงค์ได้รับการอภัยโทษ ประกอบกับพ่อแม่ซึ่งมีฐานะร่ำรวยมากวิ่งเต้นทำให้หมออธิปถูกจำคุกเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น

หลังหมออธิปพ้นโทษ ชีวิตที่เหลือก็เข้าๆ ออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เพราะโรคติดตัวตอนอยู่ในคุก และจนถึงวาระสุดท้าย....หมออธิปนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ท่ามกลางญาติสนิท หมออธิปเอยปากก่อนตายเรื่องนวลฉวี

" นวลฉวี พี่ขอโทษ พี่เป็นคนฆ่าเธอเองแหละ " พูดจบหมออธิปก็สิ้นลมตายคาเตียง

ที่มา : http://www.chatacheevit.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539369384


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

วันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2502 เวลา 8:00 น. มีผู้พบศพหญิงสาวนิรนามลอยน้ำทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตจังหวัดนนทบุรี สภาพศพขึ้นอืด มือพาดอก สวมเสื้อสีฟ้าอ่อนแขนกุด และสวมกระโปรงสีดำ พบหลักฐานเป็นนาฬิกาเรือนทองยี่ห้อโอเมก้าและแหวนลงยาสลักสกุลรามเดชะ การชันสูตรพลิกศพพบว่าผู้ตายถูกแทงที่ชายโครงซ้าย 1 แผล ชายโครงขวา 2 แผล โลหิตตกใน คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 24 ชั่วโมง ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าหญิงสาวผู้ตายคือนางนวลฉวี สุญาณเศรษฐกร พยาบาลสาวสถานพยาบาลโรงงานยาสูบ และเป็นภรรยาของนายแพทย์อธิป สุญาณเศรษฐกร แพทย์โรงพยาบาลรถไฟ

โดยนางนวลฉวีได้หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน จากการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่พบพิรุธบางอย่างในคำให้การของนาบแพทย์อธิป สามีของนวลฉวี นอกจากนั้นยังตรวจพบบาดแผลเป็นรอยข่วนหลายแห่งบนร่างกายของนายแพทย์อธิป ซึ่งให้การอ้างว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากการทำคลอดคนไข้ จากรอยบาดแผลที่เป็นพิรุธและพฤติกรรมที่น่าสงสัย ทำให้นายแพทย์อธิปตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมนวลฉวี ภรรยาของตนเอง

ลำดับเหตุการณ์ที่นำมาสู่คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ จุดเริ่มต้นมาจากในช่วงปี 2501 นายแพทย์อธิปได้พบรักกับนวลฉวีที่จังหวัดลำปาง จนกระทั่งตัดสินใจจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2502 แต่หลังจากนั้นเพียง 6 วัน นายแพทย์อธิปได้จดทะเบียนสมรสซ้อนกับนางสาวสมบูรณ์ สืบสมานอีกคน ปมปัญหาจึงเริ่มก่อตัวขึ้น 13 กรกฏาคม 2502 นวลฉวีได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ให้ดำเนินคดีกับหมออธิปในข้อหาทำร้ายร่างกาย โดยขณะเข้าแจ้งความนวลฉวีมีบาดแผลที่ตาซ้ายและจมูกมีรอยช้ำบวม จนกระทั่งช่วงเย็นของวันที่ 10 กันยายน มีพยานพบเห็นนายแพทย์อธิป ขับรถพานวลฉวีเดินทางออกไปจากโรงพยาบาลยาสูบ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นนวลฉวีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่เธอจะถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม

12 ธันวาคม 2503 ศาลอาญามีคำพิพากษาความผิดของนายแพทย์อธิป ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานก่อให้ผู้อื่นร่วมกระทำความผิด ให้ระวางโทษประหารชีวิต ในขณะเดียวกันศาลก็มีคำพิพาษาให้จำคุกตลอดชีวิตนายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ ฐานร่วมกระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แต่ภายหลังนายมงคลที่ถูกระบุว่าเป็นมือมีดสังหารนางนวลฉวีได้รับพระราชทานอภัยโทษ หลังจากถูกกักขังในเรือนจำเป็นเวลา 8 ปี ในขณะที่นายแพทย์อธิปก็ได้พระราชทานอภัยโทษ หลังจากถูกจำคุกเป็นเวลา 12 ปี

พบศพศยามล

33 ปี ผ่านไป ไม่มีใครคาดคิดว่าคดีพิศวาสฆาตกรรมได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง 29 กันยายน 2536 พบรถเก๋งนิสสันสีขาว หมายเลขทะเบียน ก-2344 ประจวบคีรีขันธ์ จอดอยู่ข้างถนนในเขตอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ภายในมีเสียงร้องเด็กดังออกมา เมื่อเดินไปที่รถ พบผู้เสียชีวิตเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง บนตัวของเธอมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกอดศพร้องไห้อย่างน่าเวทนา


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

การสืบสวนทราบว่าผู้ตายคือนางศยามล ลาภก่อเกียรติ เจ้าของร้านเสื้อบารมีในศูนย์การค้าหัวหินคอมเพล็กซ์ โดยนางศยามลได้หายตัวไปตั้งแต่คืนก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ตั้งประเด็นฆาตกรรมไปที่อดีตสามี นายแพทย์บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ มีความขัดแย้งกันรุนแรงในประเด็นเรื่องชู้สาว

แม้ว่าฆาตกรจะพยายามอำพรางให้เป็นคดีฆ่าข่มขืนและชิงทรัพย์ ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่านายบรรจบ นิลห้อยคือผู้ประสานงานในการว่าจ้างกลุ่มฆาตกรในการสังหารนางศยามล การสอบปากคำนายบรรจบนำมาสู่การจับกุมนายแพทย์บัณฑิต ในข้อหาจ้างวานสังหาร และสามารถจับกลุ่มผู้ร่วมลงมือฆ่าศยามลสามคน

22 ธันวาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดสินให้ประหารชีวิตนายแพทย์บัณฑิต 2 ตุลาคม 2538 ศาลอุทธรณ์ยืนยันคำพิพากษาตัดสินของศาลชั้นต้น และ 23 กันยายน 2539 ศาลฎีกายืนยันคำพิพากษาตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิตนายแพทย์บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์


ที่มา : http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_24.html


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

การขโมยเครื่องเพชร

คดีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากการที่นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งได้เดินทางไปทำงานยังซาอุดิอาระเบีย และถูกทาบทามให้เข้าไปทำงานในพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกรได้ขโมยเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal Bin Fahd Bin Abdul Aziz) แห่งราชวงศ์ไฟซาลของซาอุดิอาระเบียมาได้ถึง 2 ครั้ง โดยที่ด่านศุลกากรของทั้งสองประเทศไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยเครื่องเพชรดังกล่าวถูกนำมายังจังหวัดลำปาง[1] หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย จึงประสานมายังรัฐบาลไทย ขอให้ติดตามเครื่องเพชรประจำราชวงศ์ส่งคืน

การสืบสวน

เครื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกหยิบยกขึ้นมาจากสื่อประเทศไทยฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่มมีเรื่องนายเกรียงไกรใหม่ๆ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร.เจ้าของคดี ทราบเรื่องนี้ดีเพราะเป็นถามสื่อมวลชนเอง ว่า ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อนเลย จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่งสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปคล้ายอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงาน หนึ่ง แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซอล

เรื่องนี้ได้มีการพิสูจน์กันสองทางคือ ประการแรกตำรวจได้ส่งภาพถ่ายดังกล่าวไปให้สถาบันอัญมณีในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตรวจพิสูจน์ ได้ข้อยุติว่า วัตถุที่ว่าเป็นอัญมณีสีน้ำเงินแล้วอนุมานว่าเป็นนเพชรบลูไดมอนด์ ไม่ใช่เพชรหรืออัญมณีแต่อย่างใด แต่เป็นวัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง ผลพิสูจน์นี้อยู่ ในสำนวนการสอบสวนของตำรวจ เพราะมีหนังสือตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ ประการที่สอง บุตรชายของสุภาพสตรีท่านนั้นได้นำสร้อยและจี้ที่ปรากฏในภาพถ่ายมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับผลตรวจพิสูจน์ของสถาบันในลอนดอน

ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้อีกประการหนึ่งก็คือ ผลการสอบสวนนายเกรียงไกรพบว่า นายเกรียงไกรได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็น ทั้งไม่รู้ด้วยว่าแบ่งเครื่องเพชรชนิดและประเภทใดให้เพื่อนไปบ้าง นอกจากนั้น เจ้าตัวมีความรู้เรื่องอัญมณีน้อยมาก เมื่อนำเครื่องเพชรทั้งหมดกลับมาที่บ้านใน จ.ลำปาง ก็ได้ทำการแยกชิ้นส่วนเอาเพชรกับทองแยกออกจากกัน เพราะรู้จักแต่ทองว่ามีค่า โดยนำทองไปขายที่ร้านทองใน จ.แพร่ และ จ.ลำปาง ผลการสอบเจ้าของร้านทองก็ไม่ปรากฏว่าพบเห็นหรือรู้เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ส่วนเพชรนายเกรียงไกรก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเพชรมีความแข็งมากจึงลองทุบบางส่วนดู เม็ดไหนแตกก็ทิ้งไป เม็ดไหนไม่บุบสลายก็แยกไว้ แต่ไม่ได้ทุบไปเสียทั้งหมด จากนั้นได้นำเพชร พลอย อัญมณีอื่นๆที่แยกออกจากทองแล้วไปฝังดินไว้บางส่วน บางส่วนทยอยขายให้แก่นายสันติ ศรีธนขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ซึ่งบางส่วนถูกนำไปขายต่ออีกทอดโดยมี พล.ต.อ.คนหนึ่งซึ่งเป็น อดีต รอง ผบ.ตร.และชอบค้าของเก่าและของมีค่าร่วมมือกับนายสันติขายเพชรซาอุด้วย แต่หลักฐานสาวไปไม่ถึงจึงลอยนวลอยู่จนทุกวันนี้

การให้การของนายเกรียงไกรกรณีเพชรบลูไดมอนด์มีลักษณะไม่ชัดเจน เหมือนว่าขโมยมาแล้วขายให้นายสันติ แต่นายเกรียงไกรก็ไม่เคยยืนยันอย่างหนักแน่นกับพนักงานสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากไม่มีความมั่นใจ เพราะนำเครื่องเพชรออกมาเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้ครบถ้วน

พนักงานสอบสวนและราชสำนักซาอุดิอาระเบียประมาณการณ์ว่า เพชรซาอุถูกขายไปประมาณ 20% ทั้งนายสันติ และภริยา ต่างยืนยันว่า ไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ ความตายของนางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนขันฑ์ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่า ผู้รับซื้อเพชรซึ่งมีอยู่รายเดียวจากนายเกรียงไกร ต่างไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ มิฉะนั้นคงรับสารภาพและคืนให้ไปแล้วเมื่อเห็นความตายและความเดือดร้อนของตนเอง ครอบครัว และบุตรอยู่ตรงหน้า

ผลสรุปของการสอบสวนคดีเพชรซาอุ มีข้อยุติว่า ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์อยู่ในเครื่องเพชรที่นายเกรียงไกรขโมยมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพชรบลูไดมอนด์ไม่เคยมีอยู่ในประเทศไทย การกล่าวหากล่าวอ้างว่าบุคคลนั้นบุคคลนี้ครอบครองเพชรบลูไดมอนด์ไว้ จึงไม่เป็นความจริง

ประการที่สองเจ้าชายหรือเจ้าหญิงของซาอุดิอาระเบียไม่รู้ว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีชนิดหรือประเภทใดอย่างครบถ้วนเพราะเครื่องเพชรมีเป็นจำนวนมากที่อยู่ในครอบครองและที่ถูกขโมยมา ทั้งยอมรับว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีทั้งของจริงและของปลอมที่ซื้อจากห้าง May Flower ซึ่งทำอัญมณีประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งไม่ทราบว่าเครื่องเพชรอันใดเทียมหรือจริง ข้อตำหนิเรื่องส่งคืนเครื่องเพชรปลอมและไม่ครบถ้วนจึงสามารถทำความเข้าใจที่ชัดเจนได้ในเวลาต่อมา

การจับกุมผู้ต้องหา

อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย หลังจากนั้นเมื่อนายเกรียงไกร ถูกชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ชลอ จับกุมและนำตัวมาสอบสวนจนยอมรับสารภาพ และให้การถึงบุคคลที่รับซื้อเครื่องเพชรไป เนื่องจากเกรงว่าจะถูกจับส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ซึ่งมีโทษเพียงสถานเดียว คือ "แขวนคอ" ทำให้ศาลพิพากษาตัดสินจำคุกนายเกรียงไกร เตชะโม่งในข้อหาลักทรัพย์ 7 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษเหลือ 3 ปี 6 เดือน

ในช่วงเวลานี้ยังมีนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบียคนหนึ่งซึ่งมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ได้เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อสืบสวนหาเครื่องเพชรดังกล่าว แต่บุคคลนั้นถูกลักพาตัวและถูกฆ่า อีกสามเดือนต่อมา เจ้าหน้าที่สามคนจากสถานทูตซาอุดิอาระเบียถูกยิงเสียชีวิต และมือสังหารก็ยังคงลอยนวลมาจนถึงปัจจุบัน

การจับกุมนายเกรียงไกร ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดิอาระเบีย เริ่มดีขึ้น โดย พล.ต.ท.ชลอ ได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ และถูกยกให้เป็น "ชี้ค" อีกด้วย

หลังจากนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เดินทางไปเยือนซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการ แต่กลับถูกทางการซาอุดิอาระเบีย ตอบกลับว่า "คุณเอาเพชรปลอมมาคืน แถมชุดที่เหลือยังหายไปอีกมาก แบบนี้แล้วเราจะสานความสัมพันธ์กันได้อย่างไร" ส่งผลให้ฝ่ายไทยต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา ตามหาเครื่องเพชรอีกครั้ง


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

การตามหาเครื่องเพชรของจริง

การย้อนรอยตามหาเพชรฯ โดยคณะทำงานของ พล.ต.ท.ชลอ เริ่มต้นที่กลุ่มญาติของ พล.ต.อ.แสวง แต่ภายหลังเมื่อมีการตรวจสอบไม่พบว่ามีมูลความจริงแต่อย่างใด นอกจากนี้ นักการเมือง ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย และ "คนมีสี" หลายคนก็ถูกกล่าวหาว่ามีการจัด "ปาร์ตี้เพชรซาอุฯ" ในสโมสรแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้น นายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ได้ว่าจ้าง "ชุดสืบสวนพิเศษ" เพื่อแกะรอยอย่างลับ ๆ ตามหาเครื่องเพชรราชวงศ์แห่งซาอุดิอาระเบีย

สำหรับเครื่องเพชรชุดที่ทางการซาอุดิอาระเบียต้องการมากที่สุด คือ เพชรสีน้ำเงิน หรือ "บลูไดมอนด์" เนื่องจากเป็น "เพชรอาถรรพณ์" แม้กระทั่งช่างที่เจียระไนก็ต้องมีอันเป็นไปสาบสูญไปจากโลก จึงเป็นเพียงเพชรชุดเดียวที่มีอยู่ในโลก และไม่ว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียก็จะทรงจำได้เสมอ เพราะมีการทำตำหนิไว้ด้วยแสงอินฟราเรดอยู่ภายในใจกลางของเม็ด แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบ ซึ่งนายเกรียงไกรสารภาพกับนายโคจาว่า ได้โจรกรรมมาจริง แต่จำไม่ได้แน่ชัดว่าอยู่ในมือใครระหว่างพ่อค้าเพชรกับชุดจับกุม

กรณีตระกูลศรีธนะขัณฑ์

พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ กลับมาทำคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ได้ทุกวิถีทางในการนำเพชรที่เหลือกลับคืนมาให้ได้ จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชร ซึ่งภายหลังถูกตำรวจในทีม พล.ต.ท.ชลอ ข่มขู่คุกคาม แต่นายสันติก็ไม่ยอมคืนเพชรให้

ในที่สุด พล.ต.ท.ชลอ ก็ตัดสินใจให้คณะทำงานตั้งด่านตรวจ หน้าซอยบ้านนายสันติ ระหว่างที่ภรรยาของนายสันติคือ นางดาราวดี กำลังจะไปส่งลูกชาย ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ ที่โรงเรียน ทีมของพล.ต.ท.ชลอ ก็ได้จับทั้งคู่ไปกักขัง เพื่อบังคับให้นายสันตินำเพชรส่วนที่เหลือมาคืน ซึ่งนายสันติก็ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ ว่าลูกและเมียถูกอุ้ม แต่ขังไว้นานเป็นเดือน ย้ายที่กบดานไปหลายแห่งก็ยังไม่ได้เพชรคืน ซ้ำตำรวจคนหนึ่งยังได้ข่มขืนภรรยาของนายสันติ ทีมตำรวจชุดนี้จึงฆ่าปิดปากสองแม่ลูก แล้วอำพรางคดีให้เป็นเหมือนกับเกิดอุบัติเหตุรถชน

ต่อมา ทีมสอบสวนชุดใหม่กลับสืบพบว่าเป็นการอุ้มฆ่า จึงได้ทำการจับกุมตัว พล.ต.ท.ชลอ และลูกน้องทั้ง 9 คน มาดำเนินการทางกฎหมาย พล.ต.ท. ชลอถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานออกคำสั่งฆ่าสองแม่ลูกในปี พ.ศ. 2538 และในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ และศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ยืนตามศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต ทำให้คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบียถูกปิดลงอย่างเด็ดขาดในทางกฎหมาย และสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศเรื่อง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดอดีตข้าราชการตำรวจออกเสียจากยศตำรวจ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้รับพระราชทาน เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษประหารชีวิต จำนวน 1 ราย คือ พลตำรวจโทชลอ เกิดเทศ


ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

เชอร์รี่ แอน ดันแคน สาวน้อยวัย 16 ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ต้องมาจบชีวิตอย่างอนาถด้วยวัยเพียงแค่ 16 เพียงเพราะผู้ชายสูงวัยที่ไม่เคยรู้จักคำว่า "พอ" ในกิเลส-ตัณหา โดยในเรื่องนี้นั้นก็ได้พบกับความทุกข์ของบรรดาแพะรับบาปทั้งหลายที่ต้องมาทนทุกข์ในคดีนี้โดยที่ตนเองไม่มีความผิด

เชอรี่แอน คดีตราบาปตำรวจชั่ว คดีที่โลกลืม
นี่เป็นบทกลอน"แพะรับบาป" ที่โลกลืมส่วนหนึ่ง ที่นายเฮาดี้ กนกชวาลชัย ได้ระบายความรู้สึกขณะ ที่ถูกจองจำร่วมกับพรรคพวก ในคดีฆาตกรรมนางสาวเชอรี่แอน ดันแคนที่เกิดขึ้น เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เป็นคดีที่มีผู้ถูกยัดเยียดให้ต้องรับผิดทั้งที่ความผิดนั้นตนเองมิได้ เป็นผู้ก่อ หรือที่เรียกกันตามประสาชาวบ้านว่าเป็น "แพะรับบาป"

"...พ่อทำผิด อะไร ที่ไหนลูก
พ่อจึงถูกตำรวจจับ มากักขัง
พ่อเคยทำ อะไร กับใครบ้าง
จึงถูกขัง ถูกจำจอง อยู่ห้องกรง

โธ่, ลูกเอ๋ย เคยคิด พ่อผิดมั้ย ?
แล้วเหตุใด เขาจึงคิด จิตลุ่มหลง
จับพ่อมา กล่าวหา ว่า "ฆ่าคน"
ในกมล พ่อไม่คิด สักนิดเดียว

พ่อจากไป เพียงร่าง ที่ห่างเจ้า
ส่วนใจเล่า ยังชะแง้ อยู่แลเหลียว
ไม่เคยลืม เจ้าสักว่า นาทีเดียว
"ใจ" ห่วงเหนียว ลูกยา ทุกนาที..."


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

25 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ในป่าแสมบางสำราญ บริเวณหลัก กิโลเมตรที่ 42 ของถนนสุขุมวิท(สายเก่า) ตำบลปางปูใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ วันนี้ นางสงัดกับนางสายหยุด ศรีเมือง สองสามีภรรยา ชาวบ้านที่ อาศัยในบริเวณนั้นตื่นเช้ามาเพื่อช่วยกันหาและจับปูในป่าแสนซึ่งเป็นป่าชายเลนเพื่อนำไปขายเป็นรายได้เลี้ยงชีพเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่วันนี้เปลี่ยนไป เพราะวันนี้นอกจากทั้งคู่จะเจอปูแล้ว ยังเจอศพผู้หญิงอีกด้วย เธอนอนเสียชีวิตอยู่ในร่องน้ำบริเวณในป่าชายเลน แน่นอน....... ทั้งคู่ตกใจรีบไปแจ้งตำรวจสภอ.สมุทรปราการ หลังตำรวจได้รับแจ้ง ไม่กี่นาทีต่อมาก็ยกกำลังพลเกือบหมดโรงพักมายังที่เกิดเหตุจากการสันนิษฐานชั้นแรกว่า เธออาจเป็นสาวโรงงานในละแวกนั้น อาจถูกลวงมาฆ่า ข่มขื่น เหมือนคดีฆาตกรรมที่เล็กทั่วๆ ไป แต่นี้ไม่ใช่ ข่าวเล็ก ข่าวนี้

ต่อมาได้กลับกลายเป็นข่าวสุดดังไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา เพราะจากการสืบ พบว่า ศพนั้นคือ นางสาว เชอรี่แอน ดันแคน นักเรียนสาวลูกครึ่งวัย 16 ปีของโรงเรียนพระกุมารเยชูวิทยา ซอยสุขุมวิท 101 เธอถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น อาจจะถูกบีบคอเสียชีวิต เพราะสภาพศพไม่พบบาดแผลใดๆ แน่นอนการสอบสวน บุคคลที่เกี่ยวข้องกลุ่มแรกกับความตายของเธอกลุ่มแรก ประกอบไปด้วย มิสเตอร์โจ และนางกลอยใจ ดันแคน พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเธอ คนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ตำรวจเรียกมาสอบสวนคือ นายวินัย ชัยพานิช หรือเรียกเล่นๆ ว่าแจ๊ค เสี่ยใหญ่วัย 43 ปี (ในขณะนั้น) เจ้าของธุรกิจก่อสร้างมากมายหลายแห่ง ซึ่งฐานานุรูปของเขาคือเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูสาวน้อยเชอรี่แอน (เลี้ยงต้อย?)

ประเด็นสำคัญ จากบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมุทรปราการ ปรากฏว่า นายวินัย ได้แจ้งถึง การหายตัวของ เชอรี่แอนไว้ เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม หลังการพบศพหนึ่งวัน ในขั้นแรกของคดี ตำรวจยังมืดมน เนื่องจากไม่มีหลักฐานประกอใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งพยานบุคคลในที่เกิดเหตุและหลักฐานแวดล้อมรอบข้าง รวมทั้งวิทยาการสอบสวนในสมัยนั้นอาจยังไม่รุดหน้าเท่าทุกวันนี้ จากการสืบสวนเพื่อนสนิทของเชอรี่แอน พบว่า ตอนเย็นวันที่ 22 กรกฏาคม หลังเลิกเรียนแล้ว ทุกคนเห็นเชอรี่แอน เดินขึ้นแท็กซี่ ที่มาจอดรอรับเธออยู่หน้าโรงเรียนตามลำพัง และนี้คือภาพสุดท้ายที่เห็นเชอรีแอน เพื่อนๆ ของเชอรี่แอนไม่มีใครจำทะเบียนรถคนนั้นได้ และรูปพรรณสัณฐานของโชเฟอร์แท็กซี่ทุกอย่างมืดมนหนักขึ้นไปอีก

สื่อมวลชนในสมัยนั้น โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ เริ่มติดตามข่าวคดีนั้นอย่างต่อเนื่อง กัดแบบไม่ปล่อย เพราะทุกอย่างไม่คืบหน้า เมื่อตำรวจหาหลักฐาน พยานไม่ได้ สื่อก็เร่ง คดีได้รับความสนใจของประชาชน ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด

21 สิงหาคม พ.ศ.2529 กลุ่มฆาตกร และผู้บงการในการฆาตกรรม นางสาวเชอรี่แอน ดันแคน ถูกจับยกแก๊งค์ ราวกับอภิหารหารย์ ซ้อนปาฏิหารย์ พ.ต.ท.เลิศล้ำ ธรรมนิสา รองผู้กำกับ สภอ.สมุทรปราการ (ยศและตำแหน่งในเวลานั้น) แถลงการณ์ข่าวการจับกุมต่อสื่อมวลชน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ต้องหา 5 ชีวิตคือ

จำเลยที่ 1 นายวินัย ชัยพานิช
จำเลยที่ 2 นายรุ่งเฉลิม กนลชวาลชัย
จำเลยที่ 3 นายพิทักษ์ ค้าขาย
จำเลยที่ 4 นายกระแสร์ พลอยกลุ่ม
จำเลยที่ 5 นายธวัช กิจประยูร


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

ทั้ง 5 คน 5 ชีวิต ถูกตราหนาจากสังคมว่าเป็นกลุ่มฆาตกร ที่มีส่วนร่วมสังหาร นางสาวเชอรี่ แอน อย่างเลือดเย็น สื่อมวลชน ประชาชน ตราหน้า รุมสาปแช่งพวกเขา ลงทัณฑ์ว่า พวกเขาต้องถูกประหารชีวิต

นายวินัย ชัยพานิช จำเลยที่ 1 ถูกตั้งข้อหาว่า เป็นผู้บงการฆ่า ซึ่งในสำนวนกฎหมายคือ ผู้ใช้-ผู้จ้างวานคนอื่น คือจำเลยที่ 2 3 4 5 ซึ่งเป็นลูกน้องหรือ ผู้ใต้บังคับบัญชาไปวางแผนสังหาร ผู้อื่นโดยวางแผนและไตร่ตรองไว้ก่อน ง่ายยิ่งกว่าง่ายยิ่งกว่าต้มมาม่า 3 นาทีหรือยิ่งกว่าการ์ตูนอีก เพราะระยะเวลาแค่ 27 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถับกุมกลุ่มฆาตกร ได้ยกแก๊งครบทุกโบกี้ครบที่นั่งแบบนี้ ภาพละครที่สร้างขึ้นแหกตาคนทั้งประเทศ เมื่อข่าวนี้เป็นที่รับรู้ของประชาชนทั่วประเทศ ทุกคนเริ่มสนใจกลุ่มฆาตกรในคดีนี้มากขึ้น เสียงวิพากษ์เป็นในทางเดียวกัน คือขอให้ศาลตัดสินประหารชีวิตฆาตกรกลุ่มนี้ เบื้องหลังการจับกุมแพะกลุ่มนี้ เกิดขึ้นหลังการตายของเชอรี่แอนประมาณ 2 สัปดาห์

นายประเมิน โพชพลัด อาชีพขับสามล้อรับจ้าง เดินเข้ามาหานางกลอยใจดันแคน หลังจากที่เห็นรูป และเรื่องราวข่าวสะเทือนขวัญบนหน้าหนังสือพิมพ์ เขาให้การกับตำรวจ ในเวลาต่อมา ในวันที่เกิดเหตุ เขากำลังขับรถตระเวนหาผู้โดยสารอยู่ในซอยสวนพลู เขตยานนาวา ณ จุดหนึ่งริมถนน เขาเหลือบไปเห็น จำเลยที่ 2 นายรุ่งเฉลิม กนล และชวาลชัย จำเลยที่ 3 นายพิทักษ์ ค้าขาย กำลังประคองเชอรี่แอน ออกมาจากซอยแห่งหนึ่ง เธออยู่สภาพสลบไสล ไม่รู้สึกตัว โดยมี จำเลยที่ 1 นายวินัย ชัยพานิช จำเลยที่ 4 นายกระแสร์ พลอยกลุ่มและ จำเลยที่ 5 นายธวัช กิจประยูร เดินตามมาข้างหลัง นายประเมินจอดรถ ถามคนกลุ่มนั้นว่า ต้องการให้พาไปโรงพยาบาลหรือไม่....แต่ได้รับการปฏิเสธ นายประเมินได้ให้การกับผู้พิพากษาในเวลาต่อมาว่าจำหน้าเด็กผู้หญิงคนนั้นดี และแม่นยำ เพราะเธอเป็นสาวลูกครึ่ง หน้าตาสวยมาก เขาทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ว่าเธอถูกฆ่าตาย จึงเดินทางมาเพื่อเป็นพยานให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2529 และนี้คือพยานปากเอกคนเดียวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีในตอนนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่ม 5 คน ถูกจับกุมดำเนินคดี โดยหารู้ไหมว่า...นายประเมินคือพยานเท็จ! เขาถูกจ้างโดยตำรวจเพื่อใส่ความผู้ต้องหาทั้ง 5 โดยรับค่าจ้างแค่สังกะสีไม่กี่แผ่นเพื่อนำมาซ่อมหลังคาบ้าน สังกะสีที่แลกกับชีวิตของผู้บริสุทธิ์ทั้ง 5 คน

กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุกเข้าจับ นายวินัย และลูกน้อง ถึงหน้าบริษัทเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม

นายวินัยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการและจ้างวานให้ฆ่าเชอรี่แอน และต่อมาเขาเป็นเพียงคนเดียว ที่ไม่ถูกอัยการฟ้อง จนถูกปล่อยตัวเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2529 จนถูกปล่อยตัวไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 เนื่องจากอัยการพิจารณาแล้วว่า หลักฐาน และสำนวน ที่ตำรวจยื่นฟ้องมานั้น อ่อนหัด และมั่วตั๊วเกินไป แต่จำเลยอีก 4 คนเหลือ ต้องรับซะตากรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อ พวกเขาทั้งหมดถูกตัดสินประหารชีวิต จากศาลชั้นต้น ก่อนรอประหาร ทั้งหมดถูกจำคุกใกล้ตะแลงแกง ที่นั้นมีทั้งโรคระบาด อาหารไม่สะอาด หนู แมงสาป สุขอนามัยสุดเลวร้าย จำเลยทั้งสี่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการและศาลอุทธรณ์ได้รับ ไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2533 ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นายรุ่งเฉลิม หรือเฮาดี้ กนกชวาลชัย จำเลยที่ 1 เจ้าของบทกลอนข้างต้น ได้ถึงแก่ความ ตายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2534 ที่เรือนจำบางขวาง ส่งผลให้ศาลจังหวัดสมุทร ปราการสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1

ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2535 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา และในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2536 ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วมีคำพิพากษาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2536 พิพากษา ยืนตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ อันเป็นสิ่งแสดงว่าจำเลยที่ยังมีชีวิตอยู่ในคดีดังกล่าวเป็น "ผู้บริสุทธิ์"

ต่อมาหลังจากการต่อสู้ในศาลฏีกา......ได้มีการเปลี่ยนคำพิพากษาออกมายกฟ้องพวกเขาทั้งหมด แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะความทุกข์ทรมานที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี ได้ส่งผลให้.........

นายพิทักษ์ ติดโรคร้ายมาจากคุก และมาเสียชีวิตลงเมื่อปลายปี 2536 เมื่อพ้นคดีออกจากคุกมาเพียง 5 เดือน

นายธวัชเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตามหลังนายพิทักษ์ไม่นานมานัก

ส่วนนายกระแสร์ พลอยกลุ่ม คือแพะในคดีเชอรี่แอน เพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอด

นายกระแสร์ ได้พูดหลังออกจากคุกว่า "...ก่อนเข้าคุกข้าพเจ้ามีครอบครัว ภรรยาอยู่ที่ท่าเรือคลองเตย มีลูกชาย 1 คน ลูกสาว 1 คน ตอนที่ข้าพเจ้าเข้าไปอยู่ในคุกภรรยาข้าพเจ้าเครียดมากจนเสียชีวิต ต่อมาลูกสาวอายุ 17 - 18 ปีถูกฆ่าข่มขืน ข้าพเจ้าอยู่ในคุกไม่มีใครบอกว่าลูกสาวข้าพเจ้าโดนฆ่าตาย ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เรื่องเขาปิดกัน ลูกสาวกำลังสอบชิงทุนไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น ถ้าเกิดข้าพเจ้าซึ่งเป็น พ่อยังอยู่ข้างนอก ก็ยังดูแลเขาได้ไม่โดนฆ่า ต่อมาลูกชายก็หายสาปสูญยังหาไม่เจอ..."

นายกระแสร์ เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงช้าๆ ว่า "เมื่อปี 2529 นางสาวเชอรี่แอน ดันแคน ถูกฆ่าตาย ตำรวจปากน้ำก็มาแจ้งจับพวกข้าพเจ้ากับเสี่ยวินัย ชัยพาณิชไปจับ รุ่งเฉลิม กนกชวาลชัย พิทักษ์ ธวัช จับไปปากน้ำว่าร่วมกันฆ่านางสาวเชอรี่แอน แต่พวกเราไม่ได้ฆ่า บอกกับตำรวจ กับใครตอนนั้นก็ไม่มีใครเชื่อ นักข่าวประโคมข่าวมาก ตำรวจปากน้ำชื่อ พ.ต.อ.มงคล ศรีโพธิ์ และพ.ต.อ.สันติ เพ็งสูตร เอาตัวนายประเมิน โภชน์พัฒน์ มาชี้ตัวโดยดูรูปจากตำรวจก่อนและให้เงินนายประเมิน 500 บาท แล้วมาชี้ตัวว่าพวกเราเป็นคนประคองเชอรี่แอนลงมาจากตึกคอนโดมิเนียมของเสี่ยวินัย จากนั้นอัยการก็สั่งฟ้องเรา ศาลตัดสินประหารชีวิตพวกเรา 4คน แต่ยกฟ้องเสี่ยวินัย เราถูกส่งเข้าไปอยู่ในแดนประหาร คุกบางขวาง จนปี 2535 ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่รุ่งเฉลิม ตายในคุกก่อนที่ศาลจะอุทธรณ์จะพิพากษา เพราะคิดมากเครียด เนื่องจากตัวเองไม่ได้ทำความผิด ลูกเขาก็ยังเล็กๆ อยู่ในสมัยนั้น ตัวข้าพเจ้าเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาเจ้านายเก่าบริษัทยามประกันตัวให้ออกมาได้ แต่พิทักษ์และธวัช ยังติดอยู่ในบางขวาง เพราะต้องรอศาลฎีกา แต่ออกมาได้ไม่เท่าไหร่ก็เสียชีวิตทั้ง 2 คนเพราะติดโรคมาจากในเรือนจำ ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าตายปีไหน ตอนข้าพเจ้าโดนจับถูกตำรวจซ้อม หัวฟาดกับโต๊ะ ทำให้มึน ประสาทเลยช้าคิดอะไรช้า

ผู้ต้องหาโดนซ้อมจนสมองชา
"ตอนที่ข้าพเจ้าถูกจับข้าพเจ้าไม่รับสารภาพ ข้าพเจ้าถูกตำรวจหลายคนซ้อม เยอะ หลายคนจำไม่ได้ มีตำรวจนอกเครื่องแบบด้วย ไม่ทราบว่าใครบ้าง ถูกซ้อมจนกระดูกสันหลังร้าว ไปหาหมอตามคลินิคเขาฉายเอ็กซเรย์ให้ข้าพเจ้า ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังจะตัดสิน แล้วข้าพเจ้าก็ไม่มีตังค์ที่จะผ่า พอศาลตัดสินข้าพเจ้าก็เข้าเรือนจำปากน้ำไปเลย พอออกมาแล้วหลักฐานฟิล์มเอ็กซเรย์ก็ไม่รู้ หมอหายไปอยู่ไหนหมดแล้ว จากกระดูกสันหลัง ทำให้หัวคิดช้า คิดอะไรคิดออก แต่ช้า เพราะมึน ตอนที่ตำรวจซ้อมหัวฟาดพื้น สมัยก่อนโรงพักปากน้ำเป็นไม้ เก้าอี้เป็นไม้ พอถูกถีบก็หงายท้องเลยหลังกระแทกโต๊ะที่นั่งหัวฟาด ขณะนี้พอเวลาเดินเร็วๆ ขาจะชามาจากหลัง นอนหงายไม่ได้ ต้องนอนตะแคง ช่วงที่อยู่ในคุกมีหมอก็ขอยาแก้ปวดบ้าง แม่ส่งน้ำมันไปให้ทาบ้าง

เข้าคุกทั้งที่ไม่ผิด
"ตอนเสี่ยวินัยเขายกฟ้องพวกข้าพเจ้าโดนตัดสินประหารชีวิต เสี่ยวินัย ก็ไปวิ่งเต้นแจ้งทางกองปราบปราม ทีนี้กองปราบปรามเขารู้แล้วว่าพวกข้าพเจ้าไม่มีความผิด กองปราบปรามติดตามคดีอย่างเงียบๆ กำลังตามจับผู้ต้องหาตัวจริงแล้วก็แจ้งมาที่โรงพักปากน้ำว่า พวกนี้ไม่มีความผิด ตัวจริงกำลังจะจับอยู่ แต่ตำรวจปากน้ำไม่เชื่อให้ศาล อัยการสูงสุดดำเนินเรื่องต่อไป ไม่ยอมปล่อยพวกข้าพเจ้าทั้งที่รู้ว่าไม่ผิด อยู่ในคุกไม่มีใครช่วยหรือต่อสู้ให้ ภาวนาอย่างเดียวให้เรารอด เพราะเราไม่ได้ทำความผิด เราอยู่ในคุกเรายังไม่รู้ว่ากองปราบปรามกำลังดำเนินการ พอเขาจับตัวจริงได้เราก็รอด ศาลยกฟ้องก่อนแล้วจึงจับผู้ต้องหาตัวจริง หลังศาลยกฟ้องไม่มีใครยื่นมือมาช่วย คนที่ไม่เคยทำผิดอยู่ๆ ศาลตัดสินประหารชีวิต จิตใจที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะเป็นอย่างไร อย่างเฮาดี้ (นายรุ่งเฉลิม กนกชวาลชัย) เป็นลมพับตรงนั้น นอกนั้นพากันร้อง เป็นลมหมด ก็เขาไม่ได้ทำความผิดแล้วศาลตัดสินประหาร คนไม่ผิดความรู้สึกตอนนั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นคนอื่นจะเป็นอย่างไร พอศาลตัดสินก็ต้องเข้าคุกไป

ผู้ต้องหาเมียตาย-ลูกสาวโดนฆ่าข่มขืน-ลูกชายหายสาปสูญ
"ก่อนเข้าคุกข้าพเจ้ามีครอบครัว ภรรยาอยู่ที่ท่าเรือคลองเตย มีลูกชาย 1 คน ลูกสาว 1 คน ตอนที่ข้าพเจ้าเข้าไปอยู่ในคุก ภรรยาข้าพเจ้าเครียดมากจนเสียชีวิต ต่อมาลูกสาวอายุ 17-18 ปีถูกฆ่าข่มขืน ข้าพเจ้าอยู่ในคุกไม่มีใครบอกว่าลูกสาวข้าพเจ้าโดนฆ่าตาย ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เรื่องเขาปิดกัน ลูกสาวกำลังสอบชิงทุนไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น ถ้าเกิดข้าพเจ้าซึ่งเป็นพ่อยังอยู่ข้างนอกก็ยังดูแลเขาได้ ไม่โดนฆ่า ต่อมาลูกชายก็หายสาปสูญยังหาไม่เจอ

ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกรมตำรวจ 25 ล้าน
"ช่วงเกิดคดีสื่อมวลชนออกข่าวทั่วประเทศ หนังสือพิมพ์ ทีวีทุกช่อง ลงข่าวกันครึกโครมหมดเลย แต่ตอนศาลยกฟ้องมีข่าวแค่นี้ (ทำมือให้ดูว่าเป็นข่าวสั้นๆ) แล้วประชาชนจะรู้หรือว่าพวกเราไม่ได้ผิด เขาต้องคิดว่าเรายังเป็นฆาตกรอยู่ เพราะเขาไม่รู้ว่าศาลยกฟ้องเรา ตอนออกมาจากคุกมีทนายอยู่ 1 คนช่วยเหลือว่าความคดีฟ้องกรมตำรวจกับตำรวจให้ แต่ฟ้องแบบไม่มีสตางค์ ฟ้องอนาถา ศาลตัดสินแล้วว่าตำรวจพวกนั้นไม่เกี่ยว ให้ฟ้องกับกรมตำรวจ ตอนนี้ฟ้องกับกรมตำรวจอยู่ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ตอนโดนจับเสียชื่อเสียง คนอื่นเกลียดว่าเป็นฆาตกร ทั่วประเทศลงข่าวครึกโครมส่วนนี้เรียก 10 ล้านบาท และตำรวจทำร้ายร่างกายทำให้พิการทางสมอง ข้าพเจ้าก็เรียกอีก 5 ล้านบาท แล้วข้าพเจ้าเคยทำงานด้านรักษาความปลอดภัยได้เงินเดือนๆ ละ 3,300 บาทประมาณ 21 เดือนคิดเป็นเงิน 96,300 บาท แล้วก็ตอนที่ข้าพเจ้าเสียอิสรภาพถูกจับเข้าไปอยู่ในคุก ถูกใส่โซ่ตรวนตลอด 24 ชั่วโมง มีกินบ้างไม่มีบ้างตอนอยู่ในคุก แล้วแดนประหารมีนักโทษทุกประเภท ไม่มีใครกลัวใคร บางคนก็ประสาทเสีย บางคนก็บ้า ก็ต้องทนอยู่กันอย่างนั้น ลำบากมาก ตรงนี้เรียก 10 ล้านบาท แล้วแต่ศาลจะเมตตาให้

"ทนายไม่ได้บอกว่าคดีจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ข้าพเจ้าก็ไปขึ้นศาล ฝ่ายอัยการก็เลื่อนเรื่อย ศาลรัชดาเลื่อนเรื่อย นี้ก็เลื่อนข้าพเจ้าไปวันที่ 3 เมษายน เวลา เช้า 09.00 น. ข้าพเจ้าไม่ได้หวังว่าจะชนะคดีได้เงิน 25 ล้านบาท แล้วแต่ศาลจะเมตตา ได้แค่ 1 ล้าน ครึ่งล้าน แค่ให้พอมีเงินไปใช้หนี้เขา ตอนที่แม่ข้าพเจ้ามาเยี่ยมในคุก แม่อยู่อยุธยาต้องยืมเงินเขามาเยี่ยมข้าพเจ้า ปัจจุบันมีอาชีพขายปลาตู้ ปลากัด และรับจ้างเป็นยามบ้างหรือใครจ้างให้ทำอะไรก็ไปไม่พอกิน

สำหรับแพะแดนประหาร
อยู่ในคุกบอกไม่ถูกว่าจะได้ออกหรือไม่ได้ออก คิดว่าจะได้ออกก็คิดไม่ได้ คิดว่าจะตายก็เอ๊ะ ยังไงก็บอกไม่ถูก คล้ายๆ หมดอาลัยแล้ว ถึงคราวก็ตายคิดแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่ากองปราบปรามกำลังเดินเรื่องให้เรา ไม่เคยมีใครมาส่งข่าวให้เลย ตอนไปศาล ตำรวจโรงพักมากันใหญ่เลยทั้งที่เราไม่ได้ผิดเลย ใส่ตรวน 2 เส้น ใส่กุญแจมืออีก จนจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว ทำกับเราน่าดู สุดท้ายตำรวจบอกทำไปตามหน้าที่ ทำไปตามพยานหลักฐาน เขาก็พ้นไป จะว่าเป็นเวรกรรมของข้าพเจ้า ก็เป็นกรรมที่มันพวกนี้สร้างกรรมให้เรา พวกตำรวจร่วมกันจับพวกเรา สร้างกรรมให้เรา ทำให้หลายชีวิตต้องลำบาก ลูกเมียลำบาก ในแดนประหารมีคนทุกชนิด บางคนก็ไม่ได้ทำความผิด จับเขาไปไว้ในนั้น บางคนก็สู้คดี ได้คุยกับบางคนไม่ได้มีความผิดบางคนไม่รู้เรื่อง ตำรวจชอบปิดคดีเร็วๆ ข้าพเจ้าว่าตอนนี้ในแดนประหารมีคนที่ไม่ผิดอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าเขาจับกันมาอย่างไร แต่คดีข้าพเจ้าเป็นคดีดัง แต่อยู่ๆ ก็เงียบไม่มีใครรับผิดชอบ บางคนถ้าเกิดเป็นคดีแบบข้าพเจ้า ถ้าหลักฐานที่เขาสร้างมาแน่นหนาก็ต้องโดนประหารทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำความผิด อยากเรียกร้องให้ประเทศไทยมีกฎหมายจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้กับคนที่ถูกจับไปอยู่ในคุกโดยไม่รู้เรื่อง ศาลเขาคงจะอ่านหนังสือบ้างว่าคดีแพะมาอีกแล้ว ข้าพเจ้าเห็นข่าวในทีวีจับแพะคดีปล้นร้านทองอีก เขาคงคิดว่าเป็นเวรกรรมของมัน จับเขาไปแล้ว คนจับส่งเป็นใคร คดีข้าพเจ้าจำชื่อได้หมดตอนนี้เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่อย่าไปเอ่ยชื่อเขาเลยไม่ดี เดี๋ยวส่งคนมาเก็บอีกจะยุ่ง"


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

นายกระแสร์ พลอยกลุ่ม ปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว

 

ลอกคราบเสี่ยวินัย...ปฐมเหตุแห่งความตาย
จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังของ เสี่ยวินัยพบว่า มีเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดา และจบการศึกษาในระดับที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสวนทางกับพฤติกรรมที่แสดงออกเช่นนี้ เสี่ยวินัย เกิดในครอบครัวที่จัดได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกิน บิดาและมารดานับได้ว่าเป็นผู้มีฐานะและการเงินที่ดีครอบครัวหนึ่ง

ในด้านการศึกษา เสี่ยวินัยสำเร็จการศึกษาวิชาออกแบบและสถาปัตย์ จากสหรัฐอเมริกา จากนั้นกลับมาทำงานในประเทศไทย ปี 2519 โดยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการก่อสร้าง และได้มาพักอาศัยอยู่กับมารดาที่บ้านพักเยื้องตรงข้าม สน.ทุ่งมหาเมฆ ซอยสวนพลู เขตยานนาวา ต่อมาประมาณปี 2523 ได้เปิดภัตตาคาร ชื่อ 'สามก๊ก' ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักใน ซอยสวนพลู ได้รู้จักกับ น.ส.สุวิบูลย์หรือกุ้ง โดยการแนะของน้องสาวตนเอง และรู้จักกันได้เพียง 2 เดือน ก็ได้เสียมีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากับ น.ส.สุวิบูลย์ แต่ไม่ได้แต่งงานกันเพราะแม่ของฝ่ายหญิงไม่ชอบ ด้วยสัมพันธ์ที่มีต่อกันอย่างแน่นแฟ้นทั้ง 2 คน จึงได้ร่วมทุนกันสร้าง คอนโดมิเนียม ชื่อ 'ริเวอร์วิว คอนโดมิเนียม' เป็นอาคารให้เช่าพักจำนวน 8 ชั้น อยู่ แถวตลาดน้อย สัมพันธวงศ์ ในปี 2524

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ร่วมดำเนินกิจการและมีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากับ น.ส.สุวิบูลย์อยู่นั้น ในปี 2528 เสี่ยวินัยได้ไปรู้จักกับ 'น.ส.เชอรี่แอน ดันแคน' อายุ 16 ปี ที่ร้านอาหาร 'พี.เจ.' สุขุมวิท 19 ซึ่งเป็นของบิดาและมารดาของเชอรี่แอน และเกิดหลงใหลได้ปลื้มในเรือนร่างของลูกครึ่งอเมริกันผู้นี้

ในที่สุดความฝันของเสี่ยวินัยก็บรรลุผล เมื่อแม่ของเชอรี่แอนยินยอมให้เสี่ยวินัยพาไปเลี้ยงดูอุปการะและอยู่กิน โดยมีเรือนหออยู่ที่ห้องพักในริเวอร์วิว คอนโดมิเนียม ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้แม่ของเชอรี่แอนตัดสินใจเช่นนั้นเป็นผลมาจากความร้าวฉานที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวเพราะผู้เป็นพ่อชาวอเมริกันมีพฤติกรรมที่ไม่พึงปฏิบัติในทำนองชู้สาวต่อลูกสาวในไส้หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเมา

นอกเหนือจากการลงทุนร่วมกับ น.ส.สุวิบูลย์ในกิจการให้เช่าคอนโดมิเนียมแล้ว เสี่ยวินัยยังดำเนินกิจการอื่นๆ อีกมากมาย โดยในปี 2529 ได้ตั้ง 'ห้างหุ้นส่วนจำกัด คิวลิตี้ อาคิเทค แอนด์เมนเทนเม้นท์' หรือ 'คิว เอ เอ็ม' ประกอบธุรกิจก่อสร้างตกแต่งอาคาร ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและซ่อมแซมบ้าน โดยเปิดรับในระบบสมาชิก ที่ต้องเสียค่าสมาชิกเดือนละ 2,000 บาท

พฤติกรรมเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า
สำหรับต้นตอปัญหาความขัดแย้งใน 'รักสามเส้า' ระหว่างเสี่ยวินัย-น.ส.สุวิบูลย์-น.ส.เชอรี่แอน ซึ่งกลายเป็นศึกชิงรักหักสวาทที่บานปลายใหญ่โตนำไปสู่คดีฆาตกรรม อันลึกลับซับซ้อนและโหดร้ายป่าเถื่อนในวันที่ 22 ก.ค. 2529 อีกทั้งยังสืบทอดความทุกข์ร้อนแสนเข็ญมาสู่บรรดากลุ่ม 'แพะรับบาป' ของคดีและทายาทจวบจนปัจจุบันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นนั้น ถ้าจะกล่าวว่าเป็นผลมาจาก 'ความเจ้าชู้' ไม่รู้จักพอของเสี่ยวินัยก็คงจะไม่เกินเลยไปนัก เพราะขณะที่สังคมรับรู้ว่า เสี่ยวินัยอยู่กินกับ น.ส.สุวิบูลย์ ยังแอบเล็ดลอดไปหาความสุขกับหญิงอื่นอยู่ตลอดเวลา และมีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมากหน้าหลายตา กระทั่งสร้างความไม่พอใจให้กับ น.ส.กุ้ง ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูทางการเงินของเสี่ยวินัย เท่าที่สืบทราบนอกจาก น.ส.สุวิบูลย์ และน.ส.เชอรี่แอนแล้ว ก่อนหน้านั้นเสี่ยวินัยยังแอบลักลอบได้เสียกับ 'น.ส.ทิพย์วรรณ' หรือ 'น้อย' ซึ่งเป็น 'คนใช้' ในบ้านของแม่ตนเองอีกด้วย

น.ส.ทิพย์วรรณได้เข้าเป็นคนใช้อยู่ที่บ้านแม่ของเสี่ยวินัยขณะที่มีอายุ 14 ปี โดยได้รับเงินเดือนในครั้งแรก 350 บาทต่อเดือน ต่อมาเมื่ออายุได้ 16 ปี ได้ตกเป็นภรรยาของเสี่ยวินัยอย่างลับๆ น.ส.ทิพย์วรรณเคยออกจากบ้านเสี่ยวินัยไปประกอบอาชีพเป็นสาวบริการในร้านอาหารญี่ปุ่น จากนั้นได้กลับมาประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน 2529 และเข้าพักอาศัยอยู่ที่บ้านเสี่ยวินัยเช่นเดิม และทราบเรื่องว่า น.ส.สุวิบูลย์มีความสัมพันธ์กับนายวินัยอย่างลึกซึ้ง

ขอคืนดี 'กุ้ง' แต่ไร้ผล
สำหรับเฉพาะกับ น.ส.สุวิบูลย์นั้น หลังเกิดคดีฆาตกรรม ในระหว่างที่เสี่ยวินัยหลุดจากคุกเป็นคนแรกๆ ปรากฏว่า แทนที่เสี่ยวินัยจะขัดแย้งกับ น.ส.สุวิบูลย์เพราะเป็นต้นเหตุให้ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาและหวิดที่จะมีชะตาชีวิตเหมือนกับแพะทั้ง 4 คนเสี่ยวินัยกลับพยายามที่จะหาทางคืนดีกับ น.ส.สุวิบูลย์ ไม่มีใครทราบได้ว่า เสี่ยวินัยมีวัตถุประสงค์อย่างไร แต่สามารถคาดเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการคืนดีกับ น.ส.สุวิบูลย์ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีอยู่วันหนึ่งเสี่ยวินัยไปหาน.ส.สุวิบูลย์ที่บ้านและพบเห็นกับตาตนเองว่า อดีตคู่ขาเก่าคนนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ 'พ.ต.ท.ล้ำเลิศ ธรรมนิธา' รองผู้กำกับการสภ.อ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานสอบสวนคดีนี้ เสี่ยวินัยกับ พ.ต.ท.ล้ำเลิศ เกิดมีปากมีเสียงกันจนมีการแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน โดยนายวินัยแจ้งความว่า พ.ต.ท.ล้ำเลิศขู่ฆ่า ส่วน พ.ต.ท.ล้ำเลิศแจ้งความว่าถูกเสี่ยวินัยพูดจาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน

สืบสวนคดีเชอรี่แอน ดันแคน ใหม่หมด
ในชั้นแรกที่นายวินัย ถูกจับกุม และตั้งข้อกล่าวหานั้น เจ้าหน้าที่ตรวจแถลงข่าวว่า มูลเหตุสำคัญที่สุดที่เป็นเหตุจูงใจที่ทำให้นายวิชัย วางแผนฆ่า เชอรี่แอน เนื่องจากเขาจับได้ว่า เชอรี่แอนแอบมีชายหนุ่มคนใหม่ แถมยังพามาค้างที่คอนโดฯ ของเขาอีกด้วย พิษรักแรงหึงทำให้เขาใช้วิธีจ้างวานบริวารใกล้ชิด ให้อุ้มเชอรี่แอนไปเชือดด้วยความแค้น

ผลสรุปเรื่องราวแห่งคดีฆ่านี้ทั้งหมดนี้พยานโจทย์ให้การว่า กลุ่มฆาตกรได้ทำการมอมยาผู้ตายให้สลบ อาจด้วยการโปะยาบนรถแท็กซี่ หลังจากนั้นจึงนำร่างเธอไปที่เกิดเหตุ โดยอาจปล่อยร่างของเธอค่อยๆ จมลงน้ำ จนขาดใจตายไปเอง อย่างที่เหตุการณ์ปรากฏ(อ้าวไหนตอนแรกบอกว่าบีบคอตายไง)

แม้ว่าจำเลยทั้งหมด จะให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา มาตั้งแต่ถูกจับกุมและในชั้นสอบสวนก็ตาม แต่เมื่อความจริงเปิดเผยออกมา ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เพราะพวกเขา ทั้งถูกซ้อม ทรมานด้วยกลกรรมวิธีต่างๆ นานาสารพัดสารพัน จากคดีง่ายๆ กับกลายเป็นคดีซ้อนคดีในเรื่องราวกันจนแยกไม่ออก ระหว่างกลุ่มฆาตกร และแพะรับบาป

หลังจากรู้ว่ากลุ่มฆาตกรที่จับมาเป็นแพะรับบาป เจ้าหน้าทีตรวจต้องสืบสวนใหม่หมด โดยเริ่มต้นจาก สภอ.สมุทรปราการ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และกำลังเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ขนาดกองปราบปรามที่ถูกร้องเรียนจากนายวินัย ให้มาช่วยสืบสาวความเป็นจริง และความยุติธรรมที่จริงแท้ของคดีนี้ ให้กระจ่าง และนอกจากจะจับกลุ่มฆาตกรในคดีนี้แล้ว ยังต้องวางแผนจับกุมกลุ่มตำรวจแหกคอกไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

ฆาตกรตัวจริง
เวลาล่วงเลยมาถึงพ.ศ.2538 เกือบ 10 ปีหลังการฆาตกรรม สาวน้อยเชอรี่แอน เจ้าหน้าที่กองปราบปราม ยังไม่ทิ้งคดีนี้เสียที่เดียว มีการรื้อสำนวน สอบปากคำพยาน และรวบรวมหลักฐานใหม่หมด ความลับและปริศนาในอดีตค่อยๆ กระจ่างออกมาที่ละปม จนกระทั้งชุดที่สืบสวนโชว์ผลงานจับกุมกลุ่มฆาตกรตัวจริงได้ โดยกลุ่มสืบสวนในตอนนั้นประกอบไปด้วย

พ.ต.อ.อดิศร จินตนะพัฒน์ รอง ผกก.3 ป รองผู้กำกับการ 3
พ.ต.ท.จตุรงค์ เนขขัมม์ รองผกก.3 ป รองผู้กำกับการ 3
พ.ต.ท.โชคดี อนุภาพเดช ,ร.ต.อ.สมศักดิ์ พัฒนเจริญ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น)

การรื้อฟื้นคดีที่ศาลพิพากษาตัดสินไปแล้ว ไม่ใช้เรื่องที่ทำกันง่ายๆ ในวงการยุติธรรมไทยในสมัยนั้น ทั้งสามฝ่าย คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษา ต้องดำเนิน ทั้งตัวบทกฎหมาย ด้วยความยุ่งยากหลายขั้นตอน เป็นสองคดีที่ซ้อนขึ้นอย่างหลายเงื่อนในโจทย์เดียวกัน ทุกอย่างจึงรื้อฟื้นโดยเริ่มต้นจากศูนย์


ความจริงที่ปรากฎออกมา
เจ้าหน้าที่กองปราบพบว่า นอกจากนายวินัยจะมีความสัมพันธ์สวาทกับนางสาวเชอรี่แอนแล้ว เขายังมีผู้หญิงคนอื่นอีก หนึ่งในนั้นคือ นางสาวสุวิบูง พัฒน์พงษ์ พานิช หรือกุ้ง หุ้มส่วนธุรกิจของนายวินัย นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงอีก 2-3 คน ในบริษัทก่อสร้าง ตำรวจสืบแกะรอย คู่ขาวินัยทุกคน

หลังวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 ข่าวการฆาตกรรมเชอรี่แอน โด่งดังอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่กองปราบจับกุมผู้ต้องหาคดีนี้เป็นคำราบสอง ประกอบไปด้วย นายสมใจและนายสมพงษ์ บุญญฤทธิ์ สองศรีพี่น้อง ที่เชื่อกันว่าเป็นคนสังหารเชอรี่แอนตัวจริง

19 กุมภาพันธุ์ 2538 จับนายสมัคร ธูปบูชาการ และนายว่องไว ผู้ร่วมทีมสังหาร
1 พฤศจิกายน 2538 นางสาวสุวิบูล เดินเข้ามามอบตัวในฐานะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จ้างวาน แต่ใช้หลักทรัพย์ 5,000,000 บาท ประกันตัวออกไปได้
18 มกราคม 2539 ตัวรวจจับกุม นายประมวล พลัดโพชน์ คนขับรถสามล้อในข้อหาแจ้งความเท็จจนในที่สุดศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 ปี

ในชั้นศาล ตำรวจได้ประมวลเหตุการณ์ และหลักฐานต่างๆ สรุปส่งฟ้องศาล ดังต่อไปนี้
นางสาวสุวิบูล เกิดความหึงหวง เชอรี่แอนขึ้นมา เมื่อสืบรู้ว่านายวินัย มีความสัมพันธ์สวาทกับเธอ อย่างลับๆ และได้นำเชอรี่แอนมาเลี้ยงดูจนออกหน้าออกตา ส่งเสีย ทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วยความแค้นและริษยา หึงหวง จึงจ้างวานให้คนอื่น อุ้มเชอรี่แอนไปฆ่าโดยไตร่ตรองและวางแผนไว้ก่อน โดยมี นายสมพงษ์และนายสมใจ สองมือฆ่า ซึ่งทั้งคู่เคยเป็นนักงานบริษัทของนายวินัยมาก่อน จึงรู้จักเชอรี่แอนพอสมควร อีกทั้งยังเคยรับส่งเชอรี่แอนอยู่บ่อยครั้ง และบางครั้งภรรยาของเขาทั้งสองก็เคยเป็นพี่เลี้ยงเชอรี่แอนมาก่อนเป็นบางครั้งที่นายวินัยติดธุระ แต่ภายหลังเกิดมีเรื่องบาดหมางกับนายวินัย จนต้องย้ายมาทำงานกับนางสาวสุวิมล ด้วยความแค้นที่ต่อนายวินัย ทั้งสองจึงรับปากกับนางสาวสุวิมลอย่างง่ายได้ และด้วยความรู้จักสนิทสนมกับเชอรี่แอนจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหลอกเธอไปฆ่า นายสมัคร ธูปบูชาการ ก็มีความสนิทสนมกับกลุ่มฆาตกรกลุ่มนี้ด้วย

นายพีระ ว่องไววุฒิ เป็นเพื่อนสนิทกับนายสมพงษ์ และนายสมใจ และเป็นโซเฟอร์แท็กซี่มรณะ หมายเลขทะเบียน 1ท-3992 กรุงเทพมหานคร ที่ไปรับส่งเชอรี่แอนที่หน้าประตูโรงเรียน จนพบจุดจบ แต่เจ้าหน้าที่กันตัวเขาไว้เพื่อเป็นพยานในคดีนี้

แผนการฆ่าก็ง่ายๆ คือ เดินทางไปรับเชอรี่แอนที่โรงเรียนพระกุมารเยซูวิทยา ในซอยสุขุมวิท 101 โดยนายสมพงษ์ และนายสมใจ ใช้อุบายล่อหลอกเชอรี่แอนในเรื่องที่เกี่ยวกับนายวินัย จนเชอรี่แอนหลงเชื่อ วางใจจนยอมขึ้นรถไปด้วย ระหว่างทางที่ขับรถไปบางปู เธออาจรู้สึกตัวว่ามันมาผิดเส้นทางที่ควรจะเป็น เธอคงพยายามหนีออกจากรถ และอาจมีการต่อสู้และขัดขืนในแท็กซี่มรณะคันนั้น ด้วยรู้ล่วงแล้วว่าซะตาชีวิตจะเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
กลุ่มฆาตกรจำเป็นต้องบีบคอเธอจนเสียสติ จนถึงหลักกิโลที่ 43 ตำบลบางปูใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นป่าแสมรกชัฏและเปล่าเปลี่ยว กลุ่มฆาตกรนำร่างของเธอ ไปทิ้งไว้ในร่องน้ำจนจมน้ำตาย และชาวบ้านมาพบศพอีก 2 วันต่อมา

ผลการตัดสิน
6 สิงหาคม พ.ศ.2540 เกือบสองปีต่อมาหลังจากจับกุมกลุ่มฆาตกรและผู้จ้างวานตัวจริง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้ตัดสินประหารชีวิตนางสาวสุวิบูล พัฒน์พานิช ผู้จ้างวาน รวมทั้งนายสมพงษ์ บุญญฤทธิ์ และนายสมัคร ธูปบูชการ สองมือฆ่า ก็ถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตเช่นกัน ต้นปี พ.ศ. 2542 ศาลอุทรณ์พิพากศาลยืนตาม ศาลชั้นต้นให้ประหารีวิตโดยไม่ลดหย่อนผ่อนโทษ

แต่.... 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ศาลฎีกา พลิกคำตัดสินจากสองศาลแรก โดยให้ปล่อยตัว นางสาวสุวิบูลไป เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ แม้ว่าจะทำให้เชื่อว่า นางสาวสุวิบูลกิจ เป็นคนจ้างวานฆ่าเชอรี่แอนตัวจริงก็ตาม ส่วนสองมือฆ่า ศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต

ส่วนกลุ่มตำรวจชุดแรกของ สภอ. เมืองสมุทรปราการ ที่สืบสวนคดีนี้และปั้นพยานเท็จเพื่อจับแพะขึ้นมานั้น ทั้งหมดไม่ได้ถูกลงทัณฑ์แต่อย่างใด เพราะศาลตัดสินแล้วว่า กระทำลงไปตามขั้นตอนของการสอบสอน ตามกฎหมายทุกประการ ปัจจุบันบางคนก็ได้ดีในหน้าที่การงานด้วยซ้ำ

ส่วนนายวินัยตัวต้นเหตุทุกวันนี้ยังไม่เลิกพฤติกรรมเดิม และนอกจากนี้ยังฟ้องร้องครอบครัวของแพะรับบาปในเรื่องการแบ่งฟ้องค่าสินไหมทดแทนคดีนี้อย่างไม่รู้จบจักสิ้น

หลังจากนั้นความตายของเชอรี่แอน กลายเป็นตำนานฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่สุดในประเทศไทย ผลพวงของคดีนี้ที่ตามมาคือเกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการยุติธรรมมากมายทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษา

พ.ศ. 2539 สำนักงานอัยการสูงสุด จัดเสวนาวิชาการเรื่อง "คดีเชอรี่แอนกระบวนการจะคุ้มครองเสรีภาพของผู้บริสุทธิ์อย่างไร" จากการเสวนาครั้งนั้นได้มีการปรับปรุงขั้นตอนยุติธรรมบางอย่าง ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ด้วย

ที่มา : www.baanmaha.com/community/thread26012.html
www.baanmaha.com/community/thread26013.html


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

ในวันเกิดเหตุนายแสงชัยไปรับประทานอาหารกับนางวัชรี สุนทรวัฒน์ ภรรยาที่ร้านอาหารประจำย่านเมืองทองธานี หลังรับประทานอาหารเสร็จก็ขับรถยนต์วอลโว่กลับบ้าน เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้านเมืองทองธานี 3 ก็ถูกมือปืนตามประกบยิง ขณะมือปืนลงมือลั่นไก นางวัชรีเป็นคนขับ ส่วนนายแสงชัยนั่งอยู่เบาะหลัง คนร้ายใช้ปืนขนาด 9 มม.ยิงกระสุนทะลุกระจกถูกนายแสงชัยเสียชีวิตคาที่ และยังพยายามยิงนางวัชรีด้วย แต่กระสุนขัดลำกล้องนางวัชรีจึงรอดตายอย่างหวุดหวิด

ด้วยเหตุที่นายแสงชัยเป็นคนดังในขณะนั้น นอกจากจะเป็น ผอ.อสมท แล้วยังเป็นคอลัมนิสต์ชื่อดังในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ อีกทั้งยังจัดรายการฟุดฟิดฟอไฟ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ด้วย จึงทำให้ได้รับความสนใจจากสังคมมากเป็นพิเศษ

สื่อมวลชนทุกแขนงเสนอข่าวการสังหารนายแสงชัยอย่างครึกโครม กรมตำรวจสมัยนั้นจึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองอธิบดีกรมตำรวจ (ตำแหน่งในขณะนั้น) เข้ามากำกับดูแลคดีดังกล่าวด้วยตัวเอง ขณะที่หัวหน้าชุดสืบสวนทำหน้าที่โดย พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรักษ์ รองผบช.ก. (ยศและตำแหน่งขณะนั้น)

พ.ต.อ.ปรีชา กล่าวว่า หลังเกิดเหตุกรมตำรวจระดมนักสืบฝีมือดีเข้ามาคลี่คลายคดีดังกล่าวหลายชุด ทั้งในส่วนของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และกองบัญชาการตำรวจนครบาล

แต่แม้ว่าชุดสืบสวนจะพยายามแกะรอยติดตามจับกุมคนร้ายอย่างต่อเนื่องก็ไม่สามารถควานหาตัวได้พบ ทำได้เพียงตั้งปมประเด็นลอบสังหารไว้ที่การขัดผลประโยชน์กันในกลุ่มผู้บริหาร อสมท โดยเฉพาะบอร์ดบริหาร "ชุดสืบสวนแต่ละชุดต่างมีเป้าของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่ผู้บริหารในบอร์ด อสมท กลุ่มหนึ่ง แต่ก็ทำได้เพียงแค่สงสัย มีการเชิญผู้บริหารกลุ่มนั้นมาสอบปากคำหลายคน ซึ่งมีอดีตทหารรวมอยู่ด้วย แต่ก็ขาดหลักฐานเชื่อมโยง" พ.ต.อ.ปรีชา กล่าว

เวลาล่วงเลยไปกว่าเดือนเศษ คดียังไม่คืบหน้า ทำให้ชุดสืบสวนรู้สึกเครียด เพราะแต่ละคนเป็นระดับพระกาฬทั้งนั้น

"ผมเครียดนะตอนนั้น เพราะนักสืบแต่ละคนที่ระดมกันมานั้น ได้ชื่อว่าแถวหน้าทั้งสิ้น แต่เวลาล่วงเลยมานานเรายังไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้เลย มือปืนมีอยู่กี่ซุ้มเราตรวจสอบหมด แต่ก็ไม่มีใครที่รับงานสังหารนายแสงชัยเลย" พ.ต.อ.ปรีชา บอก

เมื่อเวลาผ่านไป การสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ค่อนข้างครอบคลุมมากขึ้น ประเด็นการสังหารก็เริ่มแสดงให้เห็นมากขึ้น ในตอนนั้นมีประเด็นใหม่ขึ้นมาจากความขัดแย้งระหว่างนายแสงชัย กับบอร์ดบริหาร อสมท รายหนึ่ง

นั่นก็คือนายแสงชัยไม่ยอมต่อสัมปทานให้แก่เจ้าแม่แห่งวงการวิทยุกระจายเสียงในพื้นที่ภาคเหนือคนหนึ่ง ชื่อ นางอุบล บุญญชโลธร ซึ่งเจ้าแม่รายนี้ไม่พอใจอย่างรุนแรง โดยก่อนที่นายแสงชัยจะถูกยิงมีข่าวว่านายแสงชัยพูดไม่เข้าหูนางอุบลว่า หากต่อสัญญาสัมปทานให้นางอุบล สู้เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า

"หลังจับมือปืนได้แล้ว เขารับสารภาพว่า คนว่าจ้างบอกให้ไปยิงผู้อำนวยการโรงเรียนที่ปากไม่ดีพูดไม่เข้าหู มือปืนเขารู้แค่นั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหยื่อของเขาคือนายแสงชัย ผอ.อสมท คนดัง" พ.ต.อ.ปรีชา กล่าว

การจับกุมมือปืนยิงนายแสงชัย ค่อนข้างเหลือเชื่อเกินความขาดหมาย โดยขั้นตอนการสืบสวนไม่ได้เริ่มจากคดีคนร้ายยิงนายแสงชัยเอง แต่ได้จากการขยายผลในคดีอื่น

หลังนายแสงชัยถูกยิงไม่นาน ก็เกิดคดียิงนายนรุตม์ สัตยาศัย เสี่ยเจ้าของกิจการเครื่องสุขภัณฑ์ ที่หน้าหมู่บ้านสัมมากร ท้องที่ สน.บางชัน โดยคนร้ายใช้ปืนขนาด 9 มม.เช่นเดียวกับที่คนร้ายใช้ยิงนายแสงชัย

"พ.ต.ต.ชัยรัตน์ เปี่ยมปรีดา สว.สส.สน.บางชัน ในขณะนั้น มาปรึกษาผม บอกว่าคนร้ายทำถุงกระดาษตกไว้ในที่เกิดเหตุ ภายในมีกระดาษแผ่นหนึ่งระบุห้องเลขที่ 405 ศิริสุขอพาร์ทเมนต์ ย่านรามคำแหง สารวัตรชัยรัตน์ เขาสงสัยว่าน่าจะเป็นของมือปืนจึงไปที่ห้องดังกล่าว พบนายกิตติพล อินทรปาน หรือโหน่ง อยู่ภายในห้อง จึงเชิญตัวมาสอบแต่เจ้าตัวปฏิเสธ ชัยรัตน์ จึงปล่อยตัวไป แล้วจึงมาปรึกษาผม" พ.ต.อ.ปรีชา กล่าว
รองผบก.หัวหน้าศูนย์สืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวต่อว่า ตอนแรกตกใจเพราะเชื่อมั่นว่าคนที่อยู่ในห้องพักดังกล่าวเป็นคนร้ายยิงนายนรุตม์แน่ จึงให้ พ.ต.อ.คณิศร์ชัย มหินทรเทพ ตอนนั้นเป็น สว.สส.น.เหนือ ให้ไปช่วย พ.ต.ต.ชัยรัตน์ สุดท้ายก็จับกุมนายกิตติพลได้ ซึ่งต่อมาเขาก็ยอมรับว่าร่วมกับพวกรับงานยิงนายนรุตม์จริง

คนร้ายกลุ่มนี้ใช้ปืนขนาด 9 มม.ขนาดเดียวกับที่ใช้ยิงนายแสงชัย พ.ต.อ.ปรีชาจึงสงสัยว่าอาจเชื่อมโยงกับกลุ่มที่ยิงนายแสงชัย จึงพยายามสอบเค้น ตอนแรกเขาก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่โชคดีที่ต่อมาภรรยาเขามาเยี่ยม จึงได้สอบถามภรรยาเขาก็หลุดออกมาว่า กลุ่มนี้รับงานยิงคนที่เป็นข่าวดังในพื้นที่ปากเกร็ดด้วย

"ภรรยาเขาพูดว่าสามีเขาพัวพันกับคดียิงคนที่เป็นข่าวดังด้วย เราก็เลยสอบเค้นนายโหน่งอย่างหนัก สุดท้ายเขาเลยรับสารภาพว่าเป็นทีมสังหารนายแสงชัยจริง โดยมือปืนคือนายนฤทุกข์ หรือกิต อุ่นตระกูล ดีกรีนักกีฬายิงปืนระดับเขต มีคนร่วมงานคือนายสุนันท์ หรือดำ วงศ์คำหาญ นายกนกศักดิ์ หรือหนึ่ง อินทร์สมาน และนายชนะ หรือเล็ก คงหนุน เป็นทีมงาน" พ.ต.อ.ปรีชา กล่าว

พ.ต.อ.ปรีชากล่าวว่า ฉุกคิดมาตั้งแต่ต้นว่ามือปืนที่ลงมือยิงนายแสงชัยจะเป็นมือปืนโนเนม ซึ่งก็เป็นจริงตามคาด ทีมสังหารกลุ่มนี้เพิ่งรับงานฆ่าไม่กี่งาน จึงยังไม่มีประวัติอยู่ในแฟ้มมือปืน "ตอนผมจับเขาก็มีการสอบสวนขยายผลอย่างละเอียด เขาบอกว่าพอรับจ้างสังหารไม่นาน ก็มีคนมาจ้างให้สังหารเยอะ จนยิงกันแทบไม่ทัน ยิงนายแสงชัยไม่นานก็รับงานอื่นต่อทันทีแทบไม่ได้พัก" มือปืนกลุ่มนี้ถูกส่งตัวฟ้องศาลในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ซึ่งศาลพิพากษาประหารชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุกตลอดชีวิต

ขณะที่ การขยายผลติดตามจับกุมกลุ่มผู้บงการก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว เพราะหลังจากได้ตัวมือปืน ก็มีการซัดทอดถึงตัวผู้บงการคือนายทวี พุทธจันทร์ บุตรเขยของนางอุบล ซึ่งรับคำสั่งต่อมาจากนางอุบล นั่นเอง ก่อนที่นายแสงชัยจะมารับตำแหน่ง ผอ.อสมท นางอุบลเป็นผู้กว้างขวางในแวดวงสถานีวิทยุกระจายเสียงในพื้นที่ภาคเหนือ ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าแม่แห่งวิทยุกระจายเสียงภูธร แต่ต่อมามีปัญหาว่าการจัดรายการที่ออกอากาศในสถานีวิทยุกระจายเสียงในควบคุมของนางอุบล มักใช้เป็นช่องทางในการโจมตีรัฐบาล

เมื่อนายแสงชัยเข้ามารับตำแหน่งก็ครบวาระที่จะต้องต่อสัญญาใหม่พอดี นายแสงชัยจึงอาศัยโอกาสนี้ไม่ต่อสัญญาสัมปทานให้ สร้างความโกรธแค้นให้แก่นางอุบลเป็นอย่างยิ่ง จึงมอบหมายให้นายทวีลูกเขย ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.เชียงราย จัดหาทีมสังหารให้ นายทวีเลือกใช้บริการของนายวิศิษฐ์ พึ่งรัศมี อดีตข้าราชการกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นผู้จัดหาทีมสังหารให้ ซึ่งนายวิศิษฐ์ ในยุคนั้นเป็นที่รู้จักกว้างขวาง พัวพันกับธุรกิจไนท์บาซาร์ที่เชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าซุ้มมือปืนด้วย นายวิศิษฐ์เลือกส่งงานให้นายนฤทุกข์ เพราะเป็นมือปืนหน้าใหม่ ป้องกันการสาวถึงตัวเอง

ปัจจุบันนายทวียังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ขณะที่นางอุบลถูกสังหารเสียชีวิต ส่วนซุ้มมือปืนของนายวิศิษฐ์ถูกคอมมานโดปราบปรามอย่างหนัก ต่อมานายวิศิษฐ์ก็ถูกจับกุมดำเนินคดี

ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20090328/7181/


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2539 เวลา 04.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางซื่อ ได้รับแจ้งเหตุฆ่ากันตายที่บ้านเลขที่ 28-34 ซอยอารีย์ 3 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านของนายไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐหรือเสี่ยตั้งฮั้ว เจ้าของฉายา " เจ้าพ่ออีสานใต้" จึงรีบรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบว่าบ้านหลังดังกล่าวตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ มีบ้านอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันอีก 3 หลัง เมื่อขึ้นไปห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นที่ 3 ของคฤหาสน์หลังใหญ่ พบศพนายไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีหลายสมัย เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สภาพศพถูกฟันด้วยมีดเข้าที่บริเวณซอกคอด้านขวา แขนซ้าย ใบหน้า จมูก และศรีษะด้านหลัง รวมแล้วกว่า 10 แผล แต่ละแห่งล้วนเป็นแผลฉกรรจ์ ในห้องพบเลือดไหลนองเต็มพื้นห้องและกระเซ็นติดตามผนังห้องไปทั่ว ในที่เกิดเหตุพบมีดเดินป่าแบบสปาต้าเปื้อนเลือดตกอยู่ 1 เล่ม คาดว่าเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้สังหารนายไชยศิริ

ที่บริเวณด้านล่างของตัวบ้านพบทหารสังกัดกองพันสารวัตรทหารที่ 1 และเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบ้านจำนวน 2 นาย สามารถจับกุมตัวคนร้ายที่สังหารนายไชยศิริได้ 1 คน สวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงยีนขายาวสีดำ มีหมวกไหมพรมคลุมหน้า สวมถุงมือสีดำ ทราบชื่อในเวลาต่อมาว่า นายอำนาจ เอกพจน์ โดยถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 11 ม.ม.เข้าที่สะโพกซ้ายทะลุต้นขาซ้าย 1 นัด ที่บริเวณปากและใบหน้าบวมปูดเต็มไปด้วยเลือด นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ที่พื้นบ้าน ตรวจค้นภายในตัวพบปืนพกขนาด .380 ยี่ห้อโคลท์มัสแตง ทะเบียน กท 2416320 จำนวน 1 กระบอก มีกระสุนในรังเพลิง 2 นัด ในซองบรรจุกระสุน 4 นัด และยังพบกระสุนอีก 1 นัดตกอยู่ที่พื้น นอกจากนี้ยังพบวิทยุมือถือรับส่งพร้อมหูฟังจำนวน 1 เครื่อง มีดสปริงพับ 1 เล่ม ไฟฉายขนาดเล็ก 1 กระบอก

จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายไชยศิริไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของลูกสาว ซึ่งปลูกอยู่ในพื้นที่เดียวกัน จนกระทั่งเวลาประมาณ 02.00 น. จึงกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองที่บ้านใหญ่ สักพักภรรยาของนายไชยศิริซึ่งนอนอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้านใหญ่ ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากชั้น 3 ที่ผู้ตายนอนอยู่ ภรรยานายไชยศิริจึงวิ่งไปเคาะประตูบันไดทางขึ้นไปห้องนอนชั้น 3 แต่ไม่สามารถเปิดประตูได้ จึงวิ่งไปบอกรปภ.ให้ไปดู เนื่องจากสงสัยว่าจะเกิดเหตุร้ายกับสามีตน เมื่อรปภ.ไปถึง ได้ใช้แชลงงัดประตูบันไดเพื่อขึ้นไปช่วยเหลือ ในระหว่างที่กำลังงัดประตูอยู่นั้นยังได้ยินเสียงนายไชยศิริตะโกนออกมาว่า " มึงมาทำกูทำไมวะ" แล้วเงียบเสียงไป สักพักมีรปภ.ที่อยู่ชั้นล่างตะโกนขึ้นว่า "นั่นไงคนร้าย กำลังโหนตัวลงจากชั้นสาม" รปภ.ที่อยู่ชั้นบนจึงวิ่งตามลงไป นายอำนาจซึ่งวิ่งไปถึงกำแพงรั้วด้านซอยอารีย์ 4 เห็นรปภ.วิ่งตามมา จึงได้ยิงปืนสวนเข้าใส่รปภ. 3 นัดแต่กระสุนไม่ถูกผู้ใด รปภ.นายหนึ่งจึงยิงใส่นายอำนาจจนหมดแมกกาซีนแต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน นายอำนาจหันกลับมาจะยิงใส่รปภ.อีก เป็นจังหวะเดียวกับที่รปภ.อีกนายวิ่งมาถึง จึงยิงปืนเข้าใส่นายอำนาจ 1 นัด กระสุนเจาะเข้าสะโพกล้มลงทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นรปภ.ทั้งหมดจึงเข้ารุมสกรัมจนนายอำนาจสลบลงไป แล้วทำการควบคุมตัวไว้ดังกล่าว

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบดังนั้น จึงรีบนำนายอำนาจส่งโรงพยาบาล โดยใช้กำลังตำรวจคุ้มกันอย่างหนาแน่น ป้องกันการถูกฆ่าปิดปาก หลังจากที่นายอำนาจได้รู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนทันที เบื้องต้นนายอำนาจอ้างว่าตนเป็นเพียงคนชี้เป้า ส่วนเพื่อนอีกคนเป็นผู้ลงมือสังหาร และในช่วงชุลมุนยิงต่อสู้กันอยู่นั้น มือสังหารได้หลบหนีออกไปได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เชื่อคำให้การแต่อย่างใด และสาเหตุนั้นเชื่อว่านายอำนาจตั้งใจที่จะฆ่านายไชยศิริโดยตรง เนื่องจากไม่ได้แตะต้องทรัพย์สินใดๆภายในห้องที่เกิดเหตุ

จากการตรวจสอบประวัตินายอำนาจพบว่า เป็นลูกน้องคนสนิทของนายนิรันดร ลูกชายคนโตของนายไชยศิริ และเป็นช่างซ่อมโทรศัพท์ภายในคอนโดมิเนียมที่นายนิรันดรเป็นผู้จัดการอยู่ รวมทั้งนายอำนาจยังเคยมาทำการซ่อมโทรศัพท์ที่บ้านนายไชยศิริ 2-3 ครั้ง และรู้ทางเข้าออกบ้านเป็นอย่างดี ระยะหลังนายอำนาจกลายเป็นคนสนิทติดตามนายนิรันดรไปทุกแห่ง

หลังจากถูกสอบสวนอยู่พักใหญ่ นายอำนาจได้ให้การรับสารภาพอย่างหมดเปลือก ถึงสาเหตุในการสังหารเจ้าพ่ออีสานใต้ครั้งนี้ โดยให้การว่าผู้บงการสังหารนายไชยศิริ คือนายนิรันดรลูกชายแท้ๆของนายไชยศิรินั่นเอง ซึ่งจ้างตนในราคา 200,000 บาท ก่อนเกิดเหตุเวลา 21.00 น.ของคืนวันที่ 1 มิถุนายน 39 นายนิรันทร์เป็นผู้ขับรถนำตนเข้าไปภายในบ้านด้วยการให้ซ่อนตัวอยู่ภายในรถ แล้วให้เข้าไปหลบอยู่ในห้องนอนนายนิรันดรที่ชั้น 2 ส่วนนายนิรันดรเมื่อนำตนมาซ่อนตัวเสร็จก็รีบขับรถออกไป ซึ่งตนได้นอนรอเวลาอยู่ที่ห้องนายนิรันดรเป็นเวลานานถึง 6 ชั่วโมง เพื่อรอให้นายไชยศิริหลับเสียก่อน จากนั้นตนจึงปีนขึ้นไปห้องนอนนายไชยศิริที่ชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องนอนพิเศษติดกระจกกันกระสุนรอบห้อง เนื่องจากนายไชยศิริเป็นคนมีศัตรูมาก ต้องระวังตัวเองตลอดเวลา และสาเหตุที่ใช้มีดสปาต้าในการสังหารเพราะเงียบดีกว่ายิงด้วยปืน เมื่อเข้าไปในห้องนอนได้แล้ว นายไชยศิริเกิดรู้ตัวตื่นขึ้นมาเสียก่อน จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น โดยนายไชยศิริพยายามหยิบปืนที่หัวเตียงขึ้นมาต่อสู้ ตนจึงฟันใส่ที่ใบหน้าหลายครั้งและได้เชือดคอจนเลือดพุ่งกระฉูด นายไชยศิริได้ล้มฟุบลง ตนเห็นดังนั้นจึงรีบหนีออกมาจากห้อง โดยมีเพื่อนร่วมทีมสังหาร 2 คน จอดรถรออยู่ที่ริมรั้วบ้านตั้งแต่หัวค่ำ แต่จังหวะที่ปีนลงมาจากหน้าต่างบ้านถึงกันสาดเพื่อไปยังจุดนัดพบ รปภ.ของบ้านได้ออกมาพบตนเข้า จึงเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น ซึ่งตนถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บมาอย่างที่เห็น

เวลา 17.00 น.ของวันที่ 2 มิถุนายน 39 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถเก๋งโตโยต้าคราวน์สีขาว จอดอยู่ภายในซอยอารีย์ 4 ซึ่งอยู่ติดกับด้านหลังของคฤหาสน์ที่เกิดเหตุ สภาพรถถูกล็อกประตูทุกบาน กระจกติดฟิล์มกรองแสงทึบ จึงลากมาไว้ที่สน.บางซื่อเพื่อทำการตรวจค้นภายในรถ หลังจากเปิดประตูรถได้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบคันเบ็ดและเครื่องมือตกปลา วิทยุสื่อสารมือถือ โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าจำนวนหนึ่ง ซึ่งสิ่งของทั้งหมดรวมทั้งรถคันดังกล่าว เป็นของนายนิรันดรลูกชายนายไชยศิริ

วันที่ 3 มิถุนายน 2539 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนขยายผลถึงสาเหตุการสังหารนายไชยศิริ ซึ่งเชื่อว่านายนิรันดรเป็นผู้บงการสังหารพ่อตัวเอง โดยสาเหตุเกิดจากการทะเลาะกับผู้เป็นพ่อ เนื่องจากนายไชยศิริดุด่าเรื่องที่นายนิรันดรไม่สนใจการงาน และเรื่องที่มีภรรยาเป็นคนต่างชาติ รวมทั้งเรื่องมรดกที่นายไชยศิริได้ทำพินัยกรรมไว้แล้ว และจากการสอบสวนเชื่อว่ามีผู้ร่วมก่อเหตุด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน คือนายนิรันดรผู้บงการ นายอำนาจมือสังหาร และนายภุชงค์ แนวจำปา ลูกน้องนายนิรันทร์อีกคนหนึ่งเป็นผู้ดูต้นทางและพาหลบหนีเมื่องานสำเร็จ

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการตรวจค้นคอนโดฯที่นายนิรันดรและนายอำนาจพักอาศัยอยู่ ผลการตรวจค้นมีดังนี้ ห้องพักของนายอำนาจซึ่งอยู่ที่ชั้นใต้ดินของอาคาร พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล(เคโมมาย) 1 ทุ่น ไดนาไมต์ 10 แท่ง ดินน้ำมัน 1 ก้อน กระเป๋าสะพายใส่กล้องสีเทา 1 ใบ ภายในกระเป๋าบรรจุด้วยชุดภาครับสัญญาณวิทยุ 1 ชุด แผ่นโฟมมีตะปูและลูกปลายติดเทปกาวพันไว้รอบแผ่นโฟม 5 แผ่น ชุดสัญญาณคลื่นวิทยุ 1 ชุด วิทยุติดตามตัวมีสายไฟแดง-ดำต่อไว้ 1 เครื่อง เชื้อประทุไฟฟ้า 88 ดอก

ห้องพักนายนิรันดรซึ่งอยู่ชั้นที่ 2 พบดินระเบิดไดนาไมต์ผสมซี 4 มีตะปูผสมอยู่ภายในหนักประมาณ 10 กิโลกรัม 1 ห่อ ซึ่งบรรจุไว้ในกระเป๋าเจมส์บอนด์ขนาดเล็ก 1 ใบแล้วนำไปบรรจุไว้ในกระเป๋าเจมส์บอนด์ใบใหญ่อีกชั้นหนึ่ง โลหะลูกปรายบรรจุภายในกระเป๋าเจมส์บอนด์ขนาดเล็กวางไว้ใต้ห่อดินระเบิด 1 ห่อ เชื้อประทุไฟฟ้า 12 ดอก นาฬิกาปลุก 1 เรือน ถุงมือพลาสติก 3 คู่ หน้ากากโฟมกรองอากาศ 8 อัน กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 1 ใบ

บริเวณห้องใต้ถุนอาคารคอนโดฯ พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล(เคโมมาย) 1 ทุ่น ไดนาไมต์ 1 แท่ง เชื้อประทุไฟฟ้า 3 ดอก ตัวตั้งเวลาพร้อมสวิตช์ 6 ชุด สวิตช์โยก 7 อัน สายไฟแดง-ดำ 1 ม้วน แบตเตอรี่ขนาด 9 โวลต์ 3 ก้อน ถ่านไฟฉายขนาด 1.5 โวลต์ 11 ก้อน ลังถ่านชนิด 4 ก้อนเล็ก 4 อัน ชุดหน่วงเวลา 2 ชุด ถุงมือยาง 2 คู่ ตะปูเข็ม 1 ห่อ หลอดไฟฉาย 4 หลอด หนังสือคู่มือการทำระเบิดแสวงเครื่อง 11 เล่ม การ์ดอวยพรเป็นเพลงดนตรี 3 แผ่น ใบคัตเตอร์ 1 เล่ม ใบสั่งซื้อสินค้า 1 แผ่น

จากการสอบสวนนายอำนาจถึงที่มาของระเบิดจำนวนมาก ซึ่งสามารถระเบิดตึกทิ้งได้ทั้งหลัง ทราบว่าเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ นายนิรันดรเป็นผู้นำมาจากจังหวัดอุบลฯ แต่ตนไม่ทราบว่านำมาจากใคร ตามแผนการสังหารนายไชยศิริที่วางไว้ ถ้าการบุกไปสังหารนายไชยศิริภายในบ้านเกิดการผิดพลาด นายนิรันดรก็จะใช้ระเบิดที่พบซุกซ่อนในกระเป๋าเจมส์บอนด์ นำไปใส่ใว้ในท้ายรถนายไชยศิริ ซึ่งระเบิดดังกล่าวจะจุดชนวนระเบิดโดยใช้คลื่นวิทยุติดตามตัวเป็นตัวจุดชนวน และนายนิรันดรยังได้สอนวิธีการต่อชนวนระเบิดให้ตนอีกด้วย ซึ่งนายนิรันดรได้พาพวกตนไปทดลองระเบิดบนดาดฟ้าของคอนโดฯ ซึ่งผลการทดลองประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

เมื่อได้หลักฐานดังกล่าวแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขออนุมัติออกหมายจับนายนิรันทร์ต่อผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยเขต 4 ซึ่งได้รับการอนุมัติตามที่ขอ ส่วนนายภุชงค์ยังไม่ได้ออกหมายจับแต่อย่างใด เพราะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบก่อน จึงจะออกหมายจับได้

วันที่ 4 มิถุนายน 2539 เวลา 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ต.ด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบศพนายนิรันดร เรืองกาญจนเศรษฐ์ ผู้บงการฆ่าพ่อบังเกิดเกล้าตัวเอง ยิงตัวตายที่บ้านหลังหนึ่งบริเวณทุ่งแสด หมู่ที่ 1 ตำบลจอมอ้น อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี จึงรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที เมื่อไปถึงพบศพชายนอนหงายเลือดท่วมตัว ในห้องเก็บของชั้นบนของตัวบ้าน สภาพศพสวมเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นหูรูดสีน้ำเงินขลิบขาวและสวมรองเท้าผ้าใบ พบบาดแผลรอยกระสุนปืนที่ขมับขวา กระสุนไปตุงที่ขมับซ้าย 1 นัด ข้างศรีษะด้านขวาพบอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด 6.35 ม.ม. บาเรตต้า ไม่มีหมายเลขทะเบียนตกอยู่ 1 กระบอก ภายในห้องพบเสบียงอาหาร เสื้อผ้า กระเป๋าเงิน และบัตรเครดิตของธนาคารต่างๆหลายใบ สมุดเงินฝากอีก 1 เล่ม จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้น เชื่อว่าน่าจะใช่ศพนายนิรันดร จึงรีบนำศพดังกล่าวไปตรวจสอบที่สถาบันนิติเวชเพื่อยืนยันให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบพยานในที่เกิดเหตุทราบว่า นายนิรันดรและนายภุชงค์ได้มาพักที่บ้านหลังดังกล่าวเมื่อเย็นวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนเกิดเหตุตนได้นั่งดูโทรทัศน์ที่ชั้นล่างกับลูกอยู่ เห็นนายภุชงค์วิ่งร้องไห้ลงมาจากชั้นบน ละล่ำละลักบอกตนว่านายนิรันดรได้ยิงตัวตายแล้ว โดยเล่าให้ตนฟังว่านายนิรันดรเกิดอาการเครียดจัดและร้องไห้ตลอดเวลา จากนั้นได้เอาปืนออกมาและบอกว่าจะขอฆ่าตัวตาย นายภุชงค์ได้พยายามห้ามและเข้าแย่งปืน แต่สุดท้ายนายภุชงค์ไม่อาจต้านทานได้ จึงหลบไปอยู่มุมห้องอีกด้านหนึ่ง หลังนายนิรันดรได้ฆ่าตัวตาย นายภุชงค์รีบวิ่งลงมาชั้นล่างบอกเล่าให้ตนฟังแล้วก็หายตัวไป ไม่ทราบว่าไปทางไหน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกติดตามหาตัวนายภุชงค์เพื่อนำตัวมาสอบสวนต่อไป

วันที่ 5 มิถุนายน 2539 เวลา 23.50 น. นายภุชงค์ แนวจำปาได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.น.เหนือ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปรับตัวที่บริเวณสะพานแขวนพระราม 9 เจ้าหน้าที่รีบไปที่จุดนัดพบและพบนายภุชงค์รออยู่กับพี่ชาย จึงนำตัวกลับมาที่กก.สส.น.เหนือทันที

วันที่ 6 มิถุนายน 2539 เวลา 11.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายภุชงค์ไปสอบสวนที่สน.บางซื่อ ซึ่งนายภุชงค์ให้การว่า วันเกิดเหตุสังหารนายไชยศิรินั้น นายนิรันดร นายอำนาจและตน ได้ร่วมวางแผนกันที่คอนโดฯของนายนิรันดร โดยนายนิรันดรเป็นผู้เขียนแผนที่ให้นายอำนาจดู และยังเป็นผู้จัดหาอาวุธมีดที่ใช้สังหาร ปืนและวิทยุสื่อสาร รวมทั้งเสื้อผ้าสำหรับพรางตัวอีกด้วย หลังวางแผนเสร็จนายนิรันดรพานายอำนาจและตนไปที่บ้านหลังเกิดเหตุ เมื่อไปถึงเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากพานายอำนาจไปหลบซ่อนตัวในบ้านเรียบร้อย ตนและนายนิรันดรขับรถไปจอดซุ่มรอที่ซอยอารีย์ 4 โดยนัดหมายว่าถ้างานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นายอำนาจกดคีย์วิทยุ 3 ครั้ง และถ้าเส้นทางหลบหนีสะดวก นายนิรันดรก็จะกดคีย์ตอบ 3 ครั้งเช่นกัน

จนกระทั่งเวลาประมาณ 03.00 น. ตนได้ยินเสียงสุนัขในบ้านนายไชยศิริเห่าดังขึ้นมา ตามด้วยเสียงปืนอีกหลายนัด ทำให้นายนิรันดรทราบว่าแผนการล้มเหลว จึงหันมาพูดกับตนว่า " ภุชงค์ผมแพ้แล้ว ผมจะต้องฆ่าตัวตาย" แล้วขับรถหนีออกมาทันที ตลอดทางนายนิรันดรได้พูดแต่เรื่องที่จะฆ่าตัวตาย เมื่อมาถึงฝั่งธนฯได้จอดรถทิ้งไว้แล้วนั่งแท็กซี่ต่อไปที่นครปฐม โดยตั้งใจว่าจะหนีลงภาคใต้แล้วเข้าประเทศมาเลเซียต่อไป แต่เมื่อเดินทางถึงถึงนครปฐมแล้ว เกิดเปลี่ยนใจไปหลบซ่อนตัวที่จังหวัดราชบุรี ช่วงที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น นายนิรันดรและตนคอยติดตามข่าวการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดเวลา นายนิรันดรอยู่ในอาการเครียดมากมักจะพูดเสมอว่าแพ้แล้วก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่

จนเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 39 นายนิรันดรได้อาบน้ำ โกนหนวดเครา แล้วถามตนว่า " ผมหล่อหรือยังภุชงค์ จะตายทั้งทีต้องหล่อหน่อย " ตนจึงพูดว่าถ้าจะฆ่าตัวตายไม่ควรฆ่าในบ้าน เพราะจะทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อนไปด้วย นายนิรันดรจึงตัดสินใจจะไปฆ่าตัวตายนอกบ้าน แต่ขณะที่กำลังจะออกนอกบ้าน ภรรยาเจ้าของบ้านบอกว่าเห็นรถ 2 คันวิ่งผ่านหน้าบ้านไป นายนิรันดรกลัวว่าจะเป็นตำรวจ จึงวิ่งหนีขึ้นไปชั้นบนและเรียกตนให้ขึ้นตามไปด้วย เมื่อขึ้นไปกันแล้วได้ปิดล็อกประตูห้อง นายนิรันดรได้พูดกับตนว่า " ถึงเวลาที่ต้องฆ่าตัวตายแล้ว" ตนเห็นดังนั้นได้พยายามร้องห้ามปรามอยู่หลายครั้ง แต่นายนิรันดรได้กล่าวว่า " เกิดเป็นคนกลัวตายทำไม เกิดครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียว เมื่อเป็นผู้แพ้ จะไม่ยอมให้สังคมประจานหรือยอมติดคุกเด็ดขาด ลำพังแค่ถูกใส่กุญแจมือก็รับไม่ได้แล้ว" จากนั้นนายนิรันดรได้รำพึงรำพันออกมาอีกว่า " ไอ้ต้อ(นายอำนาจ)ไม่น่าพลาดเลย มันก็เป็นคนฉลาด ไม่น่าทำพลาดจนถูกเขายิง ชีวิตกูพลาดเพราะมันคนเดียว" เสร็จแล้วหันมาพูดขอร้องตน " กูขอร้องเอ็งเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมว่าเมื่อกูยิงตัวตายไปแล้ว หากว่ากูไม่ตายทันทีขอให้ช่วยยิงซ้ำ เพราะจะได้ไม่ทรมาน แค่นี้มึงทำได้ไหม" ตนจึงรับปากตกลงไป จากนั้นได้ให้ตนมานั่งตรงหน้า ส่วนนายนิรันดรนั่งพิงฝาผนัง ใช้หมอนปิดหน้า แล้วเอาปืนจ่อที่ขมับตัวเอง ตนนั่งก้มหน้าเอามืออุดหูหลับตา แต่ยังได้ยินนายนิรันดรนับ " หนึ่ง-สอง-สาม" แล้วก็มีเสียงปืนดังปังขึ้นมา เมื่อตนลืมตาขึ้น เห็นนายนิรันดรนอนดิ้นเลือดเจิ่งนอง ตนจึงหยิบปืนขึ้นมาจะยิงซ้ำ แต่นายนิรันดรได้แน่นิ่งไปก่อน ตนจึงเอาปืนวางไว้ในมือตามเดิม

นอกจากนี้นายภุชงค์ยังให้การอีกว่า เหตุการณ์ระเบิดที่ดิสโก้เธคในโรงแรมปทุมรัตน์ จังหวัดอุบลฯ ซึ่งเป็นของนายไชยศิริ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2538 จนมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 8 ราย เป็นผลงานของนายนิรันดรที่ตั้งใจจะสังหารพ่อ แต่พลาดไปถูกนักเที่ยวผู้ไม่รู้เรื่องราวตายและบาดเจ็บ ซึ่งนายนิรันดรเคยพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวให้นายภุชงค์ฟัง พร้อมกับนำภาพเหตุการณ์ระเบิดมาให้นายภุชงค์และนายอำนาจดูหลายครั้ง และยังเคยพูดว่า " นี่ขนาดระเบิดเพียง 5-6 แท่งเท่านั้น รัศมีและการทำลายยังมากขนาดนี้ แผนต่อไปจะใช้ระเบิด 55 แท่ง ร่วมกับระเบิดซีโฟร์ คิดดูจะมีอำนาจขนาดไหน" ต่อมาเมื่อต้นปี 2539 นายนิรันดรยังได้ส่งจดหมายระเบิดไปให้พ่อของตัวเอง เมื่อนายไชยศิริเปิดออกดู และได้เกิดการระเบิดขึ้น แต่ไม่รุนแรงถึงบาดเจ็บ นายไชยศิริจึงไม่ได้แจ้งความหรือออกข่าวแต่อย่างใด

หลังจากที่นายอำนาจและนายภุชงค์ได้รับสารภาพถึงเหตุการณ์สังหารนายไชยศิริมาหมดสิ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สรุปสำนวนส่งมอบให้อัยการทำการส่งฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพฯ เพื่อดำเนินคดีกับทั้งสองต่อไป

วันที่ 25 กรกฎาคม 2539 เวลา 14.15 น ที่ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลอาญากรุงเทพฯ(รัชดา) คณะผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการกองคดีอาญา กอง 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายอำนาจ เอกพจน์ และนายภุชงค์ แนวจำปา เป็นจำเลยความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วยความโหดร้ายทารุณ มีและพกพาอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ โดยตัดสินให้ประหารชีวิตนายอำนาจ เอกพจน์ และจำคุกตลอดชีวิตนายภุชงค์ แนวจำปา

หลังฟังคำพิพากษาของศาล นายอำนาจถึงกับก้มหน้าร้องไห้โฮออกมา ญาติพี่น้องและภรรยาต่างเข้ามาแสดงความเสียใจ ส่งเสียงร้องไห้ระงมไปทั้งห้องพิจารณา เมื่อเจ้าหน้าที่นำทั้งสองออกมาจากห้องพิจารณาคดี ระหว่างทางนายอำนาจซึ่งยังใช้ไม้เท้าพยุงกายอยู่ ได้เกิดอาการช็อกและอาเจียนออกมา หลังจากนั้นได้หันไปจูบลาลูกซึ่งมีอายุเพียง 2-3 เดือน ทำให้ญาติพี่น้องร้องไห้ระงมขึ้นมาอีก เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งสองส่งเรือนจำกลางบางขวาง โดยคุมขังข.ช.อำนาจไว้ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 คุมขังข.ช.ภุชงค์ไว้ที่ฝ่ายควบคุมนักโทษแดน 2 ซึ่งทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ตามสิทธิ์ในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ข.ช.อำนาจได้ใช้สิทธิ์ในการขอยื่นฎีกาต่อศาล แต่ข.ช.ภุชงค์ได้สละสิทธิ์ในการขอยื่นฎีกา กลายเป็นนักโทษเด็ดขาดไปก่อน ผลการพิจารณาของศาลฎีกา ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ เป็นนักโทษประหารเด็ดขาดรอการประหารชีวิต น.ชอำนาจได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2542 เวลา 10.00น. หลังจากได้รับแจ้งว่าจะมีการประหารชีวิตแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปจัดเตรียมกุญแจมือและมีดตัดด้ายดิบ พร้อมกับสวดมนต์ไหว้พระทำใจให้สงบ

เวลา 16.10 น. ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีก 10 นาย (เสริมกำลัง 8 นาย) ได้เข้าไปเบิกตัวนักโทษประหารทั้งหมด โดยมีพี่เลี้ยงที่มาเสริมกำลังเป็นผู้นำน.ช.อำนาจออกมาที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ เมื่อนำนักโทษทั้งหมดมาครบแล้ว ข้าพเจ้าเห็นน.ช.อำนาจนั่งน้ำตาไหลอยู่ จึงเดินเข้าไปเพื่อปลอบใจ น.ช.อำนาจได้สะอื้นขึ้นมาและพูดว่า " ชีวิตผมทำไมถึงสั้นแค่นี้ ผมรับสารภาพมาตลอดแต่ทำไมถึงไม่ได้รับการลดหย่อนโทษให้เลย ลูกผมก็ยังเล็ก พี่ผมต้องขายข้าวเลี้ยงดูครอบครัวแทนผม ผมอยากเห็นหน้าครอบครัวผมจังเลยครับ" ข้าพเจ้าได้พูดไปว่า " อำนาจต้องเข้าใจนะ ในเมื่ออำนาจทำผิด ก็จำเป็นที่จะต้องรับกรรมที่ก่อขึ้น ที่ไม่ได้ลดหย่อนโทษเพราะอำนาจจำนนต่อพยานหลักฐาน ข่าวอำนาจเป็นข่าวดัง ผมเองก็ติดตามข่าวมาตลอด อำนาจไม่น่ารับทำงานนี้แต่ต้นเลย" น.ช.อำนาจ " หัวหน้าครับ พี่นิรันดรเขามีบุญคุณกับผมมาก ช่วยเหลือผมมาตลอด เมื่อมาขอให้ผมทำงานให้ ผมจะปฏิเสธได้ยังไง ผมทำเพื่อทดแทนบุญคุณครับ เรื่องเงินค่าจ้างเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น" หลังจากนั้นได้หันไปลาเจ้าหน้าที่ประจำห้องประหารแดน 1 ซึ่งตามมายืนดูอยู่ด้วย " หัวหน้าครับ ต่อไปหัวหน้าต้องหาคนชงกาแฟใหม่แล้ว ผมขอลาก่อน ถ้าญาติพี่น้องมารับศพผม ให้บอกด้วยว่าผมรักทุกคน ขอให้ทุกคนเป็นคนดี อย่าได้ทำอย่างผมกันเลยนะครับ" เจ้าหน้าที่นายนั้นได้บอกว่า " ไม่เป็นไรแล้วจะบอกให้ ขอให้อำนาจไปดีนะ"

เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากรและฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังได้แยกย้ายกันพิมพ์ลายนิ้วมือนักโทษทั้งหมด ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯเห็นว่าไม่มีนักโทษรายใดมีปัญหา จึงอนุญาตให้ไขกุญแจมือออกได้ เมื่อเสร็จแล้วเวรผู้ใหญ่ได้เข้ามาอ่านคำสั่งสำนักนายกฯ ให้นักโทษประหารทั้งหมดฟังทีละราย เนื่องจากเป็นการถวายฎีกาทูลเกล้าฯกันคนละคดี โดยอ่านให้น.ช.อำนาจฟังเป็นรายที่ 4 เสร็จแล้วให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย หลังจากนั้นพี่เลี้ยงได้ช่วยกันยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้นักโทษทั้งหมด ซึ่งน.ช.อำนาจไม่แตะต้องอาหารแต่อย่างใด

เสร็จจากอาหารมื้อสุดท้าย ได้นำนักโทษทั้งหมดเข้าฟังการเทศนาธรรมจากพระสงฆ์เป็นครั้งสุดท้าย หลังฟังเทศน์เสร็จ ได้ให้น.ช.อำนาจนั่งรอที่หมวดผู้ช่วยเหลือพร้อมนักโทษประหารอีก 3 ราย ส่วนข้าพเจ้านำน.ช.สมคิด วรรณโชติ ไปเข้าหลักประหารเป็นรายแรก เสร็จแล้วได้แจ้งให้พี่เลี้ยงที่มาเสริมกำลังนำน.ช.อนันต์ โครตสมบัติ และน.ช.สุรศักดิ์ ยิตซังเข้าไปประหารเป็นชุดที่ 2 สุดท้ายจึงเป็นคิวของน.ช.อำนาจ เอกพจน์ และน.ช.สมพร เชยชื่นจิตร

เมื่อพี่เลี้ยงนำน.ช.อำนาจไปถึงศาลาเย็นใจ ข้าพเจ้าได้รับช่วงต่อจากพี่เลี้ยงชุดนั้น นำดอกไม้ธูปเทียนใส่มือ พี่เลี้ยงอีกนายทำการผูกตา แล้วช่วยกันประคองน.ช.อำนาจเข้าไปที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ในเวลานั้นที่หลักประหารหลักที่หนึ่งมีเลือดติดอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเพิ่งทำการประหารไป 2 ราย ส่วนหลักที่สองเพิ่งทำการประหารไปเพียงรายเดียวจึงไม่มากนัก เมื่อทำการผูกมัดตัวน.ช.อำนาจให้ติดกับหลักและทำการตั้งเป้าแล้ว ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีก 2 นายต้องไปทำการผูกมัดตัวน.ช.สมพร ที่หลักประหารหลักที่สองอีก จนเสร็จสิ้นขั้นตอน ข้าพเจ้าได้กล่าวขออโหสิกรรมต่อนักโทษทั้ง 2 และแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ

พลเล็งปืนได้เข้าทำหน้าที่ เสร็จแล้วเพชฌฆาตมือหนึ่งและสอง ได้เข้าประจำตำแหน่งพร้อมกัน เมื่อตรวจเช็คศูนย์ปืนเสร็จแล้ว หัวหน้าชุดประหารได้โบกธงลง เพชฌฆาตทั้งสองได้เหนี่ยวไกลั่นกระสุนออกไปพร้อมกันทันที " ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ " เสียงดังระงมไปหมด ใช้กระสุนในการประหารน.ช.อำนาจทั้งสิ้น 7 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 19.00 น. โดยเพชฌฆาตมือหนึ่งเป็นผู้ทำการประหารชีวิต เมื่อครบ 3 นาที ข้าพเจ้าได้เข้าไปตรวจดู ปรากฏว่านักโทษทั้ง 2 สิ้นใจเป็นที่เรียบร้อย หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำลงจากหลัก และไปนำร่างนักโทษอีก 3 รายที่เก็บไว้ในห้องเล็ก ออกมานอนคว่ำหน้าเรียงกันเพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือต่อไป

ขออภัยต่อตระกูลเรืองกาญจนเศรษฐ์ทุกท่านที่ข้าพเจ้าจำเป็นต้องกล่าวอ้างต้นเหตุแห่งคดีนี้ขึ้นมา

ขออภัยต่อบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าได้พยายามกล่าวอ้างใหัน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

ขออโหสิกรรมต่อนายอำนาจ เอกพจน์ ซึ่งข้าพเจ้าและเจ้าหน้าที่ทุกนายต้องกระทำตามหน้าที่

ที่มา : http://yuthbk.blogspot.com/2012/04/15_25.html


สุดยอด!!!คดีดังสะเทือนขวัญในอดีต

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์