หนองหาน ทะเลบัวแดง ตำนานแห่งความรักผาแดง นางไอ่
ฝ่าย "ท้าวพังคี" โอรสของ "สุทโธนาค" เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเห็นความงามของนางไอ่ ด้วยชาติปางก่อนท้าวพังคีเกิดเป็นชายหนุ่มที่ยากจนและเป็นใบ้ เดินทางขอทานไปตามหมู่บ้านต่างๆ จนมาถึงบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง จึงได้ไปขออาศัยอยู่และช่วยเศรษฐีทำงานโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เศรษฐีพอใจและรักใคร่เป็นอย่างมากถึงกับยกลูกสาวคนหนึ่งให้แต่งงานเป็นภรรยา ซึ่งก็คือนางไอ่ในชาติปัจจุบัน เมื่อแต่งงานแล้วชายหนุ่มแทนที่จะดูแลรักใคร่ภรรยาของตน เขากลับไม่สนใจใยดีเลย ไม่เคยหลับนอนด้วยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนภรรยาก็ไม่เคยปริปากบอกใครเฝ้าปรนนิบัติพัดวีสามีอย่างดีเสมอมา
กระทั่งวันหนึ่งชายหนุ่มเกิดคิดถึงบ้าน จึงพาภรรยาเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านของตน ตลอดทางชายหนุ่มไม่สนใจดูแลนางอีกเช่นเคย และด้วยระยะทางที่ไกลมาก ทำให้เสบียงที่เตรียมมาหมดลงกลางทาง ชายหนุ่มเห็นต้นมะเดื่อมีผลสุกเต็มต้นจึงปีนขึ้นไปเก็บกินด้วยความหิวเพียงคนเดียว โดยไม่คิดจะแบ่งนาง เมื่อสามีปีนลงมาจากต้นมะเดื่อ นางจึงตัดสินใจขึ้นไปเก็บกินเอง เมื่อกินอิ่มแล้วกลับลงมาจากต้นมะเดื่อ ก็ไม่พบสามีรออยู่ นางรู้สึกทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง พอเดินมาถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง นางจึงลงไปอาบน้ำและดื่มกินจนรู้สดชื่น ตอนนี้เอง นางตั้งจิตอธิษฐานว่า "ชาติหน้าขอให้สามีนอนตายอยู่บนกิ่งไม้ อย่าได้เป็นสามีภรรยากันอีกเลย" ด้วยแรงอธิษฐานของนางในชาติต่อมา สามีของนางจึงเกิดมาเป็นท้าวพังคี ส่วนนางได้เกิดมาเป็นนางไอ่
เมื่อนางไอ่เติบโตเป็นสาว พระยาขอมผู้เป็นบิดาได้มีประกาศแจ้งข่าวไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ให้จัดบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันเพื่อบูชาพระยาแถนให้บันดาลฝนตกลงมาตามฤดูกาล และหากบั้งไฟของผู้ใดขึ้นสูงกว่า คนๆ นั้นจะได้แต่งงานกีบนางไอ่ โดยกำหนดวันขึ้น 15 เดือน 6 เป็นวันงาน ในวันงานมีเมืองน้อยเมืองใหญ่ส่งบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนมาแข่งกันมากมาย มีผู้คนทั่วทุกสารทิศหลั่งไกลมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก แม้งานบุญบั้งไฟครั้งนี้ท้าวผาแดงจะไม่ได้ทราบข่าว แต่ก็ได้นำบั้งไฟมาร่วมด้วย พระยาขอมให้การต้อนรับท้าวผาแดงเป็นอย่างดี ฝ่ายท้าวพังคีโอรสเจ้าเมืองบาดาล รู้ข่าวอยากมาร่วมงานที่เมืองมนุษย์ด้วย และบิดาห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ก่อนเดินทางมาถึงเมืองเอกชะทีตา
ท้าวพังคีสั่งให้บริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บางส่วน ส่วนตนเองแปลงร่างเป็น ‘กระรอกเผือก' ออกติดตามชมความงามของนางไอ่ในขบวนแห่ของเจ้าเมืองไปอย่างหลงใหล
เมื่องานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้ว ท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลไม่ได้ เพราะหลงใหลในความงามของนางไอ่จึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอีกครั้งและแขวนกระดิ่งทองไว่ที่คอไว้ เมื่อกระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่ กระดิ่งทองมีเสียงดังกังวาลขึ้น นางไอ่ได้ยินเสียงก็เกิดความสงสัยเปิดหน้าต่างออกไปเห็นกระรอกเผือกและเกิดอยากได้ นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย นายพรานออกติดตามกระรอกเผือกตามไปติดๆ แต่ยังจับไม่ได้สักที จึงไล่ตามไปเรื่อยๆ จนมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้น กระรอกเผือกก้มหน้าก้มตากินผลมะเดื่อด้วยความหิว และด้วยกรรมในชาติปางก่อน ในที่สุดพรานจึงได้โอกาสยิ่งกระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งมีลูกดอกอาบยาพิษ
เวลานั้นท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้ตัวว่าตนเองต้องตายแน่ๆ จึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาทราบก่อนตาย และตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคทั้งเมืองได้ทั่วถึง เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตาย นายพรานได้ชำแหละเนื้อกระรอกไปให้ผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงกินโดยทั่วกัน เมื่อบริวารไปบอกสุทโธนาค เจ้าผู้ครองเมืองบาดาล ก็ทรงโกรธแค้นมาก จึ่งสั่งบาวไพร่จัดพลขึ้นไปอาละวาดเมืองพระยาขอมให้ถล่มทลายด้วยความแค้น ใครที่กินเนื้อกระรอกให้ฆ่าเสียให้หมด ขณะที่พญานาคออกอาละวาดทำลายบ้านเมืองอยู่นั้น ท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า "บักสาม" มุ่งหน้าไปหานางไอ่ ระหว่างทางเห็นพญานาคเต็มไปหมด และเล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่ฟัง แต่นางไม่สนใจและนำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ผาแดงกิน ท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไร นางตอบว่า เป็นเนื้อกระรอกเผือก ผาแดงจึงไม่ยอมกิน
พอตกกลางคืนเหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จู่ๆ แผ่นดินเมืองเอกชะทีตาก็ถล่มทลายลงเป็นหนองหาน ซึ่งเป็นต้นน้ำปาวในปัจจุบัน ท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาคจึงคว้าแขนนางไอ่ขึ้นหลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองเพื่อให้ปลอดภัย แต่เนื่องจากนางไอ่กินเนื้อกระรอกเผือกเข้าไป แม้จะหนีไปทางไหนก็ถูกพวกพญานาคติดตามไม่ลดละในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินทันที
เมื่อนางไอ่จมดินไปต่อหน้าต่อตา ท้าวผาแดงกลับถึงเมืองผาโพง เกิดตรอมใจคิดถึงนางไอ่ตลอดเวลา จนล้มป่วยตรอมใจตายตามนางไอ่ เมื่อท้าวผาแดงตายไปเป็นผี มีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วาย ครั้นมีโอกาสเหมาะ ผีท้าวผาแดงได้บริวารกองทัพผีเป็นแสนๆ ไปรบกับพญานาคให้หายแค้น โดยล้อมเมืองบาดาลไว้รอบด้าน ผีท้าวผาแดงและสุทโธนาคเจ้าเมืองบาดาล ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่มีใครแพ้ชนะ ฝ่ายเจ้าเมืองบาดาล ซึ่งแก่ชรามากแล้วไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไป เพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรย จึงไปขอร้อง "ท้าวเวสสุวัณ" ผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินให้ ท้าวเวสสุวัณทราบว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่า
จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกัน อโหสิกรรมให้กัน เมื่อผีท้าวผาแดงและพญานาคได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณก็เข้าใจ เหตุการณ์ทั้งหมดจึงยุติลงนับแต่นั้น