คำสารภาพสุดท้ายนักโทษประหาร ก่อนตายเขาพูดสิ่งที่ชาวบ้านต้องจดจำ!!!


น.ช.อำไพ ใสโพธิ์ อายุ 26 ปี หมายเลขประจำตัว 139/42 คดีพรากผู้เยาว์ ฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายและเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน เหตุเกิดพื้นที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์

20 เม.ย. 2541 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.ละหานทราย ได้รับแจ้งจากนายทวีและนางวิรัช นันทวงษ์ ว่าหลานสาวชื่อ ด.ญ. กุลธิดา ใจกล้า อายุ 2 ขวบ 3 เดือน พ่อแม่ทำงานอยู่ที่กทม. เด็กน้อยได้หายออกไปจากบ้านเมื่อตอนสายๆ มีคนเห็นว่าเธอไปซื้อขนมที่ร้านค้า กับผู้ชายที่อยู่ในอาการมึนเมา แล้วนั่งรถมอเตอร์ไซตืหายไปทางท้ายหมู่บ้าน กลัวว่าจะถูกล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย ขอให้ตำรวจช่วยติดตามด้วย

เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันออกค้นหาตัว ด.ญ.ทันที จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบบริเวณป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน ทุกคนต้องตกตลึงเบือนหน้าหนีภาพดังกล่าวทันที เมื่อพบว่าบริเวณข้างจอมปลวก มีร่างของด.ญ.กุลธิดานอนเปลือยกายเสียชีวิตอยู่ สภาพศพถูกตีด้วยของแข็งจนกะโหลกยุบ เลือดและเศษมันสมองกระจายเกลื่อนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง บริเวณอวัยวะเพศมีร่องรอยถูกข่มขืนจนฉีกขาด เลือดไหลนองปนกับน้ำอสุจิซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด นายทวีและนางวิรัชเมื่อมาเห็นสภาพหลานเป็นเช่นนั้น ต่างก็ปล่อยโฮและเป็นลมล้มฟุบไปทั้งคู่ทันที เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าด.ญ.กุลธิดาน่าจะเสียชีวิตไม่เกิน 1 ชั่วโมง และคนร้ายน่าจะยังหนีไปได้ไม่ไกล จึงได้วิทยุแจ้งให้ช่วยกันออกติดตามจับกุมโดยด่วน เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งได้ซุ่มอยู่บริเวณท่ารถในตลาด และได้พบชายต้องสงสัยอยู่ในอาการมึนเมา จึงได้เข้าตรวจค้น ชายคนดังกล่าวเมื่อรู้ตัวว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจ ก็มีอาการหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด จากการตรวจสอบพบว่าที่ขากางเกงและชายเสื้อมีรอยเปื้อนเลือด จึงนำตัวมาสอบสวนที่โรงพัก ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นายอำไพ ใสโพธิ์ เบื้องต้นให้การปฏิเสธและให้การวกวน

หลังจากที่เค้นสอบถามความจริงอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เปิดปากยอมรับสารภาพเป็นผู้ลงมือข่มขืนและฆ่า ด.ญ.จริงๆ ยอมรับว่าเพิ่งแต่งงานได้ 2 วัน แต่เพราะตัวเองมีความต้องการสูงมาก เป็นเหตุให้เมียทนรับไม่ไหว จึงหอบเสื้อผ้าหนีไป จึงเกิดการกลุ้มใจมากถึงดื่มเหล้าพอเมาได้ทีแล้วก็เกิดอารมณ์กลัดมันขึ้นมา พอกับที่เห็น ด.ญ. เดินมาพอดี จึงเข้าไปหลอกล่อพาไปซื้อขนม จากนั้นพาขึ้นรถจักรยานยนต์ไปยังป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน แล้วพยายามลงมือข่มขืน แต่เด็กร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ตนกลัวชาวบ้านจะได้ยินเสียงแล้วเข้ามาเห็น จึงจับขาเด็กเหวี่ยงฟาดไปที่จอมปลวกจนสลบ แล้วจึงลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ เสร็จแล้วเด็กได้ฟื้นขึ้นมาและส่งเสียงร้องไห้อีก ตนเห็นที่อวัยวะเพศเด็กมีเลือดไหลออกมามาก กลัวจะมีคนมาเห็นความผิดที่ตนก่อขึ้น จึงจับขาเด็กเหวี่ยงฟาดไปที่จอมปลวกอีกครั้งจนเด็กแน่นิ่งไป แล้วหยิบท่อนไม้ที่ตกอยู่ในบริเวณนั้น ตีซ้ำเข้าที่ศรีษะจนขาดใจตาย แล้วรีบหนีออกมาจากที่เกิดเหตุ กลับเข้าบ้านเก็บเสื้อผ้าแล้วมาเตรียมขึ้นรถที่ตลาดเพื่อหลบหนีความผิด แต่มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมได้เสียก่อน จึงหมดโอกาสที่จะไปก่อกรรมชั่วกับใครได้อีก

 


คำสารภาพสุดท้ายนักโทษประหาร ก่อนตายเขาพูดสิ่งที่ชาวบ้านต้องจดจำ!!!


ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายอำไพไปทำแผนที่เกิดเหตุ เพื่อประกอบคำรับสารภาพ ชาวบ้านนับร้อยที่ไปมุงดูการทำแผน ได้พยายามฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าไปรุมประชาทัณฑ์นายอำไพจนสะบักสบอม และเรียกร้องให้ประหารชีวิตสถานเดียว เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้ความพยายามนำตัวนายอำไพ หลุดพ้นจากบาทาชาวบ้านกลับมาคุมขังที่สภ.อ.ละหานทรายอย่างทุลักทุเล หลังการสอบสวนเสร็จสิ้น ได้ขออำนาจศาลฝากขังนายอำไพไว้ที่เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ และทำการสรุปสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานต่างๆ ส่งมอบให้อัยการเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีนายอำไพ ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์

ศาลได้ตัดสินให้ประหารชีวิต และได้ส่งตัวมาควบคุมที่เรือนจำกลางบางขวาง ข.ช.อำไพได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนโทษ ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ข.ช.อำไพได้ยื่นฎีกาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนโทษ ผลการพิจารณาของศาลฎีกามีดังนี้

จากการพิสูจณ์ศพ พบว่า ด.ญ. ถูกไม้ตีที่ศรีษะจนกะโหลกแตกละเอียดและยุบ และที่เนินดินจอมปลวกเหนือศพผู้ตายมีรอยยุบ ลักษณะถูกศรีษะคนกระแทก แต่ไม่ได้ความชัดเจนว่าจำเลยได้กระทำการทารุณโหดร้ายผู้ตายอย่างไรบ้าง เพราะโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ศาลก็ได้อาศัยพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าว เป็นข้อสำคัญในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงและพิพากษาลงโทษจำเลยได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยอีก ทั้งตามรูปคดีที่โจทก์นำสืบก็มีเหตุผลน่าเชื่อว่า จำเลยได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน อันเป็นรอยเลือดของผู้ตายที่ติดอยู่ตามร่างกาย และเสื้อผ้าของจำเลยชุดที่จำเลยสวมใส่อยู่ในขณะถูกจับกุมภายหลังเกิดเหตุใหม่ๆ หาใช่รับสารภาพเพราะสำนึกในความผิดไม่ เพราะได้ความจากคำเบิกความของพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ว่า วันเกิดเหตุหลังจากพยานได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายลักพาตัวผู้ตายแล้ว พยานได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจทราบ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยในฐานะผู้ต้องสงสัยมามอบให้พยานสอบสวน เมื่อเป็นนักโทษประหารเด็ดขาดแล้ว น.ช.อำไพได้ทำหนังสือทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์ และได้รอผลการพิจารณาอยู่ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2544 เวลา 11.00 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งอย่างเป็นความลับว่า จะมีการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดจำนวน 1 ราย ข้าพเจ้าจึงไปจัดเตรียมสิ่งของที่จะต้องใช้ และสวดมนต์ไหว้พระทำจิตใจให้สงบ รอเวลาที่จะเบิกตัวนักโทษมาดำเนินการตามขั้นตอนการประหารต่อไป

 


คำสารภาพสุดท้ายนักโทษประหาร ก่อนตายเขาพูดสิ่งที่ชาวบ้านต้องจดจำ!!!


เวลา 16.10 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งชื่อนักโทษที่จะต้องเข้าไปเบิกตัวคือ น.ช.อำไพ ใสโพธิ์ ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีก 2 นายพร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลาง ได้เข้าไปเบิกตัวที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังไขกุญแจเปิดประตู นักโทษที่อยู่ภายในต่างเงียบเสียงรอฟังว่า ใครจะเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกเรียกชื่อในวันนี้บ้าง เมื่อไปถึงห้องที่ใช้คุมขังน.ช.อำไพ "หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางได้ขานชื่อ "อำไพ ใสโพธิ์ ออกมาข้างนอกด้วย" ข้าพเจ้าเห็นน.ช.อำไพซึ่งดูเด็กกว่าทุกคนในห้องนั้น ลุกยืนขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้ไปรอบห้องแล้วกล่าวว่า "ผมลาก่อนครับ ขอให้ทุกคนโชคดี อย่าโดนอย่างผมนะครับ" มีเสียงตอบมา "ไปที่ชอบโว้ยไอ้น้อง" "นึกถึงพระถึงเจ้าไว้" "แล้วจะบอกที่บ้านให้ทำบุญไปให้" ฯลฯ แล้วน.ช.อำไพก็เดินมาที่ประตูห้อง ข้าพเจ้ารีบคว้าแขนดึงตัวให้พ้นออกมาจากห้อง สวมกุญแจมือและค้นตัวตามระเบียบ

เมื่อนำตัวมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง เข้ามาทำการพิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสอบตำหนิแผลเป็นและประวัติบุคคลตามระเบียบ สารวัตรโกมลได้ถามว่า "อำไพ คุณนึกยังไงถึงได้ข่มขืนเด็ก" น.ช.อำไพตอบว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ช่วงนั้นผมเมาเลยขาดสติไปชั่ววูบ ปกติแล้วเวลาผมเมาผมจะมีอารมย์ทันที ผมมีเมียทั้งหมด 3 คน พอดีเมียผมไม่อยู่เลยสักคน เห็นเด็กเดินมาเลยหน้ามืดไปหน่อยครับ" ข้าพเจ้าถามว่า "แล้วไม่นึกสงสารเด็กบ้างหรือยังไง เด็กที่ตายตัวขนาดไหนหรือ" น.ช.อำไพยกมือแสดงความสูงของเด็ก แล้วพูดว่า "แค่นี้ครับ ตอนนั้นผมเมามากไปหน่อย" ข้าพเจ้าเห็นแล้วให้รู้สึกเศร้าใจ พี่เลี้ยงอีกนายถามว่า "แล้วหลอกเด็กไปยังไง เด็กไม่ร้องไห้ให้คนช่วยหรือ"

น.ช.อำไพเล่าให้ฟังว่า "ผมซื้อขนมให้เด็กก่อน แล้วบอกว่าจะพาไปเที่ยว เด็กดีใจยอมให้ผมอุ้มขึ้นนั่งรถ พอไปถึงที่เปลี่ยวผมก็จอดรถ อุ้มเด็กเดินเข้าไปในป่าข้างทาง บอกเด็กว่าจะพาเข้าไปเดินเล่น เมื่อถึงข้างจอมปลวกผมได้วางเด็กลง แล้วถอดเสื้อผ้าให้เด็ก เด็กก็ยังไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรแก มองดูผมตาปริบๆ ผมจับให้นอนลงเด็กก็นอนลงอย่างว่าง่าย แต่พอผมทำกับแก เด็กคงจะเจ็บร้องไห้ลั่นขึ้นมา ผมเอามืออุดปากไว้ แต่เด็กดิ้นไม่หยุด ผมเลยจับตัวฟาดกับจอมปลวกจนสลบ แล้วผมรีบจัดการให้เสร็จ เมื่อเสร็จแล้วเด็กฟื้นและร้องไห้จ้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าผีห่าตัวใด ดลใจให้ผมจับเด็กฟาดกับจอมปลวกอีกครั้ง แล้วเอาไม้หวดเด็กจนตาย ผมยอมรับว่าผมมันเป็นคนระยำมักมากในกาม มีเมียกี่คนก็ทนรับผมไม่ไหว จะเอาตัวผมไปฆ่าแกงที่ไหนก็เชิญเถอะครับ"

ข้าพเจ้าพูดว่า "แล้วไม่โดนชาวบ้านเหยียบบ้างหรือไง ทำไมถึงได้โหดเหลือเกิน โชคดีที่พวกผมไม่มีหน้าที่แก้แค้นให้ใคร แต่ที่ต้องทำกับอำไพในวันนี้ เป็นการทำตามหน้าที่เท่านั้น อย่าได้โกรธเคืองพวกผมนะ"

น.ช.อำไพ "ผมโดนกระทืบแทบตาย ชาวบ้านบ้าง ตำรวจบ้าง พวกในห้องขังด้วยกันบ้าง เข้าไปที่บุรีรัมย์ก็โดนอีก(หมายถึงเรือนจำ) แต่ผมไม่โกรธพวกเขาหรอก ถ้าเป็นผมๆก็คงไม่ปล่อยไว้เช่นกัน แค่นี้ยังไม่สาสมกับความผิดของผมหรอกครับ"

เมื่อพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้เข้ามาอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ฟัง แล้วให้เซ็นทราบในคำสั่งนั้น เสร็จแล้วให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย น.ช.อำไพได้เขียนจดหมายลาทางบ้านฉบับหนึ่ง จากนั้นข้าพเจ้าได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้ ในวันนั้นมีแกงเผ็ดหมู ข้าวเปล่า และขนมข้าวเหนียวถั่วดำ น.ช.อำไพได้ตักกินไปอย่างละหน่อยแล้ววางช้อนลง พร้อมกับพูดว่า "อยากจะกินแต่กินไม่ลง เฮ้อ! เพราะเหล้าแท้ๆไม่น่าเลย"

ต่อจากนั้นได้นำตัวไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ ซึ่งได้กล่าวถึงผลกรรมและการไม่อาฆาตจองเวร พร้อมกับแนะนำทางสงบให้น.ช.อำไพ โดยให้นึกถึงแต่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ไว้ เสร็จแล้วข้าพเจ้านำตัวไปสู่ห้องประหารทันที

ระหว่างทางข้าพเจ้าได้ถามไปว่า "อำไพอยากกินอะไรพิเศษไหม พรุ่งนี้ผมจะทำบุญไปให้" น.ช.อำไพ "ก็ดีครับหัวหน้า ผมขอประเภทลาบน้ำตก อย่าลืมข้าวเหนียวด้วยนะครับ แต่จะถึงผมหรือเปล่าก็ไม่รู้"

เมื่อผ่านศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ได้ให้น.ช.อำไพแวะเข้ากราบลา แล้วพาเดินต่อไปจนถึงศาลาเย็นใจ ข้าพเจ้าได้ให้นั่งที่เก้าอี้ขาว ให้พนมมือกำดอกไม้ธูปเทียน พี่เลี้ยงอีกนายใช้ผ้าดิบผูกปิดตา แล้วช่วยกันประคองเข้าห้องสู่ประหาร โดยนำไปผูกมัดตัวที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ระหว่างผูกมัดน.ช.อำไพได้พูดเป็นครั้งสุดท้าย "หัวหน้าครับ ฝากเตือนคนทั่วไปด้วยนะครับ เหล้ายาเป็นสิ่งไม่ดี เป็นต้นเหตุของความผิดหลายๆอย่าง ถ้าใครเลิกได้ก็ขอให้เลิกซะ แต่ถ้าเลิกไม่ได้ ก็ขอให้กินอย่างมีสติ อย่าให้เหมือนอย่างผมเลยนะครับ" ข้าพเจ้าตอบไปว่า "ถ้าผมมีโอกาสผมจะบอกให้นะ" เสร็จแล้วได้ทำการตั้งเป้าตาวัว เอาทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร แล้วแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ

พลเล็งปืนเข้าทำหน้าที่บรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืน เพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อพร้อมแล้วธงแดงได้สะบัดลงทันที "ปัง ปังๆๆๆๆๆๆ" รวมทั้งสิ้น 8 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 17.05 น. เมื่อเสียงปืนสงบ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงครางแผ่วๆอยู่พักหนึ่งแล้วเงียบเสียงไป เมื่อครบ 3 นาที ได้เข้าไปตรวจดูพร้อมแพทย์ ปรากฏว่าน.ช.อำไพได้สิ้นใจไปแล้ว หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำร่างลงจากหลัก จับให้นอนคว่ำหน้าไว้ เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือได้เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป

ขอให้ดวงวิญญาณของด.ญ.กุลธิดา ใจกล้า จงเป็นสุขอยู่ในสุขคติภพ คนที่ทำกับหนูไว้ ได้ชดใช้กรรมให้แล้ว

ขออโหสิกรรมต่อนายอำไพ ใสโพธิ์ จงหมดสิ้นเวรกรรมทั้งหลายที่ได้ทำไว้

ขอชมเชยความตั้งใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.ละหานทราย ทุกท่าน ถึงแม้จะพบเด็กสายไปหน่อย แต่ยังคงสามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้แทบจะทันที ด้วยใจจริง


คำสารภาพสุดท้ายนักโทษประหาร ก่อนตายเขาพูดสิ่งที่ชาวบ้านต้องจดจำ!!!


ขอบคุณที่มา ::: yuthbk.blogspot


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์