เหตุเพราะความไว้ใจ ทำให้เพื่อนเราจากไปชั่วนิรันดร์

สวัสดีค่ะก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเรายืมล็อคอินเพื่อนมานะคะ และเรื่องที่เล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและอยากให้เพื่อนๆเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์นะคะและถ้าเรื่องนี้เกิดกับคนที่คุณรักเป็นคุณจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ตอนแรกก็ว่าจะอยู่เงียบๆเพื่อความสบายใจของเพื่อน แต่เราอยากให้ใครบางคนได้รับรู้ว่ามีคนไม่น้อยที่เสียใจกับเหตุการณ์นี้ ขนาดเราเป็นเพื่อนเรายังแย่เลยไม่ต้องนึกถึงครอบครัวค่ะใจสลายไปพร้อมๆกัน เราเลยเขียนเรื่องราวนี้ลงในกระทู้แรกเผื่อจะมีใครได้สำนึกผิดและไม่ไปก่อเรื่องแบบนี้กับใครได้อีก เรื่องนี้ทางครอบครัวของเพื่อนเราได้อนุญาตแล้วนะคะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทของเราเองขอใช้นามว่า S และ P คือแฟนของ S นะคะ เกิดขึ้นเมื่อตอน S เรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 ค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ final ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ซึ่งเราเองก็กำลังจะสอบเหมือนกันค่ะและเรากับ S จะคุยโทรศัพท์กันแทบทุกวันเพราะเรากับ S อยู่กันคนละมหาวิทยาลัยเลยทำให้เราคิดถึงกัน และถามความเป็นอยู่ของกันและกันตลอดค่ะ 

ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปี S ปลื้มหมอ P มาตลอดทั้งตามดูจากใน facebook รวมทั้งส่งข้อความให้กำลังใจกันใน whattapp เพราะ S จะเอามาให้เราอ่านหรือไม่ก็ copy ส่งมาให้เราดูตลอด ซึ่งนับจากอายุแล้ว S ห่างจากหมอ P ประมาณ 10 ปีได้ค่ะ เมื่อช่วงต้นปี 54 ความสัมพันธุ์ของ S กับหมอ P ก็ดีขึ้นและได้คบกัน เราไม่แน่ใจว่าคบกันตั้งแต่ตอนไหนแต่เห็น S แชทมาบอกให้เราไปกด like in relationship ใน facebook ของหมอ P ในวันที่ 8 มีนาคม 54 ซึ่งนับจากนั้นมาหลายๆคนก็ทราบเรื่องที่ S กับ หมอ P เป็นแฟนกันรวมทั้งครอบครัวของ S ก็รับรู้เรื่องนี้ด้วย

ในเย็นวันที่ 20 มีนาคม 54 S ก็ได้โทรหาเราปกติ และแน่นอนว่า S ก็เม้าเรื่องความรักของเธอกับหมอ P เช่นเดิม  วันนั้นเราก็ถาม S ว่าทำอะไรอยู่กินข้าวหรือยัง ซึ่งตอนนั้น S ก็กำลังเดินหาอะไรทานแถวหน้ามหาวิทยาลัยตามปกติ เราก็ถามว่า วันนี้พี่หมอ P มาหาป่าว S ก็บอกเราว่าเดี๋ยวคืนนี้พี่หมอ P จะมาหาหลังจากเสร็จงานที่คลินิกตอน 3 ทุ่ม ตอนนั้น S อารมณ์ดี คุยกันแบบเฮฮาเหมือนเดิม ไม่มีอาการของคนป่วยใดๆ นอกจากนั้น S ยังมีมาโพสให้เราใน facebook ด้วยแต่เราไม่ได้ตอบไปและมาอ่านทีหลังทำให้ถึงกับน้ำตาซึมและเราก็ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการคุยครั้งสุดท้ายของเรา...

เช้ารุ่งขึ้นเราเข้า facebook ตามปกติก็เห็นมีเพื่อนๆมาโพสใน facebook ของ S ให้หายไวๆ เราก็ไม่รู้ว่า S เป็นอะไรจนเราได้โทรไปหารูมเมท S ว่าเกิดอะไรขึ้นและได้ทราบว่า คืนนั้นรูมเมท S ได้ไปติวหนังสือที่หอเพื่อนและกำลังกลับขึ้นไปบนห้องได้พบว่า S กำลังหมดสติและมีหมอ P ช่วยปฐมพยาบาลอยู่และรีบโทรเรียกรถพยาบาลแต่รถพยาบาลมาช้าจนกระทั่งเพื่อนของ S ได้พาไปโรงพยาบาลใกล้มหาวิทยาลัย และได้โทรแจ้งคุณแม่และป๊าของ S ซึ่งตัวป๊าของ S เองก็เป็นคุณหมอด้วยเช่นกัน จึงได้มีการย้ายให้ S ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในวันรุ่งขึ้น เราและเพื่อนๆจากโรงเรียนเก่าของ S ก็ได้ไปเยี่ยม S ที่โรงพยาบาลทันทีหลังเรียนเสร็จของเย็นวันนั้น 

ภาพที่เห็นตอนนั้นเราคิดว่าไม่น่าจะเป็น S ได้ เพราะ S ที่เรารู้จักมีหน้าตาที่สดใส ที่สำคัญค่อนข้างเป็นคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดีเนื่องจากป๊าเป็นหมอจึงมีการดูแล S เป็นอย่างมาก S เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬา สมัยม.ปลายเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล เป็นนักวิ่งระยะไกล พอเข้ามหาลัยก็มีการไปตีแบต เล่นเทนนิสเสมอหาก S ว่าง คือพูดได้ว่า S เป็นคนที่แข็งแรงมากๆคนหนึ่ง ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลจากการป่วยหรือไม่สบายเลย มีเพียง 2 ครั้งที่เราเคยทราบว่า S เป็นลมเนื่องจากช่วงนั้นเป็นรอบเดือนตอน ม.ปลาย แต่ภาพที่เห็นตอนนั้นคือ S ที่อยู่บนเตียงไม่ได้สติ มีอาการตัวบวมรวมถึงสมองบวมสังเกตได้จากมีสายยางบริเวณศีรษะหลายสาย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะเหตุใด S จึงเป็นลมชักหมดสติและมีผลกระทบกับสมอง 

ต่อมาเรามีโอกาสได้คุยกับรูมเมทของ S เธอเล่าว่าคืนนั้นที่ขึ้นไปเจอ S เห็นหมอ P ช่วยปั๊มหัวใจ และก็ได้สังเกตเห็นเข็มฉีดยาวางไว้บนโต๊ะ พอพา S ไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว หมอ P รีบกลับมาที่ห้อง เพราะอ้างว่าจะไปเอารถแล้วก็บอกว่าตอนปั๊มหัวใจมีพวกเสมหะออกมาด้วยเขาจะไปทำความสะอาดให้ เมื่อรูมเมทกลับไปที่ห้องก็พบว่าขยะภายในห้องพร้อมกับซองและเข็มถูกนำไปทิ้งทั้งหมด เมื่อทางครอบครัวทราบว่ามีการใช้เข็มฉีดยา ป๊าของ S เลยถามหมอ P ว่าฉีดอะไร หมอตอบว่าฉีด อะดีนาลีน เพราะ S มีอาการชักหัวใจหยุดเต้นจึงฉีดกระตุ้นหัวใจ และนี่คือสิ่งที่หมอ P อธิบายไว้ค่ะ

“น้อง S เคยมีประวัติ เป็นลมหมดสติหลายครั้ง คือเป็นปัจจัยเสี่ยง ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
ในช่วงสัปดาห์ก่อนที่น้อง S จะหมดสติ น้อง S อดนอนหนักมาก และเครียด เพราะอยู่ในช่วงเวลาสอบ
อาหารก็ทานไม่ค่อยได้ ผมต้องคอยป้อน และบังคับให้กินอาหาร
ร่วมกับน้อง S มีอาการติดเชื้อในคอร่วมด้วย ซึ่งพบได้ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ
ประกอบกับ Underlying Disease ที่ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าเกิดจากสมอง หรือหัวใจ ทำให้เกิด Stresser กระตุ้นให้อาการหนัก
ในคืนที่น้อง S ไม่สบาย น้อง S โทรมาบอกผมว่า น้อง S เครียดมาก อยากให้พี่ P มาคุยด้วย ซึ่งผมก็รีบขับรถไปหาน้อง S
ปกติแล้วตอนเจอกัน น้อง S จะร่าเริงมาก กระโดดโลดเต้น แต่ในคืนนั้น น้อง S ดูซึมๆ
เมื่อผมได้นั่งคุยกับน้อง S สักพัก น้อง S ก็หน้าซีด และพูดว่า "ที่รัก...เค้ามึนๆ" จากนั้นน้อง S ก็นิ่งไป
ในเวลาไม่นาน น้อง S ก็เริ่มชักเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง ผมช่วยดูดเสมหะ และน้ำมูกสุดแรงเกิดเท่าที่ทำได้
เมื่อน้อง S หยุดชัก ผมไม่สามารถคลำชีพจรได้ และฟังหัวใจได้แผ่วมาก จึงรีบขึ้นปั๊มหัวใจ และเป่าปอด
เมื่อปั๊มครบ Cycle ก็ยังไม่สามารถคลำชีพจรใดๆ ได้ ผมจึงให้ยากระตุ้นหัวใจที่โชคดีนำติดตัวมาด้วย เนื่องจากผมกำลัง Stock ยาที่ Clinic ที่กำลังจะเปิดใหม่
หลังจากให้ยากระตุ้นหัวใจ ผมก็ยังไม่สามารถคลำชีพจรได้
ในขณะนั้น Room Mate น้องS ก็วิ่งมาถึงห้องน้อง S พอดี จึงรีบพากันไปส่งที่โรงพยาบาล ซึ่งระหว่างทางผมก็ปั๊มหัวใจ และเป่าปอดเพื่อพยายามกู้ชีพน้อง S ตลอดเวลา
หลังจากแพทย์ได้ตรวจทั้งหมด ตอนนี้สงสัยว่า น้อง S น่าจะมีความผิดปกติของสมองเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ และโชคร้ายที่มาเกิดเหตุการณ์ในช่วงที่น้อง S เครียด อดนอน ขาดสารอาหาร และมีอาการติดเชื้อพอดี
อาการในปัจจุบัน น้อง S เริ่มหายใจเองได้ หัวใจสามารถเต้นด้วยตัวเองได้ แต่ยังต้องใช้ยาช่วย และรอให้สมองของน้องS ค่อยๆ ฟื้นกลับขึ้นมาเป็นปกติครับ
ผมพยายามอธิบายเป็นภาษาง่ายๆ หากสงสัยเพิ่มเติมสามารถโทรศัพท์มาถามได้ครับ
ด้วยความเคารพ และรัก ครับ”

โพสนี้เป็น comment จากหมอ P ใน facebook ของ S เมื่อวันที่ 23 เมษายน 54 แน่นอนว่ามีอะไรที่ครอบครัว ตัวเราเอง รวมทั้งเพื่อนๆอีกหลายๆคนสงสัยว่า
1. เป็นลมหมดสติชักต้องฉีดอะดีนาลีน? (ทางเราไม่ทราบข้อมูลนี้ว่าทางการแพทย์ใช้หรือป่าวนะคะ)
2. หมอ P ได้อธิบายใน comment ว่า S โทรไปบอกไม่สบายให้หมอ P มาหาแต่ตอนเย็น S บอกเราว่า หมอ P บอกจะมาหาตอน 3 ทุ่ม หลังเลิกงานจากคลินิกแสดงว่ามีการคุยล่วงหน้าไม่ได้โทรให้มากะทันหัน
3. มาหาแฟนต้องเอายา/อุปกรณ์ขึ้นบนห้องด้วย? ติดไว้ในรถแต่เอาขึ้นมา?
4. คนเป็นแฟนกันต้องรีบกลับมาเก็บห้องและเอาขยะไปทิ้ง? ทำไมไม่เฝ้าดูอาการให้แน่นอนก่อน

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นหมอ P ก็โพสอะไรมากมายใน facebook ของ S ตลอด ดราม่าหนักมากเป็นพักๆและมีการไปบวชพระที่วัดแห่งหนึ่งทั้งที่ตนเองนับถือต่างศาสนา และมีการถ่ายรูปขณะเป็นพระอยู่ tag ใน facebook ของ S ด้วย หลังจากนั้นไม่กี่เดือนทางครอบครัวได้ย้าย S มาอยู่ รพ.ประจำจังหวัด อาการของ S ก็ไม่ดีขึ้นมีหลายโรคแทรกซ้อนอยู่ตลอดเวลา และทราบภายหลังว่าในสมองของ S มียากลุ่มเดียวกับยาแก้ปวดแต่ไม่ทราบว่าเป็นตัวยาชนิดไหนในสมองซึ่งเป็นสาเหตุให้สมองบวมค่ะ

S นอนแบบไรสติโดยมีเครื่องช่วยหายใจมาตลอด 3 ปี 5 เดือน 14 วัน โดยมีแม่ป๊าน้องรวมทั้งครอบครัวและเพื่อนๆดูแลและคอยเฝ้าถามอาการตลอดมา
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 58 เราทราบว่า S อาการแย่มาก และเมื่อเราโทรไปหาแม่ S ก็ฟังแล้วไม่ค่อยดีเราจึงรีบโทรหาเพื่อนๆและรวมตัวกันไปเยี่ยม S ในเย็นวันนั้นทันที เมื่อไปถึงแม่ก็ให้เราและเพื่อนๆอีกหลายๆคนบอกอโหสิกรรมให้ S ด้วย ตอนนั้นใจเราวูบมากคือไม่คิดว่า S จะแย่ขนาดนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา S ได้ต่อสู้และอดทนเป็นอย่างมาก 

จนมาถึงวัน  3 กันยายน 58 เวลา เที่ยงคืนกว่าๆ S ก็ได้จากพวกเราไปเนื่องจากความดันต่ำมากและติดเชื้อในกระแสเลือด เราทราบข่าวตอนเช้าเพราะเห็นว่า แม่ line มาบอกว่า “S จากเราไปแล้วนะลูก” ตอนนั้นเราก็รีบเตรียมตัวไปหา S ทันที โดยมีเพื่อนๆตามไป 

ตลอดเวลาในการเดินทางไปนั้นเราไม่เคยคิดว่ามันจะไวขนาดนี้ทั้งที่ S ก็นอนแบบนั้นมา 3 ปี กว่า เราไม่รู้เลยว่า S รออะไรหรือป่าว เราไม่รู้ว่า S ต้องการอะไรจากใครไหม แน่นอนว่าตลอดเวลาที่ย้ายมาต่างจังหวัดหมอ P ไม่เคยมาเยี่ยมเลย จนวันที่เราไปเยี่ยม S วันสุดท้ายเราบอกให้แม่โทรไปหาหมอ P ให้บอกกับ S ทีตอนนี้ S อาการแย่ลง หมอ P ก็ได้แต่บอกว่ารัก S ยังนู้นยังนี้ เราจะกลับมารักกันนะ พี่ก็ป่วยเป็นนู่นเป็นนี่รีบหายไวๆนะเราจะได้กอดกันอีก แล้วก็วางไป แต่ก็ไม่ทำให้ S ดีขึ้นเลย จนวันที่ S จากไป แม่ก็ได้บอกหมอ P แต่เขาก็ไม่ได้มาร่วมงานศพของ S เลย เราก็ได้เข้าไปดู facebook ของหมอ P และเห็น status หมอ P ที่ขึ้นไว้วันที่ 3 กันยายน 58 ดังนี้ค่ะ
“...หัวจสลาย...
...ทำไมพระเจ้าไม่เอาคนเลวอย่างกูไป...
...แล้วสักวัน..จะไปหา...”

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราก็คิดเสียใจ เจ็บใจว่าความจริงแล้วเขาทำอะไรกับ S กันแน่  
ทำไมเขาไม่บอกความจริงเผื่อตอนนั้นมันจะยังไม่สายไป ถ้าเขาบอกสักนิดเพื่อนเราคงไม่จากไปแบบนี้  
แม้แต่คำว่าลาก่อนนะ…ก็ยังไม่เคยได้ฟัง ขนาดเราเป็นเพื่อนเรายังเสียใจแล้วแม่ที่คอยดูแล S มาตลอดไม่ว่าจะเช็ดตัว หาวิตามินอาหารเสริมมาให้ S กินเพิ่ม หมอที่ไหนว่าดีพระที่ไหนว่าดังแม่ไปมาทั่วทุกสารทิศ! แม้บางครั้งจะโดนมิจฉาชีพหลอก เพียงเพื่อที่จะให้ลูกฟื้น ตื่นมาสดใสเช่นเดิม แม่ก็ยอม… ตัวของป๊าเองก็คงเจ็บไม่ได้ต่างอะไรจากแม่เลย   ด้วยความที่ป๊าเป็นถึงคุณหมอแต่ป๊าก็ยังไม่สามารถทำให้ลูกฟื้นขึ้นมาได้เช่นกัน ที่สำคัญครอบครัวนี้มีน้องคนเล็กที่มีเพียงพี่สาวที่เป็นได้ทั้งเพื่อนและที่ปรึกษาในหลายๆเรื่อง S จึงเป็นคนสำคัญของครอบครัวเป็นอย่างมาก 
ตลอดเวลาที่เราได้สัมผัสกับครอบครัวนี้ เราพูดได้เลยว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ทุกคนรักกันมากและทุกคนก็เป็นคนดีมาก ทำไมต้องเกิดเรื่องร้ายๆกับครอบครัวดีๆแบบนี้ด้วย!

หลังจากเหตุการณ์ของ S ผ่านไป เราได้ข่าวจากวงการหมอจิตแพทย์กำลังกล่าวถึงหมอ P จำนวนมาก โดยที่ก่อนหน้านี้ตัวหมอ P เองก็เจอคนขุดประวัติมากมายจนหายจากวงการไปสักพักและมาพักหลังๆเราก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวแปลกๆไม่ว่าจะเป็นการโพสอะไรซ้ำๆใน facebook ของเขาเอง และที่พีคสุด เราก็เห็นเขาได้ไปดูคอนเสริตและยิ้มแย้มปกติ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันยิ่งทำให้เราเสียใจว่านี่หรอคือสิ่งที่ทำหลังจาก S จากไป ทำไมชีวิตเขายิ้มได้และดูมีความสุขดีล่ะ แล้วทำไมต้องทำให้ครอบครัวนี้เฝ้านึกถึง S ตลอดเวลา เราสงสารแม่ สงสารป๊า สงสารน้องมาก ถ้า S อยู่ตอนนี้คงมีอะไรดีๆและทำให้ครอบครัวนี้มีความสุขอีกครั้ง 

(หน้านี้ไม่พอค่ะขออนุญาตต่ออีกหน้านะคะ)

เราจึงมาเขียนในกระทู้นี้ เผื่อหมอจะมาอ่านบ้าง ถ้าหมอ P ได้เข้ามาอ่าน อยากบอกให้หมอ P ได้รู้ว่า เราทุกคนเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และคงเอาเรื่องหรือทำอะไรคุณไม่ได้เพราะร่างเพื่อนเราได้สลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว เขาได้ไปอยู่ข้างบนแล้ว 
ถ้าคุณบริสุทธิ์เพราะอะไรคุณต้องบิดเบือน? 
เพราะอะไรคุณต้องรีบกลับไปจัดการของในห้อง?  
เพราะอะไรคุณไม่บอกให้เร็วกว่านี้ว่าคุณใช้ยาตัวไหนกับเพื่อนเรากันแน่? 
เพราะอะไรคุณถึงทำร้ายเพื่อนเรา? 
และสุดท้ายทำไมต้องเป็นคุณ! และที่สำคัญที่สุดคือ คุณเป็นคนที่เพื่อนเรารัก
หลายๆคนคงอยากให้เราและครอบครัวอโหสิกรรมให้หมอ P คนนี้ จะได้ขาดกัน ไม่จองเวรจองกรรรมต่อกัน 
แน่นอนเราขอให้ขาดกัน ณ ชาตินี้ เพื่อนเราคงอาจทำบุญมาน้อย  และอีกอย่างคุณอาจเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรเก่าของเพื่อนเราตั้งแต่ชาติปางไหน เราก็ไม่อาจรู้ได้ เราก็ขอให้พอกันแค่นี้เถอะนะ มีคนเสียใจและบอบช้ำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากพอแล้ว 

มาถึงตรงนี้คนที่ได้อ่านเรื่องราวดังกล่าวถ้าเป็นคุณคุณจะทำอย่างไร  มีหลายคนถามแม่ว่าทำไมไม่เอาเรื่อง? 
จะไปเอาเรื่องเขาได้อย่างไร ในเมื่อเขาจัดการกับหลักฐานทุกสิ่งทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว  ไม่มีอะไรเหลือเลย  และตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้แล้ว 
คุณนึกภาพออกไหมตอนที่เราต้องยื่นดอกไม้ใส่ในกองเพลิงที่สุมร่างของคนที่เคยเป็นเพื่อนกันมันไม่เร็วไปหน่อยหรอกับคนที่อายุเพียง 23 ปี แม่และป๊าเองก็ไม่สามารถขึ้นไปส่งลูกของตนได้สุดทาง คุณไม่สงสารเขาบ้างหรอ

มาถึงวันนี้แม้จะผ่านไปหลายวันแล้วแต่เรารวมทั้งเพื่อนๆและครอบครัวก็ยังคิดถึง S เสมอ อยู่ข้างบนสบายดีไหม ขอให้เพื่อนยิ้มให้คนข้างล่างและเป็นกำลังใจให้คนที่อยู่ต่อไปด้วยนะ อะไรที่เลวร้ายขอให้จบกันเพียงชาตินี้ แล้วสักวันเราจะพบกันใหม่...คนบนฟ้า

เหตุเพราะความไว้ใจ ทำให้เพื่อนเราจากไปชั่วนิรันดร์

ขอบคุณกระทู้จากพันทิป จากสมาชิกชื่อว่า nett2801


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์