ประสบการณ์จริงเรื่อง เวรกรรม ที่ไม่ได้มีเอาไว้หลอกเด็ก


นรก - สวรรค์ และ ‘เวร-กรรม' มีจริง หรือไม่!? เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีคำถามในใจ ถึงเรือ่งเหล่านี้กันทั้งนั้น ...บางคนเชื่อ แต่บางคนก็ไม่เชื่อ เพราะไม่มีเหตุผล หรือ หลักฐานใดใด มาพิสูจน์ ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์... 

แต่สำหรับคนทีเคยพบและประสบกับตัวเอง อย่าง เช่น เจ้าของกระทู้หนึ่งใน pantip.com แล้ว เธอบอกว่า เธอเชือ่เต็มร้อย ว่า ‘เวร-กรรม' มีจริง เพราะประสบการณ์ตรงที่เกิดกับครอบครัว และ คนใกล้ตัวของเธอนั่นเองที่เป็นสิ่งพิสูจน์

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับ ครอบครัว ของ คุณสมาชิกหมายเลข 1500742 เวบไซต์ pantip.com ที่มาตั้งกระทู้เล่าเรื่องราวเอาไว้ดังนี้ 


ลองอ่านดูค่ะ


‘ประสบการณ์จริงเรื่อง ' เวรกรรม ' ที่ไม่ได้มีเอาไว้หลอกเด็กจริงๆนะคะ'

ขอเริ่มย้อนไปเมื่อ50กว่าปีที่ผ่านมา คุณพ่อเราเป็นคนไทยเชื้อสายจีนค่ะ พื้นเพที่บ้านของคุณพ่อเป็นคนมีเงิน แต่คุณพ่อเราชอบทำงานหาเงินเองมากกว่า เพราะฉะนั้นคุณพ่อเราเลยเริ่มหาเงินส่งตัวเองเรียนตั้งแต่ปวช. แล้วตั้งแต่นั้นมาคุณพ่อก็เริ่มเกเร ไม่เรียนหนังสือ วิชาเดียวที่สอบผ่านคือวิชาพละ ที่ตัวเองสนิทกับคุณครู เริ่มมีสิ่งเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มมีเรื่องชู้สาว และสิ่งไม่ดีอีกมากมายที่เราจะค่อยๆเล่าต่อจากนี้

อันดับแรกเลยที่กระทบต่อชีวิตปัจจุบันมากที่สุด คือพ่อเราเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำแท้งค่ะ ตอนช่วงวัยรุ่น คุณพ่อเราเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดี แล้วยิ่งช่วงนั้นหนุ่มตี๋เป็นที่นิยมมากพอสมควร ทำให้คุณพ่อเรามีผู้หญิงมาติดพันเยอะ ไม่มีการป้องกันหรือยังไงไม่ทราบ แต่สุดท้ายคือผู้หญิงคนนั้นท้องค่ะ แล้วก็จบลงด้วยการที่พ่อเราพาไปทำแท้ง..

แต่สิ่งที่ทำให้เราตกใจมากที่สุดคือ ตอนที่พ่อบอกเราว่า ผู้หญิงที่พ่อเราพาไปทำ 'ไม่ได้มีคนเดียว' ขอใช้ทำว่าฟันแล้วทิ้งเลยดีกว่า เราไม่ทราบจำนวนจริงๆเพราะพ่อบอกก็ลืมๆไปบ้างแล้ว

ช่วงระหว่างวัยรุ่น พ่อเราก็มีแก๊งซ์เพื่อนๆของเขา ซึ่งพ่อเล่าว่า เคยกระโดดลงน้ำไปเพื่อจับงู กระโดดลงไปกับเพื่อน โดยที่พ่อเราเป็นคนจับ(กล้ามาก!) ปรากฏว่างูที่จับขึ้นมา มันเป็นงูเห่าเผือก! พ่อเรายังเก็บรูปตอนที่พ่อกับเพื่อนๆจับเจ้างูเผือกนั้นมาทำอาหารเอาไว้อยู่เลยค่ะ แล้วยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากรรม งูตัวนั้นกำลังไข่อยู่เลย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่รอดทั้งแม่งูแล้วก็งูตัวน้อยๆในไข่ที่ไม่มีโอกาสได้ออกมาสู่โลกภายนอก

พ่อเรามีเรื่องน่าแปลกใจเยอะมากโดยเฉพาะประสบการณ์เฉียดตายแต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง

อย่างที่สองต่อมาก็คือ พ่อเราเคยทำตู้ม้าค่ะ ตอนนั้นพ่อเราเจอแม่แล้ว และก็แต่งงานแล้ว กำลังท้องเราอยู่(เป็นลูกสาวคนแรกค่ะ) ตอนนั้นพ่อเราเปิดร้านอาหารกลางคืนแล้วก็มีตู้ม้าด้วย ช่วงนั้นคุณแม่บอกเงินเข้าเยอะมาก ไม่เคยขาดมือเลย หยิบใช้คล่องจนไม่มีเงินเก็บและลืมที่จะออมเงิน แล้วยิ่งเงินที่มาจากพนันตู้ม้าก็ยิ่งเยอะเข้าไปอีก แล้วพอมีคนเข้ามาเล่นก็ต้องมีคนเสียจริงไหมคะ ไม่รู้ว่าตอนที่พ่อเล่าน่ะ เป็นทีเล่นหรือทีจริง พ่อบอกว่า คนที่เสียจนมีหนี้ท่วมหัวจากพนัน เดินมาขอเงิน แต่สิ่งที่พ่อเรายื่นให้ ไม่ใช่เงิน แต่เป็น 'ลูกปืน' เราก็ไม่รู้ว่าจริงแท้มากแค่ไหน เพราะเคยฟังเพียงครั้งเดียวแล้วพ่อก็ไม่เคยเล่าให้ฟังอีก เขาบอกแค่เพียง เรื่องบางเรื่องในชีวิตเขา 'เขาก็เล่าให้ใครฟังไม่ได้'

จากนั้นพ่อเราก็เลิกทำธุรกิจอย่างนั้นแล้วเปลี่ยนมาทำธุรกิจโบรกเกอร์แทน ซึ่งนี่กิจการที่พ่อทำต่อมาจากอาม่า แต่ช่วงแรกอาม่าบอกพ่อเราว่าห้ามทำบริษัทประกันเด็ดขาด แต่พ่อเราดื้อ เปิดบริษัทขึ้นมาจนได้ ตอนนั้นอาม่าโกรธจนหนีกลับต่างจังหวัดเลยค่ะ แต่เพราะเงินดีมากเรียกว่าวันนึงการหาเงินล้านเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับบ้านเรา อย่าหาว่าเราโม้เลยค่ะ ตอนมีเงินพ่อเราเหมือนเป็นเจ้าขุนเจ้านายจริงๆ มีแต่คนเดินเข้าหา เราเองก็จำภาพนั้นได้ดี มีแต่คนมาประจบพ่อเราไม่ว่าจะคนรุ่นกลางหรือรุ่นใหญ่

จนมาถึงช่วงพีคที่สุดของชีวิต กรรมมันรอจังหวะที่เราเผลอ แล้วมันก็มาทวงคืน...

มันเริ่มจากแบค ออฟฟิศพ่อเราไม่ดี เพราะพ่อเรามัวแต่ลุยตลาดจนลืมว่าเบื้องหลังมันไม่แน่นพอ ทำให้ลูกน้องแม้กระทั้งเลขาคนสนิทที่พ่อปั้นมากลับมือ (วันพ่อที่เลขาคนนี้เอาพวงมาลัยมากราบแทบเท้าว่านับถือพ่อเราเหมือนพ่ออีกคน) เขากลับทรยศหักหลังพ่อเราได้ลงคอ

ช่วงนั้นเราเห็นแล้วว่าพ่อเราเสียสติจนเหมือนคนบ้า วันนึงที่เคยได้จับเงินล้าน ตอนนี้เงินร้อยบางที่ทั้งวันก็เพิ่งได้จับ พนักงานเองก็ทรยศไปเข้ากับบริษัทคู่แข่งจนบริษัทเราเองกำลังจะล้ม ตอนนั้นแม่เราที่กำลังท้องน้องคนสุดท้องก็เครียด คุณแม่เราเครียดจนตกเลือด แม้จะผ่านมาเกือบ10ปี เราก็ยังจำได้ว่าคนขับรถเราตอนนั้นมารับเรากลับจากโรงเรียนหลังจากที่รอนานมาก พี่เขาเห็นเราแล้วก็บอกพลางร้องไห้ไปด้วย เขาบอกว่าสงสารแม่เรา แม่เราเครียดมากจนเป็นลม เครียดจนตกเลือดต้องพาไปโรงพยาบาล แม่เราปวดหัวจนเอาหัวโขกกับโต๊ะทำงาน จขกท.ในตอนนั้นรู้สึกแต่ว่า อยากเลิกเรียนแล้วออกมาหางานทำ ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากอีกแล้ว แต่เท่านั้นยังทรมานไม่พอ...เรากับน้องคนกลางเห็นภาพที่แม่เรานอนอยู่บนเตียงเฉยๆ บางครั้งแค่พลิกตัวเลืดก็ออกแล้ว จนกระทั้งครรถ์เข้าเดือนที่5 แม่เราเครียดมากจนเลือดไหลออกมาไม่หยุด แม่ต้องแอดมินเข้าโรงพยาบาลด่วน หมอเข้าไปตรวจแล้วกลับออกมาบอกให้พ่อเราฟังว่าเด็กในท้องก็หยุดหายใจไป อาจจะต้องผ่าออกทันที ไม่อย่างนั้นจะเสี่ยงครรถ์เป็นพิษอันตรายทั้งแม่และเด็ก ซึ่งนั้นเท่ากับเราต้องสูญเสียน้องของเราไป แต่พ่อสวนหมอกลับไปว่า

"คุณหมอครับ ผมขอเวลา10นาที"

พ่อเราวิ่งกลับไปที่รถ ท่านนั่งร้องไห้ ท่านบอกไม่รู้อะไรดลใจ อยู่ก็นึกถึงเจ้าแม่กวนอิมให้ช่วย พ่อเราอธิษฐานว่า "หากผมเคยทำกรรมอะไรเอาไว้ขอให้ลงที่ผม อย่าลงกับเด็กที่เขาไม่รู้อะไรด้วยเลย" แต่มันน่าแปลกตรงที่เมื่อก่อนพ่อเราเคยพูดเอาไว้ว่า 'เจ้าแม่กวนอิม พระบ้าอะไรมีเป็นพันมือ ไร้สาระ'

แต่เชื่อไหมค่ะ พ่อเรากลับมาหาหมออีกที หมอบอก แปลกมากเด็กหายใจแล้ว เมื่อครู่นี่เอง น้องเราหยุดหายใจไปเกือบชม.เลยค่ะ จนหมอรอดูอาการแล้วก็ยอมให้เก็บน้องเอาไว้แล้วให้คุณแม่ทนจนอายุครรถ์เข้าเดือนที่7ก่อนจะต้องผ่าออกเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ น้องคนเล็กของเราออกมาลืมตาดูโลกตอนอายุครรถ์ได้7เดือน ผลกระทบที่คลอดก่อนกำหนดก็คือปอดน้องเราไม่แข็งแรง ต้องไปนอนให้หมอพ่นยาอยู่เกือบปีเลยค่ะ ตอนนอนพ่อเราก็ต้องคอยตบปอดเบาๆให้น้องนอน

**เรื่องต่อไปนี้จะเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ

หลังจากที่น้องคนเล็กเราได้ลืมตาขึ้นมา วันนึงเรา น้องแล้วก็คุณพ่อไปเดินเล่นที่ห้างเสรี(ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพาราไดซ์ พาร์ค) พ่อเราเดินผ่านร้านขายของที่มีจำพวกพระจีน(ไม่ทราบเรียกว่าอะไร) พ่อเราก็เดินเข้าดูเล่นๆ เพราะคิดอยู่แล้วว่าตัวเองคงไม่ซื้อแน่ ตังที่พกไปก็มีไม่กี่ร้อยบาทเอง แต่.. พ่อเราดันหันไปเจอรูปเจ้าแม่กวนอิมแกะสลักค่ะ แกะจากไม้200กว่าปี เป็นไม้หอม (ทุกวันนี้บางวันท่านยังส่งกลิ่นหอมอยู่เลย) พ่อเราอยากได้มาก ไม่รู้ทำไม แต่ราคาที่ป้าย มันเขียนเอาไว้ว่า 2แสนกว่าบาท... เงินก็พกมาไม่กี่ร้อย บัตรเครดิตก็รูดใช้ไม่ได้ซักใบ จะเอาเงินจากไหนมาซื้อ พ่อเราเลยจำใจเดินออกมาจากร้าน เดินผ่านแล้วผ่านอีกหลายรอบมากๆ บ่นให้เราฟังด้วยว่าป๊าอยากได้จังเลย ท่านเองก็คิดไปว่าถ้าได้มาไว้บูชา จะเปิดบริษัทเพื่อพุทธศาสนา จะทำไหว้พระพระ9วัด

ฟังดูก็เหมือนหนังตลก เงินที่มีก็พอแค่ซื้อข้าวกินไปวันๆเท่านั้น จะเอาเงินจากไหนมาซื้อรถพาคนอื่นไปไหว้พระ ไหนจะค่าจ้างคนขับอีก นึกแล้วก็ยิ่งตลกเข้าไปอีก เพราะเจ้าของร้านที่ว่า เป็นคุณลงหน้าจีนๆ เดินออกมาเรียกให้พ่อเราเข้าไปคุยด้วยเพราะเห็นเดินผ่านไปผ่านมาหลายรอบแล้ว(เราไม่ได้ตามเข้าไปด้วยนะคะ) สรุปพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมที่ทำจากไม้สักหอมก็มาอยู่บ้านเราด้วยราคาเพียงแค่3หมื่น เท่านั้นเองค่ะ


ธุรกิจเราแย่ตั้งแต่ปี2540 ช่วงเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง พ่อเราเคลียดมาก จนมีอยู่คืนนึง ท่านตื่นมากลางดึก ในมือของท่านมีปืนอยู่ด้วย พ่อเราเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นคิดออกเพียงท่านทนรับสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ปากปืนขึ้นตรงมาที่ขมับแล้วค่ะ แต่เดชะบุญที่ตอนนั้นพ่อเรามองต่ำลงมา เห็นแม่ เราแล้วก็น้องๆนอนหลับกอดกันอยู่ ท่านจึงคิดได้แล้วหยุดความคิดบ้าๆนั้นทัน
(เราก็ได้แต่คิดนะว่า เออ เหมือนตอนที่คนเขามีปัญหาแล้วมาหาพ่อเรา พ่อเราก็เสนอหนทางที่ใช้ลูกปืนเหมือนกันเลย เวรกรรมแท้ๆ)

ผ่านมาไม่กี่ปี ตอนน้องคนเล็กเราอายุประมาณ4ขวบ(ช่วงเริ่มหัดเดิน) พ่อเรากลับบ้านมาด้วยสภาพขาสั่นเดินไม่ไหว เพราะเจ้าหนี้มาทวงเงิน10กว่าล้านกำหนดภายในวันพรุ่งนี้ เพราะพลัดนัดมาหลายเดือนมากจนเขาไม่ยอมแล้ว หากไม่มีเอาไปคืน บ้านและทรัพย์สินเราจะถูกยึด ตอนนั้นพ่อเราเห็นน้องคนเล็กก็เดินเข้าไปหา บอกว่า

"ช่ายๆ ขึ้นไปขอตังจากแม่(เจ้าแม่กวนอิม)ให้หน่อยสิลูก ป๊าต้องใช้เงิน"

น้องคนเล็กเราก็เดินไปห้องพระ พี่เลี้ยงนางก็เดินตามไปก่อนที่นางจะเรียกให้แม่กับพ่อเราแล้วก็เราขึ้นไปดูว่าน้องคนเล็กเราหยิบธูปขึ้นมาสามดอกเป๊ะโดยที่ไม่มีใครบอก แถมยังพูดเสียงดังว่า

"แม่คะ หนูขอตังให้ป๊าหนูหน่อย แล้วตังที่เหลือหนูจะเอาไปซื้อของเล่น"

วันต่อมาพ่อเราไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน เลยต้องเรียกเพื่อนมาขับรถไปส่งที่ออฟฟิศให้ที ตอนนั้นเองก็มีโทรศัพท์เข้าเป็นเสียงผู้หญิง เขาบอกว่า

"คุณ...ใช่ไหมคะ ยินดีด้วยค่ะ ทางบริษัทเราอนุมัติวงเงิน12ล้านบาทโดยไม่ต้องใช้คนค้ำ เนื่องจากที่ผ่านมาเครดิตคุณ...ดีมาโดยตลอด"(ขอโทษนะคะ ถ้ามีข้อมูลผิดพลาด มันนานพอสมควรแต่เนื้อหาประมาณนี้)

พ่อเรา: คุณ ผมกำลังเครียดอย่ามาล้อเล่นได้ไหม

คุยกันไปคุยกันมา พ่อเราก็ไม่ยอมเชื่อจนผู้หญิงคนนั้นบอกว่า "เอางี้ คุณลองส่งแฟกซ์มา อย่างร้ายคุณก็แค่เสียเงินค่าส่งแค่ไม่กี่สตางค์" พ่อเราไปถึงที่ทำงาน ท่านก็ชั่งใจจนกระทั้งเอาวะ ไหนๆก็เสียแค่ค่าส่งไม่ได้เสียอะไรมากมาย ไหนๆก็ไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว สุดท้ายบ้านเราก็ได้เงินมาในจำนวน12ล้าน โดยไม่ต้องใช้อะไรค้ำเลย แถมเงินที่เหลือก้พอสำหรับไปซื้อรถตู้มา5คันเพื่อไว้สำหรับพาคนไปไหว้พระ9วัดอีกด้วยค่ะหลังจากนั้น บ้านเราก็ได้เงินมาหมุนแบบฟลุ๊คๆจากการที่น้องเราขึ้นไปขอเจ้าแม่กวนอิมนี่ละคะ (แต่พอน้องเราเริ่มโตขึ้น เหมือนจะสื่อไม่ได้อีก ตอนนี้น้องเราก็14แล้วค่ะ) เมื่อตอนเด็กๆมีเหตุการณ์นึงน้องคนเล็กเราทำยางจากใบมะม่วงเข้าตา บ้านเราตกใจกันจนทำอะไรไม่ถูก น้องเราวิ่งขึ้นไปห้องพระ ไปร้องไห้บอก แม่ช่วยหนูด้วยๆ แต่พอแม่เราพาไปหาหมอปรากฎว่าน้องเราไม่เป็นอะไรเลย ก็แปลกดีเหมือนกันค่ะ

บ้านเราเริ่มสัมผัสกับสิ่งที่มองไม่เห็นมากขึ้น โดยเฉพาะคนนอกที่มานอนค้างบ้านเราส่วนใหญ่จะเห็นเด็กมาวิ่งเล่นในบ้านหนักสุดก็มานั่งทับอก มาเล่นด้วยตอนนอนค่ะ... แล้วยิ่งน้องคนกลางเราที่แม่เราเคยไปขอพระท่านมา(ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรนะคะ แต่ได้ว่าขอๆ ซื้อๆ คือหลังจากคลอดน้องคนกลางมาน้องเราอยู่ๆก็แหกปากร้องแบบไม่มีเหตุผล แบบชนิดที่พ่อแม่เราพากันวางทิ้งเลยค่ะ เรางี้นั่งร้องไห้กับน้องเลยเพราะสงสารไม่รู้น้องร้องทำไม เค้าบอกน้องเราเหมือนเป็นเด็กโคลิค แม่เราเลยพาน้องไปหาพระให้พระท่านช่วย เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนอะไรก็ไม่ทราบค่ะ) ตั้งแต่นั้นมาโจขึ้นนางบอกว่า บางทีนั่งเล่นคอมดึกๆ ก็มีคนมาเขย่าเก้าอี้จนน้องบอกว่า รู้แล้วเดี๋ยวเข้านอนแล้ว

วันพระ นางก็ฝันว่าเห็นพระมานั่งอยู่ที่ห้อง หลาย10องค์เลย ที่พีคสุดคือนางเดินไปปิดผ้าม่านที่หน้าต่าง นางบอกว่า เจอคนชะโงกหน้าออกมายิ้มให้ ถ้าจะบอกว่าเป็นคนก็คงต้องเป็นคนที่สูงพอจะชะโงกหน้าออกมายิ้มบนหน้าต่างชั้นสองแหนะ ส่วนตัวเรา จขกท.ก็เคยเห็นเหมือนกันค่ะ แต่เราเป็นคนขี้กลัว ใจไม่แข็งเหมือนน้องคนกลาง ยอมแพ้จนต้องจุดธูปบอกว่า ถ้าอยากจะสื่อกับหนู มาสื่อในฝันนะคะ ขอมาในสภาพดีๆน้า จากวันนั้นเราก็ไม่เคยเจอเลยนะคะ แต่ถ้ามาสื่อกับเราในฝันก็บ่อยอยู่เหมือนกันค่ะ(ทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่เลยค่ะ 5555) เอาไว้ว่างๆ มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง เยอะมากเลยค่ะ กลัวเล่าไปมันจะนอกเรื่องกรรมที่ทำนั้นส่งผลมาในชาตินี้จริงๆนะคะ เราเรื่องบางเรื่องยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เรื่องเข้าวัดนี่บางครั้งก็ยังขี้เกียจะไปเลยค่ะ จนพ่อมาเล่าให้ฟังเราถึงเชื่อสนิทใจ เพราะในชีวิต20กว่าปีที่ผ่านมา ทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องธุรกิจนั้นแทบจะพังไม่เป็นท่า สติแตกจนต้องเข้าพึ่งทางธรรม เลยมีโอกาสได้พบกับแม่ชีพราหมณ์และพระที่เก่งมากๆอยู่หลายท่าน พวกท่านพาพ่อและแม่เราไปถือศิลที่หอสำนักธรรม(เรียกผิดขออภัยนะคะ) และได้มีโอกาสไปทำการเปิดกรรม เราเองก็ได้ไปด้วย แต่เข้าไม่ถึงจริงๆค่ะ

ไม่รู้ทั้งพระทั้งแม่ชี ท่านเห็นอะไรในตัวพ่อเราท่านถึงบังคับให้พ่อเรานั่งสมาธิสวดมนต์ พ่อเราเหมือนเป็นไฮเปอร์ค่ะ อยู่ไม่ค่อยสุก แต่วันนั้นที่นั่งแม่ชีที่นั่งสมาธิกับพ่อเราไปด้วย ท่านนั่งไปน้ำตาไหลเลยค่ะ ท่านบอกว่าเคลสของพ่อเราหนักจริงๆ ก่อนหน้านี้ท่านเห็นด้วยว่าพ่อเรามีเด็กเกาะอยู่ที่ไหล่(ไหล่พ่อเราเสียจริงๆค่ะ ยกไม่ค่อยขึ้นเลย) พูดแล้วพ่อเราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่แม่ชีพูดนั้นตรงทุกอย่างทั้งๆที่พ่อเราอยากลองของว่าท่านแม่นจริงไหม พ่อเราไม่บอกอะไรเลยแต่แม่ชีกลับพูดถูกและตรงหมดทุกอย่าง กระทั้งเรื่องทำแท้งและฆ่างูแม่ชีบอกว่า

'โชคยังดีที่ยังรอด เพราะเอ็งยังมีคนคุ้มครอง'

วันทำบุญแม่ชีก็บอกให้พ่อเราเขียนชื่อเด็กที่ทำแท้งให้ที เด็กที่ไม่มีชื่อเราก็ตั้งชื่อเขาด้วย ชื่อแม่ของเด็กด้วยก็ดี ท่านว่าๆ ตอนท่านนั่งสมาธิดู ท่านเห็นผู้หญิงคนนึงเข้ามาร้องไห้กับแม่ชี เขาบอกว่าเขาทรมานมาก เขาไม่มีทางปล่อยผู้ชาย(พ่อเรา)ให้มีความสุขหรอก ต้องให้พ่อเรารู้ว่าเขาทรมานอย่างไร เชื่อไหมค่ะ รายชื่อเด็กที่พ่อเราตั้ง เอาแค่เท่าที่จำได้ก็มีตั้ง 4-5คนแล้วค่ะ(ส่วนแม่เด็กที่เอาออกนี่ไม่น่าจะซ้ำกันเลย)แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่แม่เรานะคะ

กรรมอย่างไรก็แก้ไม่ได้หรอกค่ะ เพียงแต่ทำให้จากหนักเป็นเบา ค่อยๆทำบุญให้เขา เผื่อว่าเขาจะอโหสิให้ ยิ่งตอนนั้นพอกับแม่เราทำบุญด้วยของใช้เด็กตลอดเลย อะไรที่พอจะช่วยเหลือเด็ก เช่น เด็กกำพร้า พ่อกับแม่เราก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือหรือบริจาคสิ่งของให้ (เสื้อผ้า ของเล่นของเรา เราก็หอบเอาไปให้นะคะ เราเห็นแล้วเราก็สงสารเหมือนกัน)

หลังจากไปทำบุญเปิดกรรมคราวนั้น อะไรๆก็ดีขึ้นนะคะ แต่ดีขึ้นเพียงประเดี๋ยวเท่านั้นเอง มันก็กลับไปแย่ใหม่ เหมือนกันเรากำลังว่ายน้ำ กำลังจะจมน้ำพอเจอห่วงชูชีพจะคว้าเอาไว้ แต่ก็คว้าเอาไว้ไม่ได้ ชีวิตเราเหมือนกันเลยค่ะ วันดีคืนดีพ่อเรากลับบ้านมาหน้ายิ้มบานแฉ่งบอกว่ามีคนใจดีมาช่วยธุรกิจเราแล้วนะลูก เรารอดตายแล้ว เราก็ดีใจ ผ่านไปเดือนสองเดือน พ่อกลับเข้าบ้านมาน้ำตาตกใน ถามว่าพ่อเป็นอะไร พ่อบอกพ่อโดนเขาทรยศอีกแล้วลูก

ก็เลยแวะเวียนหันไปหาแม่ชีอีกครั้ง ท่านนั่งทางในให้ก็เห็นว่าเรื่องมันยังไม่จบหรอก ลูกจำงูเผือกตัวนั้นได้ไหมที่ลูกฆ่าเขา พ่อเราก็ตกใจ งงว่าแม่ชีท่านรู้ได้ไง พอถามเอา แม่ชีท่านว่าตกใจมาก ในนิมิตท่านเห็นงูเผือกตัวนึงเลื่อยมาหาท่าน แล้วปรากฏกายเป็นผู้หญิง เธอว่าผู้ชายคนนี้ฆ่าเธอกับลูกของเธออย่างเลือดเย็น(แม่ชีบอก ไม่รู้ว่านางเกิดในยุดไหนแต่นางไม่ได้เรียกพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้า แต่กลับเรียกว่าพระสิทธัตถะซึ่งมีแต่คนโบราณหลายร้อยปีที่เรียก เราก็เดาว่าน่าจะเป็นงูเจ้าที่ ) เธอจะเอาพ่อเราถึงตาย เลือดอย่างไรก็ต้องชำระด้วยเลือด ทำแค่ตัวเขาไม่พอ ยังทำร้ายลูกของเขาอีก แม่ชีท่านว่าอย่างนั้น แม่ชีท่านก็เจรจาให้ คุยไปคุยมา เธอว่าต้องการให้พ่อเราบวชให้อย่างน้อย3พรรษาหลังจากที่แม่ชียื่นคำขาด "ยังไงเธอก็ต้องการให้ลูกบวชให้เขา จากหนักอาจจะกลายเป็นเบา" พ่อเราก็บอกภาระหน้าที่ จะให้เขาทิ้งไปให้เมียเขาคนเดียวได้ยังไง แม่เราก็เครียด(ช่วงแรกๆแม่เราเหมือนกลายเป็นคนไร้สติไปแล้วค่ะ พอได้เข้าวัด อาการก็ดีขึ้นมาหน่อย) ไหนจะลูกสาวตั้งสามคน คนนึงก็เข้ามหาลัย อีกสองคนก็กำลังเรียน ทุกอย่างต้องใช้เงินหมด คิดหาหนทาง พ่อเราก็เลยบอกแม่ชีช่วยสื่อกับเธอคนนั้นหน่อย บอกว่าช่วยทำให้ธุรกิจพ่อเราดีขึ้นทีเพราะถ้าทุกอย่างมันลงตัวแล้ว พ่อเราจะรีบบวชให้ทันที (จริงๆ งูเผือกนั้นเธอมีชื่อนะคะ เธอบอกชื่อเธอมาเหมือนกัน แต่เราจำไม่ได้แล้วเพราะว่าเรียกยากมาก) แม่ชีท่านก็เหมือนไปนั่งสมาธิ กลับมาอีกวัน แม่ชีบอกเธอตกลง แต่ต้องจำคำพูดนี้เอาไว้ให้ดีๆ พ่อเราก็รับปาก

มันมีเรื่องยิบย่อยอีกมากมาก เพราะกรรมที่เกิดจากการกระทำของพ่อเราไม่ใช่น้อยๆ แค่เรื่องแรกที่ไปทำแท้งก็หนักหนาแล้ว แล้วไหนจะเรื่องที่พ่อพูดว่า มันรุนแรงถึงขนาดเล่าให้ใครฟังไม่ได้ มันก็คงหนักจริงๆ ส่วนผลของมัน จขกท.ก็ไม่รู้ว่าจะมองว่าความผิดของพ่อในการบริหารงานที่เชื่อใจคนผิดดี หรือจะเป็นเป็นเวรเป็นกรรมดีค่ะ เพราะปัจจุบันมานี้ธุรกิจที่บ้านเราก็ไม่ได้ดีขึ้นมาเลยมีแต่จะแย่ลงๆ ไปดูหมอดูกี่หมอๆ เข้าเห็นหน้าพ่อเราเขาก็บอกว่าหน้าแบบเฮียดูเป็นคนมีตังด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันค่ะ ตอนนี้เรากับแม่ไม่อยากจะหวังอะไรเรื่องธุรกิจแล้ว แต่ก็ต้องเก็บไว้เพราะอยากให้พ่อเรามีกำลังใจ

แม่เราดูแลบริษัทโบรกเกอร์เสียส่วนใหญ่ค่ะ แล้วให้พ่อเราออกไปหางานเสริมเอาข้างนอก(แต่พ่อเรายังคงเป็นผู้บริหารอยู่นะคะ) คือไปหาโปรเจ็คทำข้างนอก ผ่านมากี่10โปรเจคก็โดนเขาหักหลังหมดเลยคะ (เราเล่าไปก็นั่งร้องไห้ไป) ไม่ว่าจะหยิบจะจับอะไร มันก็เป็นเงินเป็นทองนะคะ แต่ก็หลุดหมด

เคยทำนายหน้าที่ดิน พอจะมีคนซื้อๆจะโอนกันวันนี้พรุ่งนี้ ที่ดินพ่อเขาว่าถ้าได้ก็มีเงินพอเอามาปลดหนี้บ้าง เราก็ดีใจ แต่เอาเข้าจริงๆก็หลุดไปด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบค่ะ หรือไม่ก็โดนคนหลอกใช้แล้วก็หักหลังสุดท้ายพ่อเราเสียทั้งชื่อ เสียทั้งเงิน

พอเปลี่ยนไปทำโปรเจคอื่น คำนวนดูแล้วยังไงๆ เงินล้านก็ไม่หลุดมือ แต่สุดท้ายมันก็หลุด ก็เสียทั้งงาน เสียทั้งเพื่อน งานพ่อเราคิดโปรเจคอะไรมาได้ เหมือนเรากำลังวิ่งนำที่หนึ่ง อีกไม่กี่เซนก็ถึงเส้นชัยอยู่แล้ว แล้วเหมือนมีคนมาบอกว่า การแข่งนี้ล้มเลิก... อารมณ์เดียวกันเลยคะ เมื่อก่อนตอนยังมีตัง เดินไปไหนมีแต่คนเค้ากราบเขาไหว้ แต่ตอนนี้กระทั้งยามห้างยังด่าเลยค่ะ ก็ตลกชีวิตดีเหมือน ใครว่าเงินซื้อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราเถียงสุดใจเลยค่ะ ทุกวันนี้พ่อเรายังพูดอยู่เลย ชีวิตป๊าเหมือนกับหมาจนตรอกเลยลูก เพราะมันทำอะไรไม่ขึ้นจริงๆค่ะ ทำงาน เราผิดเขาก็ด่า เราไม่ผิดเขาก็ด่า คนอื่นทำผิด เขายังมาด่าเราเลยค่ะ

พ่อเราเคยว่า ว่ามันเป็นเวรกรรมของพ่อเราที่ทำมา แต่ยังดีที่มันไม่ได้ตกไปถึงลูกๆ แต่เราว่าไม่จริงเลยค่ะ เราทรมานสุดหัวใจที่เห็นครั้งนึงแม่เราเกือบเป็นบ้า นอนตาลอยไม่มีสติ บางทั้งก็แอบเห็นพ่อเราเอาแต่นั่งทุบหัวตัวเอง เหมือนตอนที่พ่อเราเคยโมโหหมามันมากัดมือ แล้วพ่อเราจับขาหลังมันแล้วทุ่มลงกับพื้น มันเหมือนกันเลยค่ะ

และไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม่เราต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะตรงหัวนมของแม่เราเหมือนมีเนื้องอกออกมา บางครั้งก็น้ำเหลืองไหลบ้าง เลือดไหลบ้าง แผลจะแห้งๆ ก็ไม่ยอมแห้งเสียที หมดยาไปกี่หลอดก็ไม่หาย เป็นเรื้อรังมาหลายปีจนพ่อบอกให้รีบไปหาหมอเถอะ น่ากลัวจะเป็นมะเร็ง (แต่ตอนนั้นถ้าเป็นมะเร็งจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนมารักษาคุณแม่เหมือนกัน) โชคดีมากที่อาโกเราเป็นพยาบาลทำงานอยู่สาธารณะสุข อาโกเรามีอายุแล้วเหมือนกันค่ะ หน้าที่ตำแหน่งก็สูงหน่อยเลยพอจะพาแม่เราเข้าพบอาจารย์หมอเก่งๆได้บ้าง ตอนพบหมอ หมอก็บอกทำไมปล่อยให้เป็นขนาดนี้ มองยังไงไม่ต้องตรวจก็รู้แล้วว่าเป็นมะเร็งเต้านม (แม่เราห่างจากการตรวจมะเร็งนานพอสมควรคะเพราะไม่มีเงินจริงๆ) แม่เราก็กลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย เราก็ได้แต่ปลอบว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังดีที่มันยังแสดงให้เห็น ดีกว่ามารู้อีกทีก็ตอนที่เชื้อมันเอาแม่เราจากไปแล้ว

แต่เหมือนบุญช่วยเลยค่ะ เพราะเคลสของแม่เราพิเศษมาก ไม่ว่าจะตรวจแบบไหน ตรวจแมมโมแกรมหรือว่าเข้าอุโมงค์(เรียกชื่อไม่ถูกT T) ผลตรวจออกมาเหมือนกันประมาณ4-5ที่ว่าแม่เราไม่ได้เป็นมะเร็งค่ะ คุณหมอจุฬาเลยรับแม่เราเป็นคนไข้พิเศษ นัดตรวจทุกเดือนแล้วก็ขอตัดชิ้นเนื้อเล็กๆไปตรวจดูเพื่อพิสูจน์ความแน่ชัดเป็นอย่างสุดท้าย เพราะหมอเองไม่เชื่อว่าจะไม่ใช่มะเร็งจริงๆ

เชื่อไหมค่ะวันพุธ ก่อนที่แม่เราไปฟังผลสรุปในวันพฤหัส คืนนั้นเราฝันว่า เราเดินไปกอดผู้หญิงคนนึง เธอมีผิวเข้ม เนื้อตัวดำเข้มมากเลยคะ ผมบนหัวเธอก็หลุดล่วงเหลือเป็นหย่อมบางๆ สั้นๆ เตียนๆ แต่เราจำใบหน้าของเธอไม่ค่อยได้นะ จำได้แค่เรากอดผู้หญิงคนนี้แน่นมากๆ เราร้องไห้หนักมากจริงๆในฝัน(ร้องจนเราตื่นมาเหนื่อย) เราเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่ เธอยิ้มให้เรานะ เราเห็นใบหน้าเธอไม่ชัดก็จริง แต่ความรู้สึกมันอบอุ่นเหมือนเธอกำลังยิ้มให้เรา เธอบอกว่าเธอต้องไปแล้ว(เหมือนต้องจากกันแล้ว) ในความคิดเหมือนนั้นเป็นแม่เราจริงๆ แต่เปล่าค่ะ พ่อกับแม่จริงๆของเรากลับยืนอยู่ข้างๆ มองดูผู้หญิงคนนั้นเดินหายไปค่ะ เหมือนเราสามคน มาส่งเธอไปสบาย

วันศุกร์ตอนเย็นแม่เรามารับเรากลับบ้าน เพราะตั้งแต่จันทร์ถึงพฤหัส เราไปนอนค้างที่หอเพื่อนเนื่องจากอยู่ในช่วงสอบ เราก็เลยเล่าให้แม่เราฟัง คิดแล้วคิดอีกว่าจะเล่าดีไหม เดี๋ยวแม่หาว่าเพ้อเจ้ออีก แต่ปรากฏแม่เราบอกว่า นี่รู้ไหมเมื่อวันพฤหัสแม่เราไปฟังผลแต่เช้า ผลออกมา...แม่เราไม่ได้เป็นมะเร็งเต้านมจริงๆค่ะ วันเสาร์เรานี่รีบลากแม่ไปทำบุญ ถวายสังฆทานแล้วก็กรวดน้ำให้กับแม่คนนั้นเลยค่ะ เค้นไปเค้นมา แม่บอกตอนแม่ท้องเราอ่อนๆ แม่นั่งรีดผ้าอยู่ ก็มีแม่แม่ลูกอ่อนจากไหนไม่รู้ เดินนอนข้างๆแม่เรา ด้วยความมือบอนเห็นแมวแม่ลูกอ่อน หัวนมมันจะเต่งๆแดงๆใช่ไหมค่ะ แม่เราก็เอาไม้หนีบผ้า ไปหนีบหัวนมเจ้าแม่แมวตัวนั้นเสียอย่างนั้น แม่บอก ดีนะว่ามันต่อมา มันยังไม่ได้หายไปไหน แม่เราเลยเอาไม้หนีบออกให้ แล้วมันก็วิ่งหายไป นี่ถ้ามันหายไปไม่เอากลับมาทั้งอย่างนั้น น่ากลัวว่าจะต้องตัดหน้าอกทิ้งทั้งหมดจริงๆคะ

*แต่แม่เราก็ต้องคว้านจุกนมข้างนั้นทิ้งนะคะ ส่วนเจ้าเนื้อเหล่านั้นคุณหมอขอเก็บเอาไว้เป็นcase studyไปหากี่หมอดู เขาก็ว่าเป็นกรรมที่เขามาทวงคืน ถ้าใครเคยดูรายการผีรายการนึง ผู้หญิงคนนึงทำอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่จมลงๆ เพราะครั้งนึงเคยไปทำแท้งมา ใครไม่เชื่อ แต่เราเชื่อนะคะ เรื่องนี้มันก็มองได้หลายแง่มุม บางทีก็อาจจะเป็นเพราะพ่อเราเองนั้นและ เดินทางผิดก็เอาแต่โทษเวรโทษกรรม แต่สิ่งเหล่านี้มันสัมผัมไม่ได้แต่มันรับรู้ได้จริงๆนะคะ ตอนนี้พ่อเราก็ยอมแล้วค่ะ ยอมให้เขาเอาคืน พ่อเราก็ก้มหน้าก้มตาชดใช้ จนตอนนี้ยังลืมตาอ้าปากไม่ได้เลยค่ะ ทำงานอะไรก็เจอแต่คนเขาเอาเปรียบ หักหลังจนตอนนี้มันชินและชาไปหมดแล้ว วันนี้ได้งานมา พรุ่งนี้เสียงาน เราก็ได้แต่บอกพ่อ ไม่เป็นไร เริ่มกันใหม่นะป๊า

เราบอกให้พ่อเราวางมือทุกอย่าง เขาอยากยึดบ้านก็ให้เขายึดไป เขาอยากเอาอะไรก็ให้เขาเอาไป ยังไม่ตายก็หาใหม่ ป๊ามีลูกสาวสามคน มีตั้งหกมือ หกตี.น มันจะไม่มีอะไรเจริญบ้างเลยเหรอ ป๊าบอกแล้วตอนนี้หนูเรียน จะเอาเงินก้อนที่ไหนมาส่งเสียเราเรียนละลูก บอกตรงๆ เราอึดอัดมากจริงๆ แม้พ่อจะบอกให้เรามีหน้าที่ตั้งใจเรียน แต่เรารู้สึกว่ามันไม่พอจริงๆคะ เราอยากหางานพิเศษทำ พ่อก็บอกไปช่วยงานที่บ้านดีกว่า แต่ทำไปเราก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่ดี เราเคยแต่งนิยายขายนะคะ ได้เงินมา5-6พันเหมือนกัน วันนั้นพ่อเราไม่มีตังเลยซักบาท แม่ก็มาบอกเรา เราเลยกดเงินสดมาให้พ่อเราใช้ บอกแม่ว่า เอานี่ให้ป๊าใช้นะแม่ แม้วันต่อมา ป๊าเราจะด่าว่าเราเอาเงินไปใช้เละเทะ(เราไม่ได้บอกว่าเอาเงินให้ป๊าเราค่ะ บอกไปบ้านระเบิดแน่นอนค่ะ) แต่เรามีความสุขจริงๆนะ ที่เห็นป๊าเราใช้เงินของเราซื้อข้าวกิน^^

จริงๆที่มาตั้งกระทู้ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเราก็อยากมาแชร์ประสบการณ์ว่าครั้งนึงเราเจอแบบนี้ในชีวิต มันก็เป็นอุทธาหรณ์สอนอะไรได้หลายๆอย่าง แต่อีกส่วนหนึ่งเหมือนกับว่าตอนนี้เราเริ่มทนไม่ไหวแล้ว บางทีการที่ไม่มีเงินเลย อาจจะดีกว่าการติดหนี้เป็นร้อยล้านก็ได้ค่ะ... ไม่รู้ว่าชาติไหนเราจะใช้หมดเหมือนกัน เราสงสารพ่อ สงสารแม่ อยากให้เขามีความสุข เราเห็นพ่อแม่เพื่อนบินไปเที่ยวเมืองนอก เราก็ฝันเอาไว้ว่าเราก็อยากพาพวกท่านไปเหมือนกัน เราก็ได้แต่บอกพ่อแม่ว่า ค่อยหนูก่อนนะ อีกปีกว่าหนูก็จบแล้ว มือหยาบๆของพ่อกับแม่จะได้นิ่มเสียที

 

ที่มาจาก :: pantip.com 
pantip.com


ประสบการณ์จริงเรื่อง  เวรกรรม  ที่ไม่ได้มีเอาไว้หลอกเด็ก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์