แสงสว่างคือปัญญา

แสงสว่างคือปัญญา


มนุษย์ในโลกนี้ มีความประมาทปล่อยตนให้ตกอยู่ในอำนาจของอวิชชา ขาดปัญญาพิจารณาเหตุผล มีจิตมืดมนหลงผิดประกอบบาปกรรมทำ ความชั่ว เป็นเหตุให้ตัวเองและผู้อื่นประสบความทุกข์เดือดร้อนมีอเนกประการ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนไว้ในธรรมบท ขุททกนิกายว่า "พวกเธอจะมัวร่าเริงบันเทิงอยู่ไยในเมื่อโลกมนุษย์กำลังเร่าร้อนอยู่เนืองนิตย์เช่นนี้ พวกเธอถูกความมืดมนครอบงำแล้ว เหตุใดจึงไม่แสวงหาแสงสว่างคือปัญญาเพื่อกำจัดความมืดมนแห่งจิตนั้น"

พระพุทธภาษิตนี้ มีข้อความสำคัญ 2 ประการ คือ

1.สอนมนุษย์ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท

2.สอนให้แสวงหาแสงสว่างคือปัญญาเพื่อกำจัดความมืดมนในจิตใจ

ประการที่ 1 สอนไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท คือ ทรงแสดงให้เห็นว่า โลกมนุษย์กำลังเร่าร้อนอยู่ด้วยเพลิงกิเลสซึ่งเป็นไฟเผาลนจิตใจของมนุษย์ เพลิงกิเลสที่เป็นไฟภายในนั้น ได้แก่ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ และไฟคือโมหะ เพราะมนุษย์ในโลกที่มีความทุกข์เดือดร้อน ก็เพราะถูกเพลิงกิเลสเหล่านี้เผาลนจิตใจให้เร่าร้อน ไม่มีความสงบสุข เช่น

ไฟคือราคะ ได้แก่ ความกำหนัดยินดีในอารมณ์เป็นที่น่าปรารถนามีรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น หากไม่คอยระวัง ปล่อยให้ความกำหนัดยินดีเข้าครอบงำจิตใจ ก็จะทำให้ตกอยู่ในอำนาจแห่งราคะ มีความเร่าร้อนกระวนกระวาย ไม่สงบระงับ ไม่บรรลุความสงบสุขได้

ไฟคือโทสะ ได้แก่ ความโกรธที่เกิดในจิตใจ ทำให้เร่าร้อน คิดประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น ผู้ที่มีความโกรธเกิดขึ้นในจิตใจแล้ว หากไม่สามารถระงับความโกรธได้ ก็จะคิดอาฆาตพยาบาทจองเวร เป็นเหตุให้ทำร้ายทำลายกัน ก่อความเดือดร้อนในสังคมทั่วไปตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงประเทศชาติ

ไฟคือโมหะ ได้แก่ ความหลงผิด เพราะขาดปัญญารู้ชอบชั่วดี บุคคลที่ถูกโมหะครอบงำจิตใจ ก็จะทำให้มีความคิดผิด เป็นเหตุให้กายทำความชั่ว และวาจาชั่ว ได้รับความทุกข์เดือดร้อน

ประการที่ 2 สอนให้แสวงหาแสงสว่างคือปัญญาเพื่อกำจัดความมืดมนแห่งจิต คำว่า "แสงสว่างคือปัญญา" ได้แก่ความรู้ที่ประกอบด้วยเหตุผล สามารถกำจัดอวิชชา ความโง่เขลาที่ครอบงำจิตใจอันเปรียบเหมือนความมืดที่ครอบงำจิตใจของมนุษย์ ส่วนปัญญาเปรียบเหมือนแสงสว่าง เมื่อมนุษย์เกิดปัญญารู้ดีรู้ชอบแล้ว ก็จะสามารถกำจัดความโง่เขลาออกจากจิตใจ ทำให้มีความสว่างไสวในจิตใจ ประกอบด้วยเหตุผล ไม่เชื่องมงายในเรื่องราวต่างๆ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนมวลมนุษย์ให้แสวงหาแสงสว่างคือปัญญา ด้วยการหมั่นศึกษาและสดับตรับฟังคำสั่งสอนในทางพระพุทธศาสนา แล้วนำพระธรรมมาปฏิบัติเพื่อเป็นแสงสว่างนำทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เมื่อบุคคลปฏิบัติธรรมเช่นนี้แล้ว ธรรมนั้นก็ย่อมคุ้มครองรักษาผู้ปฏิบัติธรรมให้ประสบความสุขความเจริญก้าวหน้า

ท่านทั้งหลาย จงแสวงหาแสงสว่างคือปัญญา ด้วยการหมั่นศึกษาสดับตรับฟังพระธรรม เมื่อบุคคลมีปัญญารอบรู้ในทางธรรมแล้ว ปัญญานั้นก็จะเป็นแสงสว่างกำจัดอวิชชาคือความโง่เขลามืดมนในจิตใจของตน เป็นเหตุให้มีความรู้ดีรู้ชอบ และเป็นผู้ประกอบด้วยความสุขพัฒนาสถาพร ตลอดกาลนาน

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์