ตดเหม็นทำอย่างไรดี! นักวิทย์มีคำตอบให้คุณแล้ว

เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวหนึ่งที่น่ายินดีและได้รับความสนใจไม่น้อยกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ก็คือนักวิทยาศาสตร์สามารถแก้ไขปัญหา “ผายลมเหม็น” ได้สำเร็จแล้ว

New Scientist รายงานว่า กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านระบบทางเดินทางอาหารที่นำโดยเหยาฉู่ ของมหาวิทยาลัยโมนาช (Monash University) ในออสเตรเลีย ได้แบ่งการผายลมเป็นสองแบบ คือแบบที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ กับอีกแบบที่เงียบแต่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ถึงแม้การผายลมจะไม่ใช่ปัญหารุนแรงที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่เป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ทุกคนพึงพอใจอย่างแน่นอน

ตดเหม็นทำอย่างไรดี! นักวิทย์มีคำตอบให้คุณแล้ว

รายงานระบุว่า การผายลมเกิดขึ้นด้วยสองสาเหตุ ได้แก่ แก๊สไร้สีไร้กลิ่นจากภายนอกที่ร่างกายดูดซึม และแก๊สที่เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ทำปฏิกิริยากับอาหาร ซึ่งแก๊สอย่างหลังคือองค์ประกอบหลักของไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือที่เรียกกันว่าเป็นแก๊สไข่เน่า

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของเหยาฉู่ และทีมนักวิทยาศาสตร์นั้นค้นพบว่า ระดับแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ปรับเปลี่ยนไปตามอาหารที่เรากินเข้าไป

ตดเหม็นทำอย่างไรดี! นักวิทย์มีคำตอบให้คุณแล้ว

โดยนักวิทยาศาสตร์ได้นำอุจจาระของคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 7 คนมาตรวจสอบ และพบว่าหลังจากผสมอุจจาระกับกรดอะมิโนซีสเทอีน (Cysteine) ทำให้แบคทีเรียในลำไส้ทำปฏิกิริยากับอาหารมากกว่าเดิมถึง 7 เท่า ซึ่งกรดอะมิโนซีสเทอีนนี้เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ นม และโปรตีนอื่นๆ

แต่ถ้าหากผสมอุจจาระกับคาร์โบไฮเดรต กลับทำให้อัตราของแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่ปล่อยออกมามีจำนวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไฮโดรเจนซัลไฟด์เหล่านี้ไม่ถูกย่อยจนหมดเมื่อผ่านลำไส้เล็ก และจะถูกหมักเก็บไปผสมกับแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ต่อไป

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ประกอบไปด้วยแป้งทนย่อยต่อเอนไซม์ (Resistant starch ; RS) เช่น มันฝรั่ง กล้วย ถั่ว ธัญพืช รวมไปถึงอาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตส เช่น ข้าวสาลี อาร์ติโชค และหน่อไม้ ซึ่งสามารถลดอัตราแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ถึงร้อยละ 75

จากข้างต้นจึงเห็นได้ว่าการลดจำนวนโปรตีนลง แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ก็จะน้อยลงด้วย ดังนั้นหากว่าผายลมของคุณมีกลิ่นเหม็นมาก จึงควรจะทานโปรตีนในจำนวนที่น้อยลง และกินกล้วยมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น




ที่มา : China Xinhua News

ตดเหม็นทำอย่างไรดี! นักวิทย์มีคำตอบให้คุณแล้ว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์