กินคนเดียว ไม่เป็นสุข

กินคนเดียว ไม่เป็นสุข


ในปราสาทหลังหนึ่ง เศรษฐีเจ้าของปราสาทกำลังนอนซมอยู่บนเตียงท่าทางดูอิดโรยเต็มทีใกล้กันนั้น ภรรยาของเขานั่งมองดูอยู่ด้วยสีหน้าวิตก

ภรรยา : “ไม่สบายเป็นอะไรไปหรือพี่?”

เศรษฐี : “ไม่เป็นอะไรหรอกน้อง”

ภรรยา : “ในหลวงทรงกริ้วหรือ?”

เศรษฐี : “ไม่หรอก”

ภรรยา : “ถ้ายังงั้น...พวกลูกหลานทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรือ?”

เศรษฐี : “ไม่ใช่อีกนั่นแหละ”

ภรรยา : “พวกคนใช้ล่ะ”

เศรษฐี : “ก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน”

ภรรยา : “พี่อยากกินอะไรหรือ?”

เศรษฐี : (นอนเงียบไม่บอก เพราะเกรงว่าถ้าบอกว่าอยากกินขนมเบื้องภรรยาก็จะต้องไปหาซื้อมา จะทำให้หมดเปลือง)

ภรรยา : (พูดด้วยเสียงรบเร้า) “บอกมาซิพี่ พี่อยากกินอะไร?

เศรษฐี : (กลืนน้ำลาย) “ใช่...พี่อยากกินขนมเบื้อง”

ภรรยา : “โธ่...เรื่องแค่นี้เอง ทำไมถึงไม่บอกเสียแต่แรก ทำเป็นคนจนไปได้เอาละ...น้องจะทำให้พอกินกันทั้งหมู่บ้านเลย”

เศรษฐี : (ถลึงตามองดูภรรยาแล้วพูดประชด)“เอายังงั้นเชียวเหรอ คนพวกนั้นเขามีงานมีเงิน ก็ให้เขากินของเขาซี่”

ภรรยา : “ถ้ายังงั้น...ทำแจกเฉพาะคนที่อยู่ในซอยเดียวกันก็แล้วกัน”

เศรษฐี : “จ้ะแม่คุณ...พี่รู้ว่าเธอร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี”

ภรรยา : “ถ้ายังงั้น...เอาแค่คนบ้านใกล้เรือนเคียงก็พอ”

เศรษฐี : “พี่รู้ว่าเธอเป็นคนใจกว้าง”

ภรรยา : “ถ้ายังงั้น...ทำแจกแค่ลูกๆ หลานๆ ของเรา”

เศรษฐี : “มันไม่กินกันหรอก”

ภรรยา : “ถ้ายังงั้น...ทำกินกันแค่พี่กับน้องสองคน”

เศรษฐี : “น้องก็จะกินด้วยเหรอ”

ภรรยา : “ถ้ายังงั้น...ทำให้พี่กินคนเดียวก็แล้วกัน”

เศรษฐี : (แสดงสีหน้าครุ่นคิด แล้วพยักหน้ารับ) “ตกลง...แต่ว่าจะทำที่นี่คงไม่เหมาะเพราะคนจำนวนมากคอยจ้องจะกินกับเรา”

ภรรยา : “ถ้ายังงั้น...ทำที่ไหนดีล่ะ?”

เศรษฐี : ทำบนปราสาทชั้นที่เจ็ด ไม่มีใครเห็น

ภรรยา : “ตกลง”

เศรษฐี : “เออแต่ว่า...อย่าเอาข้าวดีไปทำนะ เลือกเอาข้าวที่หักๆ ไปทำจะได้ไม่หมดเปลืองมาก...เสียดาย”
(ภรรยาทำตามที่เศรษฐีบอก โดยให้คนใช้ขนสิ่งของขึ้นไปไว้บนปราสาทเสร็จแล้ว ไล่คนใช้ลงหมด เหลืออยู่ก็แต่เศรษฐีกับภรรยาเท่านั้น ครั้นแล้วท่านเศรษฐีก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะขณะที่นั่งทำขนมอยู่นั้น ก็ได้แหงนไปเห็นพระรูปหนึ่งกำลังยืนอยู่ในอากาศ พระรูปนั้นกำลังจ้องมองมายังตน)

เศรษฐี : “วะ...เราสู้อุตส่าห์หลบขึ้นมาทำถึงชั้นที่เจ็ดเพราะคิดว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นแต่พระองค์นี้ยังมาเห็นจนได้” (คิดอย่างนี้แล้ว จึงตวาดถามว่า) “สมณ...ท่านเป็นใคร?”

พระ : “อาตมาชื่อโมคคัลลานะ”

เศรษฐี : “อย่าว่าแต่ยืนเฉยๆ อยู่ในอากาศเลย ต่อให้แสดงฝีเท้า เดินไปเดินมาอยู่ในอากาศ ก็จะไม่ได้ขนมกินหรอก”(พระแสดงฝีเท้าเดินไปเดินมาตามที่เศรษฐีท้าทาย)

เศรษฐี : “อย่าว่าแต่เดินไปเดินมาเลย ต่อให้นั่งขัดสมาธิอยู่ในอากาศก็จักไม่ได้เหมือนกัน” (พระนั่งขัดสมาธิตามคำท้า)

เศรษฐี : “อย่าว่าแค่นั่งขัดสมาธิเลย ต่อให้มายืนอยู่ที่ขอบหน้าต่างก็จะไม่ได้” (พระมายืนอยู่ที่ขอบหน้าต่างตามคำท้า)

เศรษฐี : “อย่าว่าแค่มายืนอยู่ที่ขอบหน้าต่างเลย ต่อให้บังหวนควันก็จะไม่ได้” (พระบังหวนควันตามคำท้า)ปรากฏว่า ปราสาททั่วทั้งหลังมืดมิดไปหมด

เศรษฐี : (ตกใจกลัว ไม่กล้าท้าอีก) “พระองค์นี้สงสัยจะอยากกินขนมแน่ถ้าไม่ได้เห็นจะไม่ไป เอาละ...จะให้สักชิ้น” (คิดอย่างนี้แล้วจึงบอกภรรยา)
“ให้ขนมพระสักชิ้นซิน้อง ท่านจะได้กลับไปเสียที”(ภรรยาทอดขนมชิ้นเล็กๆ ให้พระชิ้นหนึ่ง นางใส่แป้งนิดเดียวแต่ด้วยฤทธิ์ของพระ ขนมกลับใหญ่กว่าชิ้นก่อนๆ)

เศรษฐี : (ท่าทางยัวะมาก) “เธอตักแป้งมากไป” (ครั้นแล้วจึงลงมือตักแป้งด้วยตนเอง โดยเอามุมทัพพีตักขึ้นมา เพียงนิดหน่อย ผลปรากฏว่า ขนมชิ้นนั้นใหญ่กว่าชิ้นที่ภรรยาทอดเสียอีก เศรษฐีโมโหสุดขีด จึงบอกภรรยา) “เอา...ถ้างั้นหยิบเอาในตะกร้านั่นแหละไปชิ้นหนึ่ง”(ภรรยาทำตามเศรษฐีบอก ปรากฏว่าขนมติดพืดกันหมดทุกชิ้น)

เศรษฐี : (โกรธจัด) “มา...ทำเอง”(ทำนองเดียวกัน คือ ขนมติดกันเป็นพืดเช่นเดียวกัน ดึงไม่ขาด)

สองสามีภรรยาช่วยกันดึงขนม แต่ด้วยอำนาจฤทธิ์ของพระเถระจึงไม่สามารถดึงขนมให้ขาดได้ ทั้งสองเหนื่อยอ่อนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ในที่สุดเศรษฐีก็หายหิว จึงตัดสินใจบอกภรรยา

เศรษฐี : “พี่ไม่อยากกินอีกแล้วให้พระไป ทั้งหมดนั่นแหละ”

พระ : “อาตมาองค์เดียว ฉันไม่หมดหรอก โน่นแน่ะ ที่วัดเวฬุวันนั่น พระพุทธเจ้าประทับอยู่กับพระจำนวนร้อยๆ องค์ จงนำไปถวายเถิด”

เศรษฐี : (ตกใจ) “อะไรท่าน ขนมแค่นี้เลี้ยงพระตั้งเป็นร้อย ไม่พอหรอก”

พระ : “พอซี่”

สองสามีภรรยาปฏิบัติตามที่พระเถระแนะนำ เป็นด้วยอำนาจฤทธิ์ของพระเถระที่ทำของน้อยให้เป็นของมาก ปรากฏว่าขนมเบื้องตะกร้าเดียวสามารถเลี้ยงพระได้เป็นร้อยๆ รูป นอกจากนั้นเศรษฐีกับภรรยาก็ยังได้กินจนอิ่มหนำ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมให้ฟัง จึงเป็นอันว่าสองสามีภรรยานอกจากจะได้กินขนมเบื้องสมปรารถนาแล้ว ยังได้ดื่มกินรสพระธรรมอีกด้วย

กินคนเดียว ไม่เป็นสุข


ขอบคุณที่มา : สังคมธรรมะออนไลน์

ร.ท.บรรจบ บรรณรุจิ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์