กิโมโน - Kimono (着物)

กิโมโน - Kimono (着物)


กิโมโนประกอบด้วยเสื้อนางางิ (長着) ซึ่งมีลักษณะเป็นคลุมขนาดยาวที่มีแขนเสื้อที่มีความกว้างมาก และสายโอบิ(帯)ซึ่งใช้รัดเสื้อคลุมนี้ให้อยู่คงที่

ชุดกิโมโนทั้งของหญิงและชายเมื่อใส่แล้วจะพรางรูปของผู้สวมใส่ไม่ให้เห็นสัดส่วนที่แท้จริง ชุดกิโมโนของผู้หญิงโสดเป็นกิโมโนแขนยาว ลวดลายที่นิยมคือลายดอกซากุระ กิโมโนของผู้หญิงแต่งงานแล้วจะเป็นกิโมโนแขนสั้นสีไม่ฉูดฉาดมาก

Kimono (着物)ชุดประจำชาติที่ใครๆ ก็อยากใส่       

กิโมโน (着物) เป็นเครื่องแต่งกายที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนราวราชวงศ์ถัง ซึ่งถ้าจะนับไปแล้วมีมากกว่าพันปี เรียกได้ว่าเกิดพร้อมๆ กับการก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

โดยเริ่มจากยุคนาระ ( ค.ศ. 710 - 754 )
ที่รูปทรงของเสื้อผ้าจะคล้ายคลึงกับชุดในราชสำนักของชาวจีน

จนต่อมาในสมัยเฮฮัน ( ค.ศ. 974 - 1191 )
ซึ่งถือเป็นยุคที่กิโมโนรุ่งเรื่อง เริ่มมีการดัดแปลงให้มีกิโมโนหลากหลายแบบมากขึ้น และเริ่มมีเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นมากขึ้นด้วย มีการแบ่งแยกชัดเจนในเรื่องของสีสันและรูปแบบตามสถานะทางสังคม

จนต่อมาในสมัยเอโดะ ( ค.ศ. 1603 - 1858 )
กิโมโนได้ถูกพัฒนาขึ้นอีกครั้ง เริ่มมีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น โดยเฉพาะผ้าคาดเอวที่เรียกว่า " โอบิ " นั้นมีการดัดแปลงและเพิ่มวิธีการผูกแบบใหม่ๆ ขึ้นอย่างมากมาย กิโมโ่นถูกนำไปใช้ได้เกือบทุกชนชั้น ลดการแบ่งแยกสถานะ ทำให้การสวมใส่กิโมโนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย กลายเป็นชุดประจำชาติที่สง่างาม

จนมาในช่วง
100 ปีให้หลังนี้ ที่วัฒนธรรมต่างชาติเข้าสู่ญี่ปุ่นมากขึ้น ชุดประจำชาติอย่างกิโมโนจึงถูกลดบทบาทลง กลายเป็นชุดที่ใช้ในงานเทศกาล พิธีการสำคัญๆ หรืองานแสดงแบบโบราณเท่านั้น      

กิโมโนจะแตกต่างกันทั้งในยุคสมัย ระดับชั้น และลักษณะการใช้งาน
กล่าวคือ

ในยุคเฮอัน กิโมโนจะเป็นชุดของจักรพรรดิ ขุนนาง หรือข้าในวังเท่านั้น ซึ่งจะเรียกว่า " กิโมโนจูนิฮิโตเอะ "
กิโมโนชนิดนี้จะมีความยาวหลายเมตร เนื้อผ้าเป็นผ้าไหมโชว์การตัดเย็บและศิลปะการทำลวดลายบนผืนผ้า ยิ่งมีความยาวและความสวยงามมากแค่ไหน ก็ยิ่งแสดงถึงความมั่งคั่งมากเท่านั้น ยิ่งถ้าเป็นชุดของนางสนมหรือนางกำนัลในวังแล้วล่ะก็ กิโมโนจะมีจำนวนชั้นที่ซ้อนทับกันอยู่มากถึง 12 ชั้นเชียวค่ะ ( ชั้นหนึ่งหนักประมาณ 1 กิโล )

ปัจจุบันด้วยความยิ่งใหญ่และอลังการ " กิโมโนจูนิฮิโตเอะ " จึงถูกสงวนไว้สำหรับเชื้อพระวงค์หรือผู้มีฐานะเท่านั้น โดยจะใส่ในงานพระราชพิธีสำคัญหรือการจัดงานแต่งงานแบบราชสำนัก
ต่อมาเมื่อกิโมโนเริ่มแพร่หลายมากขึ้น จำนวนชั้นก็เริ่มถูกลดจำนวนลงโดยหญิงในชนชั้นสูงจะสวมใส่กิโมโน 6 ชั้นก็ถือว่าหนามากแล้ว ส่วนสามัญชนคนทั่วไปก็ลดจำนวนชั้นลงตามความเหมาะสมและฐานะทางสังคม รูปทรงเริ่มทะมัดทะแมง สั้นและกระชับขึ้น เพื่อการขยับร่างกายและสวมใส่ง่าย

แต่ยังไงแล้วกิโมโนก็ยังคงเป็นชุดที่ยุ่งยากสำหรับคนทั่วไปไม่น้อย ถึงขนาดต้องมีโรงเรียนสอนการใส่กิโมโน ที่เรียกว่า " โอคิซึเคะ " กันเลยทีเดียว ที่นี่จะสอนทั้งการสวมใส่ การซ่อมแซมและการเก็บรักษา ใช้ระยะเวลาเรียนกันเป็นปี เพราะชุดกิโมโนมีแบบแผนและวิธีการมากมาย ส่วนประกอบต่างๆ อย่างต่ำๆ ก็ประมาณ
10 กว่าชิ้น การใส่ใน 1 ครั้งต้องใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นสาวๆ ยุคนี้ใส่กิโมโนกัน จะคงเห็นเพียงคนเฒ่าคนแก่ หรือหนุ่มสาวที่สวมกันในเทศกาลสำคัญๆ อย่างงานแต่งงาน งานฉลองบรรลุนิติภาวะ งานปีใหม่เท่านั้น

และแล้ว ยูคาตะ ( 浴衣 ) ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นได้สวมใส่เป็นชุดลำลองกัน
โดยเป็นชุดที่ทำด้วยผ้าฝ้ายโปร่งสบาย สวมง่าย เพียงแค่ใส่ชุดคลุม 1 - 2 ชั้น แล้วคาดโอบิทับก็เสร็จเรียบร้อย ว่ากันว่าแต่ก่อนชุดยูคาตะเป็นชุดที่ใช้ลักษณะเดียวกันกับชุดคลุมอาบน้ำค่ะ คือเวลาอาบน้ำหรือไปแช่น้ำร้อนนอกบ้าน ก็จะสวมชุดนี้ก่อนและหลังจากแช่น้ำเสร็จแ้ล้ว

ยูคาตะมีชื่อที่ใช้เรียกกันอีกแบบคือ " เสื้อสีฟ้า "
เนื่องด้วยในสมัยเอโดะชุดยูคาตะทั่วไปมักจะย้อมเป็นสีฟ้า เพื่อความเย็นตา สบายใจ ใส่ในหน้าร้อน แต่หลังจากนั้นยูคาตะก็ถูกเพิ่มลวดลายให้สวยงามขึ้น มีทั้งแบบยาว แบบสั้น และคงด้วยสภาพอากาศและความสวมใส่ง่ายนี่เอง
 ปัจจุปันยูคาตะจึงกลายเป็นชุดกิโมโนหน้าร้อนที่ผู้คนนิยมใส่แพร่หลายมากกว่ากิโมโนในเต็มยศ โดยเฉพาะงานเทศกาลต่างๆ ช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ จะเห็นหนุ่มสาวทั้งวัยรุ่นและวัยเล็ก ต่างพากันใส่ยูคาตะออกมาชมซากุระสวยๆ หรือไปงานเทศกาลต่างๆ ตามวัดกันมากมาย ดูสวยงามจริงๆ ค่ะ

แม้กิโมโนจะเลือนหายไปจากหมู่คนรุ่นใหม่ แต่ก็ถูกทดแทนด้วยยูคาตะที่สวมใส่ง่ายและสีสันสดใสโดนใจวัยรุ่นแทน ถึงจะไม่ใช่ของดั้งเดิมแต่โบราณ แต่การปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะอากาศและยุคสมัย โดยยังคงคุณค่าไว้ นับว่าเป็นชุดประจำชาติญี่ปุ่นที่น่าสนใจจนใครๆ ไม่ว่าชาติไหนก็อยากใส่กันค่ะ...
   

กิโมโน - Kimono (着物)


ข้อมูลจาก : เครื่องสำอาง DHC

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์