กุศลสะท้อน

กุศลสะท้อน


โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๕

เมื่อปี ๒๕๐๐ เวลาบ่ายวันหนึ่ง

จำไม่ผิดว่าเป็นวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าพักอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน และเด็กๆ ก็ไม่ไปโรงเรียน ถัดบ้านข้าพเจ้าไปเป็นปลายซอยซึ่งมีโรงเพาะถั่วงอก มีเสียงโจษย์กันว่าเด็กตกน้ำที่ข้างโรงเพาะถั่วงอก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างวิ่งไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กในบ้านข้าพเจ้าวิ่งไปดูด้วยเหมือนกันแล้วกลับมาบอกว่า

มีเด็กหญิงตกน้ำ และพอรู้ว่าตกก็งมขึ้นมาได้ เพราะบ่อขุดไว้เพื่อใช้น้ำรดถั่ว พอตกลงไปก็มีคนเห็น รีบลงไปอุ้มขึ้นมาทันที พวกญาติช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่ยังไม่ฟื้น ข้าพเจ้าขอให้ภรรยารีบไปดูเพื่อช่วยเหลืออย่างไรได้ ก็ให้รีบช่วยเหลือ สักครู่ภรรยาข้าพเจ้ากลับมาบอกว่า ทำอย่างไรก็ยังไม่ฟื้น ข้าพเจ้าให้ความเห็นว่า ควรนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ภรรยาของข้าพเจ้าไปบอกกับญาติของเด็ก และทางญาติเด็กก็เห็นดีด้วย

ข้าพเจ้าจึงให้เอารถออกไปรับเด็ก พร้อมทั้งญาติของเด็กรีบนำส่งโรงพยาบาลเด็กทันที แต่แล้วก็รับข่าวสลดใจนายแพทย์ทางโรงพยาบาลไม่สามารถจะรับช่วยเหลือเด็กนั้นไว้ได้ เด็กหมดลมก่อนถึงโรงพยาบาล เพราะมัวแต่แก้ไขกันเองจึงสายไปที่จะช่วยชีวิตเด็กไว้ได้

เรื่องสลดใจเช่นนี้ทำให้อดหวนระลึกถึงบุตรชายของข้าพเจ้าไม่ได้
 
เรื่องมีว่า ตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น ภายหลังเมื่อระเบิดลงหนักในพระนคร ครอบครัวที่มีบุตรมากก็อดเป็นห่วงเด็กๆ ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องย้ายไปให้ห่างจุดยุทธศาสตร์และที่ชุมชน ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่รักใคร่และใจอารีย์เสนอให้ที่พักอาศัยที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากชุมชน อยู่ในอำเภอชั้นนอก ข้าพเจ้าก็ยินดีและขอบใจเพื่อนผู้นี้ ตกลงย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนผู้นั้นทันที ข้าพเจ้าได้รับความสุขสบายเหมือนบ้านของตนเอง แต่ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่มีเด็กมาก ทั้งภรรยาของข้าพเจ้าก็เป็นคนขี้เกรงใจคน ทั้งๆ ที่เพื่อนและภรรยา ลูกๆ ของเพื่อนต่างก็แสดงความยินดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ที่เราได้ไปอยู่ร่วมด้วยทั้งครอบครัว

แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า สงครามครั้งที่ ๒ นี้คงไม่ยุติลงง่ายๆ จึงอยากจะหาที่ดินปลูกบ้านของตนสักแปลง จึงขอร้องให้เพื่อนผู้นั้นจัดการให้ด้วย เพื่อนและครอบครัวก็หน่วงเหนี่ยวไม่อยากให้เราย้ายไปเลย ข้าพเจ้าก็อ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อนผู้นั้นจึงยอมหาที่ให้หนึ่งแปลง ในเวลานั้นการซื้อที่ดินไม่สู้ยากนัก ข้าพเจ้าได้ที่และส่วนมากยังเป็นทุ่งนาทั้งราคาก็ไม่สู้แพง ที่ตามความปรารถนาอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อนผู้นั้นนัก

เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าก็ถมดินล้อมรั้ว การถมดินนั้นย่อมต้องถมให้เสมอกับถนน หรือสูงกว่าถนนก่อนจะปลูกบ้าน เป็นธรรมดาของที่นา ดินที่จะขุดถมก็เอาในเนื้อที่นา การถมย่อมต้องใช้ดินมาก เพราะฉะนั้นในที่ดินของข้าพเจ้านั้นต้องขุดเป็นบ่อใหญ่ กว้างประมาณ ๑๐ เมตร ยาว ๑๕ เมตร และลึกราวๆ ๓ เมตร พอการถมดินเสร็จเรียบร้อย บ้านก็เกิดขึ้นทั้งน้ำและไฟเรียบร้อย ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ย้ายจากบ้านเพื่อนผู้นั้นมาอยู่บ้านของเราทันที

เรื่องที่จะเกิดขึ้นนั้นข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำ

คือวันอาทิตย์ เวลาประมาณ ๑๕ น.เศษ เป็นเวลาคนครัวจะทำกับข้าว การที่จะไปทางครัวนั้น ต้องเดินผ่านท่าน้ำทางหลังบ้านริมบ่อก่อนที่จะถึงครัว แม่ครัวได้เดินผ่านท่าน้ำ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นกลางบ่อ ก็เห็นผ้าอะไรขาวๆ ตกอยู่กลางบ่อและปริ่มๆ น้ำ จึงเข้าใจว่าผ้าที่ตากไว้บนราวนั้นตกลงไป แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่า ผ้าบนราวทุกผืนนั้นก็มีไม้หนีบ ยากที่จะตกลงไปในบ่อได้ ทำให้สงสัยรีบหาไม้มาเขี่ยผ้าที่เห็นอยู่กลางบ่อ โดยยืนอยู่ที่สะพานท่าน้ำ

ทันทีที่ปลายไม้ถูกผ้าน้ำกระเพื่อม แม่ครัวก็ตกใจร้องเสียงหลง เพราะปรากฏว่าไม่ใช่ผ้าธรรมดา เป็นเสื้อเด็กและเด็กคนหนึ่งอยู่ในเสื้อนั้นคว่ำหน้า เมื่อถูกเขี่ยก็มองเห็นผมและศรีษะของเด็ก จึงร้องโวยวายด้วยความตกใจ ภรรยาของข้าพเจ้าพอได้ยินว่าเด็กตกน้ำ ก็นึกถึงลูกๆ ตกใจจนออกประตูไม่ถูก เมื่อออกมาได้ก็ร้องโวยวายเหมือนไฟไหม้ ทำให้เพื่อนบ้านตกใจวิ่งมาในบ้าน บางคนก็โดดลงไปอุ้มเด็กซึ่งกำลังลอยอยู่ขึ้นมาทำการปฐมพยาบาล เอาเด็กขึ้นใส่บ่าวิ่งรอบๆ สนาม เพื่อให้น้ำออกจากท้องทางปาก มีทั้งน้ำและข้าวออกมาเป็นเม็ดๆ แสดงว่าท้องยังไม่ทันย่อย เหมือนว่าเคี้ยวๆ แล้วก็คายออกมา

บังเอิญเพื่อนผู้หนึ่งมีญาติเป็นนางพยาบาล ได้มาผายปอดและช่วยเหลือเท่าที่จะนึกได้ เวลานั้นเพื่อนและเพื่อนบ้านได้มาอยู่เต็มบ้าน เพราะทุกคนต่างเป็นห่วงและช่วยเหลืออย่างจริงใจ ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน มีเพื่อนผู้หนึ่งได้นำรถออกตามข้าพเจ้าในพระนครจนพบ เมื่อทราบเรื่องก็มิได้รอช้ารับหมอไปบ้านทันที

เมื่อถึงบ้านก็ได้ทราบว่าบุตรข้าพเจ้ารู้สึกตัว แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา คำแรกที่พูดออกมาก็คือ “พ่อ” เวลานั้นข้าพเจ้ายังกลับไม่ถึงบ้าน เพื่อนผู้ที่ได้เคยให้ข้าพเจ้าอาศัยบ้านนั้นได้เข้าไปอุ้ม และปลอบใจบุตรข้าพเจ้า และแสดงเป็นพ่อแทนตัวข้าพเจ้า สามารถปลอบเด็กให้หายกระวนกระวายไปได้หลายครั้ง

เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน ก็เห็นเพื่อนที่รักใคร่นับถืออยู่ในบ้านข้าพเจ้าเต็มบ้าน ต่างมีสีหน้าเศร้าตามๆ กัน ทุกคนแสดงความเป็นห่วงเด็กเหมือนลูกหลานของเขาเอง ข้าพเจ้ามีความปลาบปลื้ม อดที่จะนึกขอบพระคุณเสียมิได้ นายแพทย์ฉีดยาบำรุงหัวใจให้ ๑ เข็ม ให้พักผ่อนพอสมควรจะหายเป็นปกติในไม่ช้า เพื่อนฝูงที่อยู่ในนั้นก็แสดงความดีใจที่เด็กคนนั้นปลอดภัยทุกคนยิ้มแย้มออกมาได้

ต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยเป็นปกติทุกประการ เด็กตกน้ำบุตรข้าพเจ้าผู้นี้เป็นบุตรคนที่ ๔ ของข้าพเจ้ากับภรรยา ซึ่งมีอายุเพียง ๔ - ๕ ขวบ ทราบความละเอียดภายหลังว่า แกรับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็ไปล้างมือที่ท่าน้ำ พอลงกะไดจะล้างมือ หัวก็คะมำลงไปในบ่อ ต่อจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไร

เมื่อข้าพเจ้าก็มาคำนวณดูระยะที่กินอาหารเที่ยงเสร็จคงประมาณเวลา ๑๒.๓๐ น. เมื่อพบเวลาลอยขึ้นมานั้นบ่าย ๓ โมงกว่า เมื่อคิดระยะที่ตกลงไปในบ่อกับระยะที่พบนั้นไม่ต่ำกว่า ๒ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่แล้วไม่ตาย ภรรยาข้าพเจ้ากลัวจะถูกดุว่า ไม่ดูแลลูกทำให้ลูกตกน้ำ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ปริปากพูดเรื่องนี้เลย เพราะสิ่งที่ได้เป็นไปนั้นเป็นบทเรียนที่สูงอยู่แล้ว และบ่อนั้นอยู่หลังบ้าน ส่วนมากเด็กๆ มักจะอยู่หน้าบ้าน และเมื่อหลังอาหารเที่ยงแล้วทุกคนก็เข้านอนตามปกติ วันธรรมดานั้นข้าพเจ้าจ้างครูมาสอนเพื่อทบทวนหนังสือ มีเด็กๆ มาเรียนที่บ้านข้าพเจ้า แต่วันนั้นเป็นวันหยุดเรียน

ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า เหตุที่บุตรข้าพเจ้าตกน้ำแล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอันตรายเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเมื่อครั้งข้าพเจ้าอายุราว ๒๕ ปี ข้าพเจ้ากับแม่ของเด็กตกน้ำผู้นี้ ได้สนทนากันอยู่ที่ริมคลองแห่งหนึ่ง มีน้ำไหลเชี่ยวออกมาจากใต้สะพาน ขณะที่เรายืนคุยกันอยู่นั้น สายตาของข้าพเจ้ามองดูน้ำกำลังไหลออกมาจากใต้สะพาน ทันใดนั้นเห็นมือเล็กๆ ชูขึ้นเหนือน้ำแวบเดียวก็จมลงไหลตามกระแสน้ำไป สัญชาติญาณทำให้นึกถึงว่าเด็กตกน้ำ ใจเร็วเท่าความคิด

ข้าพเจ้ารีบกระโจนลงในคลองทันที หมายตากำหนดระยะของกำลังน้ำที่จะพัดพาไป แต่เป็นบุญเหลือเกิน ข้าพเจ้าว่ายน้ำไม่นานนักก็ควานหาเด็กพบ รีบอุ้มว่ายทวนน้ำเข้าหาฝั่ง รู้สึกดีใจที่ร่างกายเด็กยังมีความอุ่นและยังหายใจ เมื่อข้าพเจ้าพาเด็กว่ายน้ำเข้าถึงท่า ก็มีประชาชนออกมายืนออกันอยู่เต็มหน้าท่า ข้าพเจ้าได้ส่งเด็กให้พลเมืองดีผู้หนึ่งแล้วขอร้องให้นำไปส่งตำรวจ เพื่อจัดการสืบหาพ่อแม่ของเด็กต่อไป ส่วนข้าพเจ้าเมื่อหมดหน้าที่แล้วก็รีบกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเพราะเปียกปอนหมด ส่วนเด็กนั้นจะชื่ออะไร อยู่ที่ไหน เป็นลูกใคร ข้าพเจ้ามิได้ติดตาม และข้าพเจ้าไม่ทราบตลอดจนทุกวันนี้

ข้าพเจ้าคิดว่าอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าช่วยชีวิตเด็กผู้นั้นไว้ ผลนั้นได้สนองให้บุตรข้าพเจ้าตกน้ำจึงไม่เป็นอันตราย จะผิดหรือถูกอย่างไรข้าพเจ้าต้องขออภัยด้วย ส่วนเพื่อนฝูงที่กรุณาช่วยเหลือ ข้าพเจ้าอดที่จะนึกขอบคุณอย่างยิ่งไม่ได้ โดยเฉพาะเพื่อนที่ได้กรุณาให้ที่พักอาศัยในยามสงครามแก่ข้าพเจ้าและครอบครัว ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเลย และคิดว่าเป็นอนุสรณ์แก่ตระกูลของข้าพเจ้ารุ่นหลังจะได้ทราบว่า ท่านผู้นั้นคือ “คุณตุ๊ วัชราธร”

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์