ขนลุก!! เรื่องราว ข้ามภพ ข้ามชาติ ของเธอคนนี้!!


ชีวิตประจำของคนเราอาจมีความเกี่ยวข้องกับอดีตชาติที่ไม่ค่อยชัดเจนมากนัก บ้างก็มองว่าเป็นเรื่องลี้ลับ บ้างเจอจากการฝัน แต่พอตื่นขึ้นมาก็ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นเลย แต่ได้เกิดเรื่องราวสุดแปลกขึ้นซึ่ง ครูก้อง ได้เรียบเรียงงานเขียนของลูกศิษย์ชื่ออรวรรณไว้ เป็นคนที่มีความรู้สึกไม่เหมือนคนอื่นๆ บ่อยครั้งเธอจะฝันเห็นคนแปลกหน้า สถานที่และเหตุการณ์เดิมๆ จนเธอคิดว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงแค่ฝันอย่างแน่นอน กระทั่งเธอได้เจอรูปถ่ายหมู่สมัยโบราณรูปหนึ่ง(ราวปี 2470) ของเด็กหญิงวัย 13 ปี เธอบอกว่าทั้งหมดคือเพื่อนของเธอและหนึ่งในเด็กสาวบนภาพมีใบหน้าคล้ายตัวเธอมาก

และเหตุการณ์ที่สุดทึ่งก็เกิดขึ้น เธอเล่าว่าขณะที่เธอไปวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา มีคนลักษณะคล้ายภาพที่พบก่อนหน้านี้เข้ามาทักชื่อเธอ พร้อมบอกดีใจที่ได้เจอกันอีก เธอจึงมั่นใจว่านี่เป็นเรื่องราวข้ามภพช้ามชาติเมื่อ80ปีที่แล้วกำลังจะเกิดขึ้นจริง. จากเหตุการณ์ดังกล่าว อ. ก้อง ได้นำมาเรียบเรียงเป็นงานเขียนเรื่องราวของอรวรรณขึ้นจำนวน 5 ตอน ดังนี้


ขนลุก!! เรื่องราว ข้ามภพ ข้ามชาติ ของเธอคนนี้!!


ตอน 1 ภพชาติ...

อรวรรณ ลูกศิษย์ชั้นม.6ที่ร.ร.ผม เธอเล่าให้ฟังว่า เธอมักฝันว่าเธอมีเพื่อนหลายคนที่สนิทกันมากในอดีต แล้วเธอจะไปวิ่งเล่นกับเพื่อนสนิทเหล่านี้ที่ริมทะเลเสมอ เพื่อนๆในฝันเป็นเพื่อนชั้นประถม เธอฝันว่าวันหนึ่งไปเดินเล่นกับเพื่อนๆในงานวัดที่ไหนสักแห่ง ภาพเลือนลางจนจำไม่ได้ว่าเป็นวัดอะไร ดูเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันนานมากแล้ว และเหมือนเธอได้ไปที่นั่นมาจริงๆ แต่เพื่อนๆเหล่านี้ไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตจริง เธอฝันเรื่องนี้ซ้ำๆจนจำสถานที่และหน้าเพื่อนในฝันได้ทุกคน แต่ไม่รู้ว่าเป็นทะเลที่ไหน วัดอะไร และเพื่อนเหล่านี้คือใคร ฝันบ่อยจนแปลกใจ เล่าให้แม่หรือใครๆฟัง เขาก็ว่าเธอย้ำคิดย้ำฝัน เธอจึงไม่เล่าให้ใครฟังอีก เพราะเธอจะกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำหรือช่างจินตนาการ

เมื่อไม่กี่วันมานี้ พ่อเธอได้เงินโบนัสจากการทำงานก้อนหนึ่ง จึงพาครอบครัวไปเที่ยวที่จังหวัดสงขลา เธอได้เล่นน้ำทะเลที่นั่นกับน้องชาย เธอบอกว่าคล้ายกับทะเลที่เธอวิ่งเล่นกับเพื่อนๆในความฝัน แต่เธอคงจินตนาการไปเองอีกแล้วกระมัง เธอเตือนตัวเองอย่างนั้น เธอได้กินอาหารอร่อยกับครอบครัว เที่ยวสนุก เธอมีความสุขมาก

ยามค่ำคืนพ่อพาไปเดินเล่นในตัวเมือง เจอร้านถ่ายรูปร้านหนึ่งในจังหวัด เป็นร้านเก่าแก่ ดูโบราณ พ่อจึงพาครอบครัวเข้าร้านเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ในร้านมีรูปเก่าติดข้างฝาหลายรูป เธอสะดุดตากับรูปๆหนึ่ง จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆรูปนั้น เธอรู้สึกคุ้นเคยมาก เมื่อเข้าไปยืนที่รูป เธอต้องประหลาดใจกับสิ่งที่ได้เห็น ภาพเก่าโบราณสีขาว-ดำ ในกรอบไม้เก่าๆ แต่ยังอยู่ในสภาพดี มีเด็กสาวน้อย 10 คนยืนถ่ายรูปร่วมกันในร้าน เธอจำเด็กๆเหล่านั้นได้ดี

ทุกคนคือเพื่อนในความฝันของเธอเอง ใช่แน่ๆ และคนที่นั่งทางซ้ายสุด ทำไมเด็กสาวคนนั้นหน้าเหมือนเธอราวกับฝาแฝด ใต้รูปนั้นเขียนไว้ว่าถ่ายเมื่อปี 2470

***ถ้านับจากวันที่ถ่ายรูปจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 88 ปี แต่ดูจากรูปแล้วเด็กๆเหล่านี้น่าจะมีอายุราว12ถึง13ปี ซึ่งถ้าเด็กสาวในรูปยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน พวกเธอจะมีอายุราว 100 ปีพอดี....

ตอน 2 ภพชาติ...

อรวรรณยืนงงกับรูปที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอบอกว่าเธอทั้งงง ทั้งตะลึง สับสนและก็กลัวผสมปนเปกันไปจนพูดอะไรไม่ถูก เธอรีบดึงแขนพ่อกับแม่แล้วชี้ให้ดูรูป พ่อกับแม่ตะลึงเล็กน้อย แต่ก็พากันหัวเราะและคิดว่าช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้....

" หน้าลูกโหลจริง ๆ" พ่อกระเซ้าลูกสาว..

น้องชายถามเธอว่า " พี่อรมาถ่ายรูปไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ( ชื่อเล่นของเธอคือ อร )

อรวรรณไม่รู้จะบอกพ่อและแม่อย่างไรถึงเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้น จริงสิ...เธอไม่เคยเล่าเรื่องความฝันที่ฝันซ้ำๆเรื่องนี้ให้พ่อหรือแม่ฟังอีกเลย และที่สำคัญ ใครจะไปคิดว่าเพื่อนในความฝันของเธอจะมีรูปจริงๆที่กำลังอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้ เธอขออนุญาตพ่อและแม่เพื่ออัดรูปนี้จากร้าน โดยบอกเหตุผลว่าเธออยากเอาไปอำเพื่อนๆที่โรงเรียนว่าเธอเคยอยู่ในภาพนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากที่ร้านสมัยนี้จะสแกนหรือถ่ายแล้วอัดรูปนี้ให้เธอได้ใหม่ แต่ต้องมารับในอีก 2 วัน ซึ่งเป็นวันกลับกรุงเทพฯพอดี

อรวรรณบอกว่าเธอสับสนและกังวล..รวมทั้งกลัวอยูบ้างตลอดเวลา แต่ไม่รู้จะบอกใคร จะตัดสินใจเล่าให้พ่อแม่ฟังอีกสักครั้ง พ่อแม่จะเชื่อเธอมั๊ย? รึคิดว่าเธอบ้าไปรึเปล่า? สุดท้ายก็ไม่กล้าบอก ได้แต่เก็บความกังวลและประหลาดใจไว้คนเดียว...

ผมรู้สึกสงสารที่อรวรรณพูดถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้น นี่คือเด็กคนหนึ่งที่มีความลับสักอย่างที่อึดอัดใจ แต่ไม่กล้าเล่าให้คนในครอบครัวฟัง เพราะเกรงจะถูกกล่าวหาว่าไร้สาระหรือชอบโกหก เธอเล่าต่อว่า.........

"อาจารย์ขา...พอช่วงค่ำ หนูขอไปนอนเตียงแม่ แล้วให้น้องนอนกับพ่อแทนค่ะ " แม่ก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน แม่ถามว่าหนูกลัวอะไร หนูก็บอกว่าหนู้รู้สึกแปลกที่ อยากนอนกับแม่ แม่ก็เลยไม่ได้เอะใจในเรื่องนี้ค่ะ

อรวรรณไหว้พระก่อนนอนทุกคืน แต่เธอบอกว่าคืนนี้เธอสวดมนต์ยาวและท่องบทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์และญาติมิตรรวมทั้งเจ้าที่หรือวิญญาณที่ไม่มีญาติพร้อมๆกัน เธอนอนกอดแม่ ซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนสวยของโรงแรมไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่เธอเล่าว่าเธอฝันในคืนนั้นอีกครั้ง...

ฝันเห็นเพื่อนๆเหล่านี้นี่ล่ะ เพื่อนๆที่อยู่ในรูปที่ร้านถ่ายรูปร้านนั้น เค้าวิ่งมากอดเธอเหมือนดีใจกันยกใหญ่ เธอเองก็สนุกกับเพื่อนๆไปด้วย คืนนั้นไม่ได้ฝันว่าไปวิ่งเล่นน้ำกัน แต่ฝันว่าเหมือนจากกันไปนานแล้วเพิ่งมาพบกันตามประสาเด็กๆอีกครั้ง เธอแปลกใจมากที่คืนนี้ฝันไม่เหมือนคืนก่อนๆ และที่แปลกไปกว่านั้น ในฝันคืนนั้น เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม หน้าคมเข้ม...ตาโต...หน้าตาผิวพรรณ แสดงถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของคนใต้โดยแท้

เพื่อนคนนี้เดินมาจับมือเธอ กอดเธอนานกว่าใครๆ เขากอดเธอหลายครั้ง เธอจำหน้าเพื่อนคนนี้ได้ชัดแจ๋ว เธอคือสาวน้อยหน้าเข้มที่ยืนแถวบนริมซ้ายสุดเหนือศรีษะของเธอไปนิดนึงนั่นเอง ใช่แน่นอน เพื่อนหน้าคมเข้ม ดวงตาลึก นัยน์ตาโศกปนความนิ่งสงบคนนี้ เธอจับมือแล้วพูดกับอรวรรณว่า...

" เอมอร...ฉันดีใจอย่างแรง...ฉันคิดถึงเธอ " เธอพูดชื่อเอมอรกับประโยคนี้หลายครั้ง

" ฉันดีใจอย่างแรง..ฉันคิดถึงเธอจริงๆ " เธอบอกว่าแม้สำเนียงพูดก็เป็นคนใต้โดยแท้ทีเดียว พูดครั้งใดก็กอดอรวรรณทุกครั้งเมื่อจบประโยค

อรวรรณสะดุ้งตื่นจากฝันกลางดึก รู้ตัวว่านอนอยู่ในโรงแรม ไม่รู้สึกกลัว แต่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ใกล้เคียงความกลัว แต่ดูอิ่มใจจากในฝันมากกว่าแน่นอน อิ่มใจราวได้พบเพื่อนที่พลัดพรากกันมานานนับ เธอพลิกตัว แล้วเอื้อมมือกอดแม่ หลับตา สวดมนต์ในใจ ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เมื่อเคลิ้มใกล้หลับ ภาพหน้าเพื่อนตาคมคนนี้ก็แจ่มชัดขึ้นในความมืดอีกครั้ง อรวรรณจำได้ติดตา รอยยิ้มที่ดูนิ่งสงบ กับนัยน์ตาคมดูลึกลับคู่นั้น เธอคือใคร?


ขนลุก!! เรื่องราว ข้ามภพ ข้ามชาติ ของเธอคนนี้!!


ตอน 3 ภพชาติ...

รุ่งเช้า อรวรรณตื่นสายนิดหน่อย แม่อาบน้ำเสร็จแล้ว น้องชายกับพ่อยังหลับสนิท อรวรรณทบทวนเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนอีกครั้ง เพื่อนนันย์ตาคมผิวคล้ำที่กอดเธอหลายครั้งในฝันเรียกชื่อเธอว่าเอมอร ช่างตรงกับชื่อเล่นในภพนี้ของเธอที่แม่ตั้งให้ว่าอร อรวรรณ หรืออรในชาตินี้ ภพนี้ ช่างพ้องและตรงกับ เอมอรในฝันยิ่งนัก แต่แปลกใจว่าทำไมถึงฝันเห็นเพื่อนคนนี้แจ่มชัดกว่าคนอื่น ในใจให้สงสัยและใคร่รู้เหลือเกิน

วันนี้พ่อจะพาทุกคนนั่งรถไปเที่ยวรอบเมือง ดูทัศนียภาพรอบๆตัวเมืองสงขลา ทั้งทะเล ภูเขา ตึกเก่าในเมือง และเที่ยวตลาดเพื่อหาอาหารพื้นเมืองกิน มาปักษ์ใต้ทั้งที ต้องกินอาหารใต้แท้ๆให้รู้รสชาติกันสักครั้ง

อรวรรณมีความสุขกับตลาดและอาหารอร่อยๆจนถึงช่วงบ่ายที่พ่อพาขึ้นรถประจำทางเพื่อนั่งรถรอบเมืองเพื่อชมตึกรามบ้านช่องของสงขลา ขณะรถวิ่งไปได้สักพัก อรวรรณมองเห็นวัดวัดหนึ่งในตัวเมืองสงขลา คือวัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร อรวรรณคลับคล้ายคลับคราว่านี่เหมือนวัดที่เธอเคยอยู่ในฝันที่เธอกับเพื่อนๆมาวิ่งเล่นกันเหลือเกิน อรวรรณรีบบอกพ่อและแม่ว่าอยากแวะเข้าวัดนี้เพื่อไหว้พระ เธอมีทีท่าลุกลี้ลุกลนและดูสนใจมากเป็นพิเศษ พ่อและแม่เห็นว่าลูกมีความสนใจก็ไม่ขัด เห็นดีเห็นงามที่ลูกอยากเข้าวัด จึงพากันลงจากรถโดยสารแล้วเดินไปยังวัดนี้ทันที...

วัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร...!!!!! เป็นวัดในสงขลาที่มีความสวยงามยิ่งนัก เมื่อเธอเดินเข้าวัด ก็ให้เกิดความรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน ขนที่แขนทั้ง 2 ข้างของเธอลุกชันตลอดเวลา เดินผ่านส่วนไหนของวัด ภาพในความฝันที่เคยฝันว่าวิ่งเล่นในงานวัดกับเพื่อนๆก็เหมือนจะมาทาบประกบกับความจริงในขณะนี้เวลานี้เสียทีเดียว

เธอเดินไปทุกที่ในวัด ราวกับว่ามาเยือนเป็นครั้งที่สิบเข้าไปแล้ว พ่อพาเธอเดินเข้าไปในวัดแบบบคนที่ไม่รู้จักวัดนี้มาก่อน จะไปทางซ้ายหรือขวา ก็ดูไม่มั่นใจ เหมือนนักท่องเที่ยวที่ขาดไกด์นำทาง

" พ่อคะ...ตามหนูมา มาทางนี้ค่ะพ่อ " อรวรรณจูงมือพ่อและครอบครัวเดินเข้าวัดราวกับเคยมาที่นี้แล้วสักสิบครั้ง "วัดนี้มีโบสถ์ มีพระประธาน รูปปั้นจีนแบบตัวละครในเรื่องสามก๊ก และยังมีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของโบราณอันล้ำค่าของสงขลาและภาคใต้ไว้หลายชิ้น และมีเก๋งจีนตรงด้านหลังด้วยนะคะ"

เธอพูดรัว เร็ว พ่อและแม่หันมามองหน้ากันว่าลูกสาวไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหน และรู้ได้อย่างไรว่าวัดนี้มีอะไรบ้าง ? เธอพาครอบครัวเดินไปพบสถานที่ต่างๆภายในวัดได้คล่องแคล่วและมั่นใจจนพ่อกับแม่รู้สึกสงสัยว่าเธอรู้ได้อย่างไร?

" อร...ลูกไปเอาข้อมูลมาจากไหนเนี่ย ?" พ่อถามเธอ

" หนูไม่ทราบค่ะ...หนูรู้สึกอย่างนี้จริงๆค่ะ" อรวรรณก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเธอบอกถูกได้อย่างไร เธอบอกตามที่เคยเห็นในฝัน แค่นี้เอง เธอและครอบครัวได้เห็นพระอุโบสถซึ่งมีรูปทรงคล้ายกับวัดพระแก้วมรกตในกรุงเทพฯ ภาพจำหลักหินรูปปั้นจีน 3 ก๊ก ก็เหมือน รูปปั้นที่วัดอรุณฯที่กรุงเทพฯเช่นกัน เก๋งจีนก็เป็นแบบที่เราเคยเห็นในวัดจีนทั่วๆไป แต่สิ่งที่เธอประหลาดใจมากก็คือเมื่อเข้าไปกราบพระประธาน เธอรู้สึกคุ้นเคยกับพระองค์นี้ราวกับเคยมากราบบ่อยครั้ง ใช่! เธอมากราบกับเพื่อนๆพวกนั้นเมื่อคราวงานวัดนั่นเอง.....

เดินเข้าโบสถ์ไปชมจิตรกรรมฝาผนัง ก็แสนจะตื่นตาตื่นใจ ภาพบนฝาผนังในฝันดูจะสดและชัดกว่าที่กำลังยืนดูในขณะนี้ นี่มันค่อนข้างเก่า สีจางไปบ้างแล้ว ลายเส้นก็ไม่เด่นชัดเหมือนในฝันเมื่อนานมา หากยังคงเรื่องราวและร่องรอยของรูปเดิมอยู่ อรวรรณแหงนซ้าย-ขวาสังเกตุสิ่งรอบข้างในวัดด้วยความตื่นเต้นจนหัวใจแทบหลุดออกมา นี่เราเจอภาพเพื่อนๆในฝันมาครั้งหนึ่งที่ร้านถ่ายรูปในตัวจังหวัดไปแล้ว ตอนนี้เรามาพบวัดในฝันอีกแล้วหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไร? ความสงสัยในใจเธอมันล้นเอ่อเกินจะเอ่ยกับใคร

พ่อ,แม่,น้องชายและเธอซื้อดอกไม้เพื่อกราบขอพรพระประธานให้เกิดสิริมงคลกับชีวิต เธอนั่งพับเพียบ หลับตาประนมมือหน้าพระประธาน นิ่งสงบ เธอมิได้ขอพรสิ่งใด หากรู้สึกมีสมาธิลึกอยู่ในใจ ค่อยๆก้มลงกราบพระ

ในความมืดขณะหลับตาก้มกราบพระ พลัน...!!! มองเห็นเพื่อนนัยน์ตาคมเข้มผู้นั้นลอยมาเต็มตา....!!!!!!! เธอใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเรียบๆ ผ้าถุงสีครีมยาวคร่อมเท้าแบบชาวบ้านทั่วไปเหมือนเมื่อคืนในความฝัน อรวรรณเบิกตาโพรง....!!!!!! รีบชันตัวขึ้นจากกราบพระ เห็นเพื่อนผู้นั้นยืนอยู่ที่ประตูที่หน้าโบสถ์ เธอยิ้มให้อรวรรณอย่างตั้งใจ

อรวรรณรีบหันไปมองที่ประตูโบสถ์ทันที ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดยืนที่นั่น แม่สะกิดอรวรรณที่กำลังหันรีหันขวาง

" เป็นอะไรล่ะอร? กราบพระได้ครั้งเดียวก็รีบถลันตัวลุกขึ้นนั่งเลยล่ะลูก? " แม่กระซิบถามอรวรรณ พ่อกับน้องก็หันมามองเธอ

" เปล่าค่ะแม่..." อรวรรณตั้งสตินิ่ง ค่อยๆก้มลงกราบพระประธานอีกครั้ง

เมื่อหลับตาก้มตัวลงกราบอีกครั้ง เพื่อนนัยน์ตาคมผู้นั้นก็ยังคงยืนยิ้มให้เธออยู่เช่นเดิม ขนตรงแขนของอรวรรณลุกชันอีกครั้ง !!!!!

ตั้งใจก้มลงกราบครั้งที่ 3 เพื่อนคนเดิมยังคงยิ้มให้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ครั้งสุดท้าย เห็นเพื่อนคนนี้ยืนอยู่ที่หน้าเจดีย์รูปทรงจีนเป็นชั้นๆหลายชั้นด้านหลังโบสถ์ เมื่อก้าวข้ามประตูโบสถ์ออกมา ลมพัดมาวูบหนึ่ง ขนที่แขนลุกขึ้นอีกครั้ง

" แม่...เหมือนหนูได้เคยมาที่วัดนี้มาก่อนเลยนะ" อรวรรณกระซิบบอกแม่

" อืม...หนูคงทำบุญเอาไว้เยอะล่ะลูก การทำบุญมาก บุญจะส่งผลให้เราได้พบในสิ่งที่เราต้องการสักวันนะ แม่เชื่อ " แม่ตอบแบบไม่ขัดความรู้สึกเชื่อของอรวรรณที่มีต่อวัดแห่งนี้ พ่อก็ดูมีสีหน้าแปลกๆ สนใจที่อรวรรรพูดประโยคนี้ อรวรรณหันมองภายในวัดอีกครั้งก่อนหันกลับไปขึ้นรถโดยสารกลับโรงแรม

" อร....หลบมาเหรยนะ..." (กลับมาอีกนะ) เธอได้ยินเสียงใครสักคนพูดใกล้ๆหูเธอก่อนเดินออกจากวัด เธอจำได้ถนัด เสียงนี้คือเสียงเดียวกับเพื่อนที่ยืนอยู่หน้าประตูโบสถ์ที่เคยพูดกับเธอในฝันว่า

"อร...ฉันดีใจอย่างแรง ฉันคิดถึงเธอ...." ขนที่แขนของอรวรรณตั้งชันอีกครั้ง

 

ตอน 4 ภพชาติ...

ออกจากวัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร พ่อพาเธอกับน้องชายไปเที่ยวแหลมสมิหรา ทะเลสาปสงขลา ได้ลงเล่นน้ำทะเลกับน้องอีกครั้ง วิ่งไล่กับน้องที่ริมหาด แวะถ่ายรูปกับนางเงือกที่นั่งสางผมริมหาดแห่งนี้มานานนับชั่วอายุคนแล้ว

อิ่มเอมกับอาหารทะเลร้านใกล้ๆจนเย็นย่ำจึงเดินกลับโรงแรม คืนนี้เป็นคืนที่ 3 ที่อรวรรณพักในสงขลา พรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพฯในช่วงเย็นแล้ว....

วันนี้เป็นวันพระ เธอได้กราบพระประธานและเยี่ยมชมความสวยงามรอบๆวัดอย่างเต็มอิ่ม แม่แวะซื้อดอกไม้ก่อนเข้าโรงแรมเพื่อไหว้พระก่อนนอน คืนนี้อรวรรณมีพวงมาลัยมะลิพวงย่อมๆไว้กราบพระก่อนนอน เธอขอนอนกับแม่เหมือนเดิม พ่อกับน้องหลับไปก่อนแล้ว เธอกราบขอพรพระและเจ้าที่เจ้าทาง ภาวนาให้ช่วยปกปักรักษาให้หลับฝันดีและดูแลครอบครัวเธอให้มีสุขภาพดี เธอวางพวงมาลัยไว้ข้างหมอน แล้วหันหน้าไปพูดกับแม่
" แม่....ที่หนูเคยบอกแม่ว่าหนูฝันเห็นเพื่อนๆในฝันหลายคนเป็นเวลาหลายครั้ง แม่เคยจำเรื่องนี้ได้มั้ย? "

" ได้สิลูก....ทำไมเหรอ?" แม่ถาม

"แม่...ตอนนี้หนูโตแล้ว หนูไม่ได้ฝันหรือจินตนาการเหมือนตอนเล็กๆนะ หนูมีสติสัมปชัญญะดี หนูมีเรื่องอยากบอกแม่ค่ะ " อรวรรณพูดกับแม่ด้วยความตั้งใจ

"เรื่องอะไรล่ะลูก?" สายตาแม่จ้องลูกสาวด้วยความสนใจ

" แม่คะ....หนูอยากบอกแม่ว่ารูปที่ร้านถ่ายรูปเก่าๆร้านนั้น เด็กๆทุกคนในรูปนั้น คือเพื่อนที่อยู่ในฝันของหนูจริงๆ หนูจำหน้าเด็กๆเหล่านั้นได้ดีค่ะ แม่จำเรื่องที่หนูเคยเล่ามาก่อนหน้านี้ได้มั้ยคะ เรื่องที่หนูฝันซ้ำๆว่าหนูได้พบเพื่อนหลายคนบ่อยๆ นี่ล่ะคะ เพื่อนในฝันของหนูก็คือคนที่อยู่ในรูปที่ร้านนั้นจริงๆ และหนูก็ตกใจมากที่คนที่นั่งริมซ้ายสุดก็มีหน้าตาเหมือนกับหนู พ่อกับแม่คงนึกว่าบังเอิญ แต่หนูรู้ดีว่าไม่ใช่ เวลาหนูฝัน หนูก็จะใส่ชุดเดียวกับในรูปนั้นเลยคะแม่ วันนี้ที่เรานั่งรถผ่านวัดมัชฌิมาวาสฯแล้วหนูนึกอยากลงไปในวัด เมื่อเข้าวัดแล้วหนูพาพ่อกับแม่เดินไปรอบๆวัดและเหมือนรู้ว่าสิ่งใดอยู่ส่วนไหนของวัด แม่ไม่แปลกใจเหรอคะ? ว่าหนูรู้ได้อย่างไร?

หนูเคยไปวัดนั้นในฝันกับเพื่อนๆบ่อยนะคะ หนูพอจะจำได้ แม่คิดว่าหนูจินตนาการหรือคะ? "

อรวรรณอธิบายให้แม่ฟังเป็นเรื่องราวปะติดปะต่อกันด้วยความตั้งใจ แม่จ้องตาเธอไม่กระพริบ ตาแม่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของแม่ให้ความสนใจปนสนเท่ที่ลูกสาวเล่าเรื่องได้อย่างน่าเชื่อถือ

" เล่าต่อสิลูก เล่าอย่างที่ลูกเห็นมาให้หมด แม่พูดเสียงรัวขึ้น

" เล่าเลยลูก แม่เชื่อว่าลูกโตแล้ว ลูกไม่โหกแม่แน่ๆ เล่าสิลูก แม่ขนลุกไปหมดแล้ว "

อรวรรณเล่าเรื่องที่เธอฝันให้แม่ฟังทั้งหมดเป็นฉากๆเรียงลำดับมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ เพื่อนคนไหน พูดกับเธออย่างไร เหตุการณ์เป็นจริงเพียงใด เธอฝันเช่นไร ณ ตอนนี้ดูเหมือนแม่จะให้ความสำคัญ และรับฟังเธอเล่าเรื่องอย่างเชื่อใจว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับลูกสาวบ้าง
" แม่ขอโทษนะลูกที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ไม่เชื่อว่าลูกกำลังเจออยุ่กับสิ่งใด แต่ต่อไปนี้เราจะแก้ไขเรื่องนี้และทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุดนะลูก เราต้องไปกราบขอพรพระและทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เพื่อนๆเหล่านั้นของลูกนะ แล้วแม่ก็ให้อรวรรณสวดมนต์ แผ่เมตตา และสวดคาถาชินบัญชรแบบสั้นอีกบทหนึ่ง

" แม่คะ...เพื่อนๆหนูเค้ามาดีนะคะ ไม่ต้องไปไล่เค้านะ " อรวรรณกระซิบแม่

" อืม...นอนเถอะลูก" แม่พูดเสียงเบา....จนแทบไม่ได้ยิน

คืนนี้แม่ไม่ปิดไฟหมดห้อง เปิดไฟห้องน้ำและหรี่ไฟโป๊ะที่หัวเตียงให้พอมีแสงสว่างอยู่รำไรบ้าง ไม่รู้ว่าเธอกับแม่นอนหลับไปนานเท่าไหร่ แต่กลิ่นมะลิหอมจากพวงมาลัยข้างหมอนของเธออวนกลิ่นหอมไปทั่วห้อง จนราวตีสองที่ทุกคนหลับสนิท ไฟโป๊ะหัวเตียงเธอเกิดดับๆติดๆสลับกันไปอยู่สักครู่ อรวรรณสะดุ้งตัว ลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอลืมตาในความงัวเงีย มองเห็นร่างเด็กผู้หญิงรูปร่างผอมบางแขนยาว นั่งอยู่ที่ปลายตีนเตียงของเธอกับแม่

อรวรรณยกมือขึ้นขยี้ตา มองที่ปลายตีนเตียงอีกครั้ง ใช่จริงๆเสียด้วย เพื่อนนัยน์ตาคมคนที่มากอดเธอเมื่อคืนที่ผ่านมาและเป็นคนเดียวกับที่เธอเห็นที่หน้าประตูโบสถ์วันนี้นี่เอง (ต่อไปนี้เป็นการสนทนาของอมรศรีกับอรวรรณ ที่อมรศรีใช้สำเนียงและภาษาใต้ แต่ขอแปลเป็นภาษากลางเพื่อความเข้าใจโดยง่าย )

"เอมอร ฉันมาหาเธอ ขอบใจนะที่เธอกับแม่สวดมนต์ให้ฉัน ผลกรรมดีที่เธอทำมาได้ช่วยดลให้ฉันมาหาเธอได้ง่ายขึ้น"

"ฉันรอเธอมานานมากแล้ว คนอื่นเค้าไม่อยุ่กันหมดแล้ว เหลือแต่ฉันคนเดียวที่คอยเธอเพื่ออีบอกบางสิ่งที่เธอไม่รู้ ลุกขึ้นมานั่งคุยกับฉันตะเอมอร" เพื่อนนัยน์ตาคมพูดสำเนียงใต้ด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็นราวน้ำแข็ง อรวรรณเหมือนถูกมนต์สะกด เธอค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างช้าๆ แม่นอนหลับอยู่ข้างเธอ แต่หลับสนิทจนไม่รู้ว่ามีแขกยามวิกาลเข้ามาหาลูกสาวของเธอถึงในห้องเสียแล้ว
" เอมอร ฉันชื่ออมรศรีนะ เราเป็นเพื่อนที่รักกันมากที่สุด แต่ก็มีอีกคนหนึ่งที่รักเธอมากกว่าที่ฉันรักเธอ "บัวคลี่" เธอเป็นรุ่นน้องเรา 2 ปี แต่มาอยู่ในกลุ่มของพวกเราจนเหมือนเป็นเพื่อนเสียแล้วนิ บัวคลี่คือคนในรุปถ่ายที่นั่งติดกับเธอ เธอจำบัวคลี่ได้หม้าย? ฉันอีมาบอกเธอว่าเธอได้เคยสัญญากับบัวคลี่เอาไว้ตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้เธอยังไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับบัวคลี่นะ"
" สัญญาอะไร? " อรวรรณถามกลับด้วยความสงสัย....

......จบตอนที่ 4...




ตอน 5 ภพชาติ...

"สัญญาอะไร? ฉันเคยสัญญาอะไรกับคนที่ชื่อบัวคลี" อรวรรณถามเพื่อนเมื่อครั้งอดีตที่กำลัง นั่งอยู่ข้างหน้าด้วยความสงสัย อมรศรียิ้มเรียบๆ ดวงตาคมลึกเข้มมองอรวรรณอย่างใจเย็น เธอเลื่อนมือทั้งสองมาวางบนมือของอร วรรณ อมยิ้มนิดหนึ่งแล้วเล่าว่า....

" เอมอร...เธอคงจำเรื่องราวอะไรไม่ได้เลยนะ เอาล่ะฉันจะเล่าให้เธอฟังนะ...

เธอคือเอมอร ลูกของตาเส้งและยายแดงที่บ้าน ขายน้ำชาและกาแฟอยู่ตรงมุมถนนที่เลยวัดกลางไปทางตลาดไม่ไกลนัก พ่อเธอมี เชื้อจีน ปู่ของเธอเป็นคนจีนมาจากจีนแผ่นดินใหญ่แล้วมาทำประมงอยู่ที่สงขลา เธอได้รับ เชื้อจีนมาจากปู่และพ่อ หน้าตาเธอจึงเหมือนคนจีนมากกว่าคนใต้ พวกเราเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ เล็กๆ มีด้วยกัน 10 คน ฉันกับเธอเป็นเพื่อนรักกันมาก แต่บัวคลี่ที่เป็นรุ่นน้องเรา 2 ปีก็มาเล่นอยู่ด้วยกันกับเราจนกลายเป็นเพื่อนด้วยกันเสียที่สุด บัวคลี่มี ฐานะยากจน พ่อแม่ทำนา ไม่มีเงินทอง อดมื้อกินมื้อ แต่หน้าตาบัวคลี่สวย ผิวพรรณดี ตาเส้งพ่อของเธอเห็นว่าบัวคลี่กับเธอสนิทกันจึงไปขอบัวคลี่มารับ เลี้ยงดูเพื่อให้เป็นเพื่อนกับเธอ บัวคลี่จึงได้ไปอยู่กับเธอและช่วยงานบ้าน เธอเป็นการตอบแทนพระคุณตาเส้งที่ช่วยชุบชีวิตของบัวคลี่ บัวคลี่รักเธอ มากกว่าทุกคน เพราะเธอเป็นคนเรียนเก่งและที่สำคัญ เธอรำสวย เป็นนางรำตัวเด่นของโรงเรียนเราเสมอ บัวคลี่รักเธอราวกับพี่สาว แท้ๆคนหนึ่งในชีวิต

พวกเราเรียนที่วัดกลางแห่งนี้ เป็นโรงเรียนประชาบาลที่มีชื่อของสงขลา เธอได้รำงานสำคัญๆของโรงเรียน เสมอ ฉันลืมบอกไป วัดกลางที่ฉันพูดถึงก็คือวัดมฌิมาวาสวรวิหารนี่เอง แต่เดิมเค้าเรียกว่าวัดกลาง สร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ต่อมาเจ้าใหญ่นายโตของบ้านเมืองได้เปลี่ยนชื่อว่าวัดมัฌิมาวาสวรวิหาร ตั้งแต่เรายังไม่เกิด แต่ชาวบ้านยังเรียกว่าวัดกลางมาจนถึงวันนี้ พวกเราอยู่แถวบ่อยางกันทุกคน (ต.บ่อยาง) เรามาวิ่งเล่นกันในวัดกลางเป็นประจำ เธอมักมาซ้อมรำที่โรงเรียนอยู่เสมอ เธอรำสวย โดยเฉพาะรำโนราห์ ทั้งร้องทั้งรำได้เก่ง...นอกจากนั้นเธอยังมีฝีมือในการร้อยลูกปัดใช้ตกแต่งชุด โนราห์ได้สวยงาม ใครๆก็รู้ว่าเธอเป็นลูกจีนในตลาดที่รำไทยได้สวยกว่ารำจีนเสียอีก "

อมรศรีเล่าถึงตอนนี้ก็หัวเราะหึๆในคอ เธอยิ้มแล้วหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อไป "บัวคลี่ขอไปดูเธอซ้อมรำโนราห์เสมอๆ เมื่ออยู่ด้วยกันก็ขอร้องให้เธอสอนรำให้ทุกครั้ง เธอบอกว่ายังสอนไม่ได้เพราะยังไม่ได้ครอบครู เมื่อไหร่ที่ได้ครอบครูเธอจะสอนบัวคลี่ทันที งานเดือนสิบเมื่อปี 2470 พวกเราทั้ง10คนไปเที่ยวงานวัด ไปไหว้พระประธานที่โบสถ์เหมือนที่เธอไหว้ในวันนี้นั่นล่ะ แล้วพวกเราก็ไปถ่ายรูปกันที่ร้านในตลาดอย่างที่เธอไปเจอนั่นล่ะ "

"อืม...ถ้าอย่างนั้นที่ฉันเห็นเมื่อบ่ายวันนี้ที่ในโบสถ์" อรวรรณพูดแทรก
"ใช่...ฉันเองนั่นล่ะที่ยืนอยู่ที่หน้าบานประตูทางเข้าโบสถ์ เธอไม่ได้ตาฝาดหรอก" อมรศรีพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็นเช่นเดิม แล้วเล่าต่อ...

"ฉันอยู่ที่วัดกลางมานานแล้ว อยู่ตรงกำแพงที่ข้างวัดนั่นล่ะ ตรงที่เค้าทำเป็นที่เก็บกระดูก" เธอเล่าถึงตอนนี้ก็หยุด ก้มหน้า ถอนหายใจ
" เธอตายนานแล้วหรือยัง " อรวรรณถาม...

" ฉันตายหลังเธอได้ 2 ปี เธอตายก่อนฉันเมื่อคราวไปเล่นน้ำทะเลด้วยกันกับเพื่อนๆ " อมรศรีมองหน้าอรวรรณอีกครั้ง
" ฉันตายตอนไหน...ตายเพราะจมน้ำเหรอ อายุตอนตายเท่าไหร่?" อรวรรณซัก

" หลังจากที่เราถ่ายรูปหมู่ด้วยกันได้ไม่ถึงปี เธอกับพวกเราหนีพ่อแม่ไปเล่นน้ำทะเล เธอว่ายน้ำเก่ง ไม่กลัวทะเล แต่เธอก็หายไปกับทะเลตอนที่เราวิ่งไล่จับกันในน้ำ เธอดำน้ำหายไปจนใครๆคิดว่าเธอคงว่ายไปที่ลึกๆ ไม่มีใครกล้าตามลงไป แล้วเธอก็หายไปจริงๆ " อมรศรีเอามือแตะไหล่อรวรรณ แล้วเล่าต่อ...
" เมื่อเห็นว่าเธอหายไปนาน พวกเราใจไม่ดี จึงรีบวิ่งไปบอกตาเส้งกับยายแดง คนทั่วทั้งตำบลบ่อยางจึงรีบมาลงทะเลเพื่อ ค้นหาเธออยู่หลายอึดใจ

" แล้วพบร่างฉันมั้ย? พบตอนไหน " อรวรรณถามด้วยความอยากรู้
" เค้าพบเธอตอนเย็น เธอถูกน้ำทะเลพาไปที่ลึกจนเกือบสูญไปในร่องน้ำลึกในทะเลเสียแล้ว ยายแดงกับตาเส้งหัวใจแทบสลาย พวกฉันเองก็ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด " อมรศรียื่นมือมากุมมืออรวรรณอีกครั้ง

" แล้วมันเกี่ยวกับสัญญาอะไรกับบัวคลี่ที่เธอบอกไว้ล่ะ? " อรวรรณถามด้วยความสงสัย

"ใจเย็นๆ ฟังต่อนะเอมอร ตอนเราไปทำบุญงานเดือนสิบแล้วไปงานวัดกันน่ะ พวกเราไปดูโนราห์กัน

บัวคลี่อยากรำโนราห์มาก เธอปลดสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งที่ทำด้วยลูกปัดชุดโนราห์ใส่ให้บัวคลี่ แล้วบอกว่าจะสอนโนราห์ให้บัวคลี่เป็นคนแรก เธอสอนให้บัวคลี่ร้องเพลงโนรา ห์ไปก่อน ทุกคนร้องเพลงที่เธอสอนได้หมด บัวคลี่ท่องจนขึ้นใจ เธอจำเนื้อเพลงได้มั้ยเอมอร? " อมรศรีถามปนรอยยิ้ม แล้วมองอรวรรณ
" ไม่...ฉันจำไม่ได้เลย " อรวรรณส่ายหน้า

" เธอจำบทที่เธอสอนบัวคลี่กับพวกเราไม่ได้เหรอ บทร้องดังนี้

ครูเอยครูสอน สอนแล้วแม่นา...
ครูสอนให้ทอดกรต่อท่า... ครูสอนให้ผูกผ้า...
สอนแล้วแม่นา....ผูกผ้าสอนให้ข้าทรงกำไร....
สอนให้ครอบเทริดน้อย (เทริดคือชฏาสวมหัวของโนราห์) สอนแล้วแม่นา...
ครอบเทริดน้อยแล้วจับสร้อยพวงมาลัย สอนให้แม่อมรศรี..
แม่บัวคลี่น้องน้อยให้ทรงกำไร สอนแล้วแม่นา...
ทรงกำไรสอดใส่ซ้ายใส่ขวา....
แม่เอมอรจะพาให้ทรงกำไร

.......................................

เธอสอนเพลงนี้ให้พวกเราแล้วใส่ชื่อพวกเราในเนื้อเพลง เปลี่ยนชื่อทุกคนไป เองตามชอบใจ" อรวรรณยิ้มบางๆให้อมรศรี ดูเหมือนอรวรรณจะค่อยๆจำเนื้อเพลงนี้ ได้บางวรรคบางตอน และอ้าปากร้องคลอตามอมรศรีไปด้วย

อมรศรีเล่าต่อ......

"ก่อนเธอลงทะเล เธอได้ถอดสร้อยข้อมือฝากไว้ที่บัวคลี่เพราะกลัวหลุดหายไปกับทะล บัวคลี่ไม่ได้ลงเล่นน้ำ เธอว่ายน้ำไม่เป็น เลยเป็นคนเฝ้าของอยู่ที่ใต้ต้นสน พอคนเค้างมเจอร่างเธอ บัวคลี่ร้องไห้แทบขาดใจ...

"พี่อร" พี่อรฉันตายแล้ว พี่อรฉันตายแล้ว " เธอได้แต่ตะโกนร้องด้วยความเสียใจซ้ำๆหลายครั้ง ร่างของเธอถูกเก็บไว้ เพียง 2 วัน แล้วก็เผา สมัยก่อนเวลาคนตาย เค้าไม่เก็บไว้นานนะ เพราะไม่มียารักษาศพเหมือนสมัยนี้ วันที่เค้าเผาเธอ พวกเรายืนร้องไห้จนเถ้ากระดูกเธอเกือบมอดจนหมด หลังจากเผาเธอได้ 3 วัน บัวคลี่นำสร้อยข้อมือที่เธอฝากไว้มาปรึกษากับพวกเราว่าจะทำอย่างไร ลืมใส่ให้เธอไปด้วย พวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร จึงตัดสินใจนำสร้อยข้อมือของเธอไปฝังไว้ที่ใต้ฐาน เจดีย์ทรงจีน 7 ชั้นที่ในวัดกลาง เพราะเธอมีเชื้อสายจีน บรรพบุรุษทางปู่ของเธอก็ถูกฝังกระดูกไว้บริเวณวัดนั้น เราเอาสร้อยของเธอใส่ ผ้าขาวห่อไว้ แล้วฝังไว้ตรงนั้น มันยังอยู่ที่เดิมนะ
"..อยู่ที่ฐานใต้เจดีย์แบบจีนสูง7ชั้นที่วัดกลางน่ะเหรอ?.." อรวรรณถามอมรศรี

" ใช่ ยังอยู่ที่ตรงนั้น...ส่วนเถ้ากระดูกของฉันก็ อยู่ที่ผนังรั้วโบสถ์ข้างพระอุโบสถนั่นล่ะ อมรศรียิ้มอีกครั้ง

" แล้วเธอตายด้วยเหตุผลอะไรล่ะ? " อรวรรณถามด้วยความอยากรู้
" หลังจากเธอตายไปได้2ปี ฉันก็เป็นปอดบวมตาย เพราะเล่นน้ำฝน สมัยก่อนนะเป็นไข้อะไรก็ตายง่าย ไม่เหมือนสมัยนี้ หมอเค้ามียาดีๆเยอะ หลังจากฉันตาย เพื่อนๆก็เติบโตไปเป็นสาว ความผูกพันที่มีต่อกันก็จางหายกันไปตามเวลา มีลำดวน ชวนพิศ เอื้อน และ บุญศรี ที่มาทำบุญให้ฉันอยู่บ้าง นอกนั้นก็แยกย้ายหายสาปสูญกันไปมีครอบครัว แล้วก็ตายจากกันไปทีละคน จนเกือบหมด " อมรศรีเงยหน้าขึ้น สายตามองไปทางประตูห้องของโรงแรมแล้วเล่าต่อ....
"เอมอร เธอรู้มั้ย หลังจากที่เธอตายไปได้ไม่นาน ตาเส้งพ่อของเธอก็ส่งบัวคลี่กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของบัวคลี่ตามเดิม บัวคลี่ต้องไปไถนาและหาผักหาปลาตามคลองไปขาย ใช้ชีวิตที่แร้นแค้นเช่นเดิม พวกเราสงสารบัวคลี่มาก เธอไม่ได้เรียนหนังสืออย่างพวกเรา จบแค่ ป.4 ต้องไปหาบเร่ขายผักขายปลา เวลาเจอฉันที่ไหน บัวคลี่จะร้องไห้และพูดถึงพี่เอมอรของเธอเสมอ เธอรำพึงว่ายังไม่ทันได้เรียน รำจากพี่อร พี่อรก็หนีฉันไปเสียแล้ว บางครั้งเวลาฉันเจอบัวคลี่ ก็จะร้องเพลงโนราห์ที่เธอเป็นคนสอนให้พวกเราร้อง
"....ครูเอยครูสอน......." แล้วชื่ออมรศรี บัวคลี่ และลงท้ายด้วยเอมอรอยู่ในเพลงเสมอ ร้องเพลงโนราห์ด้วยกันเบาๆข้างแผงขายปลา น้ำตาฉันกับบัวคลี่ก็ไหลปนกันไป หลังจากเธอตายได้ปีนึง พ่อแม่บัวคลี่ต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่พัทลุง เพราะทำมาหากินฝืดเคือง เกรงจะพาครอบครัวไปไม่ไหว พ่อบัวคลี่เป็นคนที่นั่น จึงคิดอยากกลับไปทำงานที่พัทลุง หวังไปตายเอาดาบหน้า วันที่บัวคลี่จะออกเดินทางไปพัทลุง พวกเราพากันไปที่เจดีย์จีน 7 ชั้น ที่ๆฝังลูกปัดสร้อยข้อมือของเธอไว้ บัวคลี่ไปร่ำลาเธอกับพวกเรา แล้วก็ร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือดอีกครั้งหนึ่ง " พี่อรที่รัก...หนูมาลาพี่อรไปอยู่พัทลุงกับพ่อและแม่แล้วนะ...ไม่รู้ว่าหนูจะได้ กลับมาที่บ่อยางและวัดกลางหรือมาหาพี่อรที่นี่อีกหรือไม่ หนูไม่ได้รำโนราห์ ตามที่พี่อรสอน แต่หนูก็ร้องเพลงที่พี่สอนได้ไม่มีวันลืม สร้อยข้อมือที่พี่อรให้หนู หนูจะเก็บรักษาให้ดีที่สุด มันเป็นเหมือนคำสัญญาที่พี่และน้องได้ให้คำสัตย์ ผูกมั่นกันไว้...

แม้ไม่ได้สมความตั้งใจแต่ก็จะเป็นสัญญาใจว่าจะไม่มีวันลืมกันนะพี่ หนูจะ คิดถึงพี่ๆทุกคน โดยเฉพาะพี่อร...พี่สาวของหนูคนนี้ตลอดไปนะพี่นะ" อมรศรีเล่าติดๆขัดๆเหมือนมี อะไรมาจุกอยู่ที่คอ แล้วน้ำตาเธอก็ไหลออกมา
" ฉันตายหลังจากบัวคลี่ไปพัทลุงได้ปีนึง พวกเราไม่เคยรู้ข่าวของบัวคลี่อีกเลย จนหลังจากนั้นอีกหลายปี งานทำบุญเดือนสิบที่วัดกลางในปีหนึ่ง ฉันเห็นหญิงสาวคนหนึ่งมาทำบุญที่วัดกลางนี่ล่ะ เธอเป็นสาวที่แต่งตัวสะอาด เสื้อผ้าราคาไม่แพง ท่าทางเรียบร้อย ถือพวงมาลัยมานั่งไหว้ที่ฐานเจดีย์จีน 7ชั้น เธอวางพวงมาลัยที่ใต้ฐานเจดีย์ ที่ๆเราฝังสร้อยข้อมือของเธอไว้ ฉันรีบรนรานไปที่นั่นทันที ฉันจ้องมองหน้าผู้หญิงที่กำลังก้มหน้าไหว้อย่าง สงบนิ่ง เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ใจฉันหายวาบ...ใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็กๆ จนโตเป็นสาว ยังคงเค้าความงามอยู่เช่นเดิม แม้จะลำบากยากจนเท่าไหร่ แต่เธอยังมีเค้าความสวยอยู่ในดวงตาที่เศร้าหมอง ฉันแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่....

บัวคลี่ เธอเป็นสาวแล้ว ฉันก้มลงไปกอดบัวคลี่ แต่เธอไม่รู้ น้ำตาของฉันไหลอาบแก้ม "บัวคลี่...เธอกลับมาแล้ว เธอกลับมาหาเอมอร แต่ก็เหมือนมาหาพี่ด้วย เธอไม่รู้ใช่มั้ยว่าพี่ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน ฉันพูดพร่ำกับบัวคลี่ไปหลายคำ เธอไม่มีวันตอบคำถามของฉัน เพราะเธอไม่เคยรู้ว่าฉันตายไปแล้วเช่นกัน" อรวรรณเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปตบเบาๆ ที่มือของอมรศรี อมรศรีหันมามองอรวรรณอีกครั้ง" บัวคลี่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงเจดีย์ 7 ชั้น สักพักมองไปที่ๆลูกปัดถูกฝังอยู่ แล้วพูดว่า "พี่อร...หนูจากพี่ไปนานหลายปี แต่หนูไม่เคยลืมพี่อรเลย หนูลำบากเหลือเกิน...แต่หนูก็สู้กัดฟันทนสู้ชีวิตมา ตลอด...หนูไม่ได้เรียนต่อ จบแค่ป.4 และไม้ได้ทำอย่างที่ตัวเองใฝ่ฝันหรอกนะ

ไม่ได้เป็นโนราห์ที่ใฝ่ฝัน หนูต้องไปเป็นแม่ค้า ทำงานหนักเพื่อช่วยพ่อแม่ หนูเฝ้าเก็บเงินเพื่ออยากกลับมาที่บ่อยางนี่อีก ครั้ง มาไหว้และทำบุญให้พี่อรสักครั้ง แต่ฉันมานี่ก็ไม่ได้ไปพบใครเลย รีบมาก็ต้องรีบกลับ ไม่มีเวลาไปแวะที่ไหน อยากไปกราบพี่อมรศรีเช่นกัน คิดถึงพี่อมรศรีมาก แต่คงขอเป็นครั้งต่อไป ฉันต้องรีบกลับก่อนเพราะรถโดยสารจะหมดเสียก่อนกลับพัทลุง" ฉันได้ยินบัวคลี่ พูดเช่นนั้น ฉันก็ร้องไห้อีกครั้ง น้องเอ้ย...ลำบากลำบนเพียงไหนก็ยังคิดถึงพี่ ยังอุตส่าห์มาหา นี่เธอไม่รู้เลยว่าพี่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าของเธอนี่แล้ว ฉันกอดบัวคลี่อีก ครั้ง ก่อนที่เธอจะค่อยๆเดินออกจากวัด

ก่อนกลับ...เธอหันมามองที่เจดีย์อีกครั้ง "พี่อร...ถ้าฉันไม่ตาย ฉันจะต้องกลับมาหาพี่อีกนะ " เธอพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มแล้วเดินออกจากวัดไปขึ้นรถโดยสารกลับ พัทลุง ฉันยืนส่งบัวคลี่ที่หน้าวัดจนเธอขึ้นรถหายลับไปกับถนน " โชคดีนะน้อง ขอให้น้องมีชีวิตที่รอดพ้นจากความลำบากเสียทีนะ " นั่นคือ ปีพ.ศ 2488 ที่บัวคลี่ได้หวนกลับมาที่วัดกลางอีกครั้งหนึ่ง อายุบัวคลี่ขณะนั้นคงราวๆ 28 ปีแล้ว...แต่หลังจากปีนั้น ฉันก็ไม่ได้พบกับบัวคลี่อีกเลย เธอไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลยแม้ครั้งเดียว " อมรศรีก้มหน้าอย่างช้าๆ...

" เธอคงตายไปแล้วหลังจากนั้นนะ น่าสงสารเธอมาก " อรวรรณพูดเบาๆ อมรศรีเงยหน้าขึ้นมองอรวรรณ เธอค่อยๆยิ้มตาคมวาว เอิ้อมมือไปจับหัวไหล่ของอรวรรณแล้วบีบแน่น
" บัวคลี่ยังไม่ตายนะเอมอร บัวคลี่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ "
"...หา..!!!!!!...เธอพูดอะไร?...เป็นไปได้เหรอ?..." อรวรรณพูดเสียงดังด้วยความพิสวงที่สุด

" บัวคลี่ยังมีชีวิตอยู่เหรอเนี่ย???" อรวรรณถามย้ำอีกครั้ง.....

" ใช่...บัวคลี่ยังมีชีวิตอยุ่จ่ะเอมอร..."

..........(จบตอน 5)..............
ป.ล. ลองคิดดูครับ...ถ้าบัวคลี่ยังมีชีวิตอยู่...อายุของบัวคลี่น่าจะสักกี่ปีครับ?
(เธออ่อนกว่าเอมอรและอมรศรี 2 ปีครับ)






ขอบคุณที่มา :::: facebook ::  ข้ามภพ ข้ามชาติ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์