ข้อคิดจากงานศพ...

...วันหนึ่งได้มีโอกาสไปงานสวดศพของคนรู้จัก 2 คน ซึ่งดูจะบังเอิญเหลือเกินที่ถูกจัดขึ้น ณ. วัดแห่งเดียวกัน


คนทั้ง 2 มีฐานะทางสังคมที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งสังเกตได้จากจำนวนคนในงาน ฐานะของแขกที่มาร่วมงาน จำนวนพวงหรีด และอาหารที่เลี้ยงแขก แต่สิ่งที่สังเกตได้ว่าไม่ต่างกันเลย คือ หีบศพลายทองที่ตั้งเด่นอยู่บนศาลาที่ไม่ห่างกันนัก เคียงข้างด้วยรูปของผู้ที่จากไป ภาพถ่ายของเขาทั้ง 2 แม้จะมีรอยยิ้มสดชื่น แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าที่ไม่เคยเลือนหายไปจากดวงตา
 
ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต ความเศร้าอันเนื่องมาจากการกระทำบางอย่างที่ไม่ควรทำแต่เขาได้ทำลงไป หรืออาจจะจากการที่ละเลยไม่ได้ทำบางสิ่งที่น่าจะกระทำ ทำให้พอจะทราบว่าเมื่อคนทั้ง 2 ยังมีลมหายใจ ชีวิตทั้ง 2 จะต้องผ่านช่วงเวลาของการต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้ได้มาซึ่งความผาสุข อำนาจ ความรุ่งเรือง และเกียรติยศ อันเป็นความหวังของชีวิต อาจจะด้วยโอกาส เส้นสายในวงสังคม การศึกษา และการปฎิบัติตน ที่ทำให้คนทั้ง 2 มีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่คงยากที่จะสรุปว่าใครมีความสุขใจมากกว่ากัน หากดูเผินๆ แล้วดูเหมือนโลกจะไร้ความยุติธรรม

สำหรับชีวิตของเขาทั้ง 2 แต่แน่ใจว่า
 
ความตาย คือ ความยุติธรรมอันสูงสุดบนพื้นพิภพที่ทุกคนต้องยอมรับ ทุกคนมีจุดหมายปลายทางเพียงจุดเดียว ในจุดสุดท้าย แม้ว่าเราจะมีอายุ รูปร่างหน้าตา สถานภาพ อำนาจ ที่แตกต่างกันก็ตาม แต่ว่าจุดสุดท้ายของทุกคน จะไม่แตกต่างกันเลย นี่เป็นการเตือนให้เราสำนึก และหยุดพฤติกรรมที่หยิ่งผยองเสีย เพราะ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะนำไปด้วยได้ เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง และเมื่อพิธีการเผาศพเสร็จสิ้นลง กระดูกที่เหลือ เมื่อนำมาเรียงแล้ว จะมีขนาดเท่าๆ กับเด็กทารกแรกเกิด เราจึงสามารถพูดได้ว่า ณ จุดจบของคน จะมีขนาดเท่ากับจุดเริ่มต้นของคน ไม่ว่าคุณจะเคยยิ่งใหญ่ปานจักรพรรดิก็ตาม แต่จุดสุดท้ายของคุณ ก็คือกลับไปสู่ขนาดเดิมของทารก และมีขนาดไม่ต่างกันเลยไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก นั่นคือในจุดสุดท้ายคนทุกคนจะมีขนาดเท่าจุดเริ่มและเท่าเทียมกันทุกคน

หากการนอนหลับก็คือ

แบบจำลองการตาย ดังนั้นเราสามารถบอกได้ว่า เราได้สัมผัสกับความตายอยู่แล้วทุกๆ คืนและทุกๆ คน และหากเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะตอนต้นปีใหม่ ทว่าทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เรามีโอกาสเริ่มต้นใหม่และแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้องได้ แต่คนเรามักจะไม่รู้จักคุณค่าของการกระทำความดี และการละเว้นการทำชั่ว จนวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง วันนั้นแหละที่เราจะรู้ว่าเราไม่น่าจะทำอะไรและอะไรที่ควรกระทำ แล้วทำไมเราต้องรอจนกระทั่งวันสุดท้ายมาถึงก่อน จึงจะคิดออกว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไร? หากคนเราทุกคนต่างทำตัวไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท แล้วจุดจบที่แท้จริงซึ่งคือเถ้าธุลีจากเศษกระดูกที่คนเบื้องหลังจะได้เก็บรักษาไว้ด้วยความผูกพันและอาลัยรัก ขอให้พวกเรา จงใช้ชีวิตวันนี้ให้เหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพื่อที่เราจะได้เดินถึงจุดสุดท้ายของชีวิตอย่างมีคุณค่าแก่คนรอบข้างและสังคม เพราะสันติสุขของชีวิตอันเกิดจากการเป็นผู้ให้และความรู้จักพอคือสิ่งที่ทุกชีวิตควรจะมุ่งปฏิบัติ ขอบคุณที่มา:ธรรมะดอทคอม

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์