ข้อไหล่สำคัญแค่ไหน ?

ข้อไหล่สำคัญแค่ไหน ?



ข้อไหล่  (Shoulder joint) เป็นส่วนสำคัญสำหรับการเคลื่อนไหวของแขนและมือ  หากมีสิ่งผิดปกติไม่ว่าจะเป็นการบวม  เจ็บ  หรือการอักเสบของข้อไหล่จะทำให้การใช้งานของแขนด้านนั้นไม่เหมือนเดิม


ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับข้อไหล่  คำตอบก็คือสามารถเป็นได้ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนักกีฬา  การบาดเจ็บของข้อไหล่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะทำให้เป็นการบาด เจ็บเรื้อรังของข้อไหล่  ในคนวัยทำงานหรือสูงอายุจะมีภาวการณ์อักเสบข้อไหล่  ทำให้การใช้งานในชีวิตประจำวัน  ไม่ว่าจะเป็นการเอื้อมแขนหรือสิ่งของ,  การหวีผม  หรือแม้กระทั่งการแต่งตัวจะทำได้ลำบาก  ดังนั้นหากท่านมีอาการดังกล่าว  จึงมีโอกาสที่จะเป็นโรคข้อไหล่ดังต่อไปนี้

โรคเยื่อหุ้มข้อไหล่อักเสบและเอ็นอักเสบ  ซึ่งเป็นภาวการณ์ปวดข้อไหล่ที่มักจะพบในคนสูงอายุ

โดยมีอาการปวดเป็นสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่  เมื่อคนไข้พยายามยกข้อไหล่จะมีอาการปวด  เมื่อตั้งประมาณ  90 – 120  องศา  ทางด้านหน้าหรือการหมุนข้อไหล่เมื่อใช้มือเอื้อมไปด้านหลัง  เช่น  การใส่ชุดชั้นในในผู้หญิง  โดยที่อาการปวดจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งคนไข้ไม่สามารถใช้ไหล่ด้านนั้นในชีวิตประจำวันได้  (Day to day actuation)

ทำไมจึงมีอาการปวดไหล่ในโรคเหล่านี้  คำตอบก็คือ

ข้อไหล่ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ  เช่น  เยื่อหุ้มข้อไหล่  (shoulder capsule), เส้นเอ็นข้อไหล่  (rotator cuff  tendon)  และถุงน้ำที่อยู่ระหว่างกระดูกและเส้นเอ็น  (bursa and acromion)  เมื่อมีการใช้งานและประกอบกับอายุที่มากขึ้น  จะมีการอักเสบและเสื่อมสภาพขององค์ประกอบเหล่านี้  ซึ่งอาจจะมีหินปูนมาสะสมบริเวณนี้  (calcium deposit) ซึ่งสามารถพบได้ใน  X-ray

ดังนั้น  การวินิจฉัยโรคของการปวดข้อไหล่  นอกจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายแล้วแพทย์อาจจะส่ง  X-ray  เพื่อดูว่ามีหินปูนมาสะสมในเส้นเอ็นข้อไหล่หรือไม่,  หรือการส่ง  MRI  เพื่อดูการขาดของเส้นเอ็น  (rotator cuff  tear)

การรักษา จะเริ่มด้วยคำแนะนำต่าง ๆ เช่น  การระมัดระวังงานบางอย่างที่ก่อให้เกิดอาการปวดไหล่

โดยให้หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวข้อไหล่ที่จะทำให้อาการปวดมากขึ้น  แต่ไม่ใช่ให้หยุดการเคลื่อนไหวของข้อไหล่  เนื่องจากจะทำให้ข้อไหล่ติดแข็งได้  ดังนั้น  คนไข้สามารถเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้ในระดับหนึ่งตามแพทย์บอกจะสามารถลดการ อักเสบและการติดแข็งข้อไหล่ได้  (frozen shoulder)

ข้อไหล่สำคัญแค่ไหน ?


การรับประทานยาแก้อักเสบเส้นเอ็น  (NSAID)  มีประโยชน์เพื่อลดการอักเสบของข้อไหล่

และจะทำให้การเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้สะดวกขึ้น  ซึ่งอาการปวดข้อไหล่ควรจะดีขึ้นภายใน  1 – 2  สัปดาห์หลังรับประทานยาแล้ว  แต่หากอาการไม่ดีขึ้นแพทย์จะพิจารณาการฉีดยาบริเวณที่ปวด  (steroid invention)  เพื่อลดการอักเสบ  จะสามารถช่วยได้ในระยะหนึ่งประมาณ  3 – 6  เดือน

ในปัจจุบันการรักษาโรคข้อไหล่ได้ก้าวหน้าขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กล้องส่องเพื่อการผ่าตัด  (arthroscopic procedure)

ยังเป็นท่อและเส้นต่อกับวงจรทีวี  (small TV camera)  ซึ่งสอดเข้าไปในข้อไหล่โดยผ่านแผลเล็ก ๆ (< 1 cm.)  และจะมองเห็นองค์ประกอบต่าง ๆ ในข้อไหล่ได้ทุกอย่าง  โดยแพทย์จะสอดเครื่องมือผ่าตัดเล็ก ๆ ผ่านทางท่อเล็ก ๆ เหล่านี้เพื่อการผ่าตัด  ไม่ว่าจะเป็นการดูดเอาหินปูนในเส้นเอ็นที่อักเสบออก,  การตัดถุงน้ำที่อักเสบ  (bursitis)  และการทำเป็นช่องเพื่อขยายขนาดสำหรับการเคลื่อนไหวของเส้นเอ็นที่อักเสบ  (acromioplasty) รวมถึงการเย็บซ่อมเอ็นที่ฉีกขาด  (arthroscopic rotator cuff repair)

การผ่าตัดผ่านกล้องเหล่านี้มีประโยชน์เพื่อคนไข้ใช้เวลาฟื้นฟูหลังผ่าตัดได้ สั้นลง  มีอาการปวดหลังผ่าตัดน้อยลง  และระยะเวลาการอยู่โรงพยาบาลสั้นลง  นั้นคือสามารถกลับไปทำงานและใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น

การดูแลหลังผ่าตัด  (after surgery)

การทำกายภาพบำบัด  (rehabilitation)  หลังจากการผ่าตัดใหม่จะใช้เวลาประมาณ  6 – 8  สัปดาห์  ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มการเคลื่อนไหวและกำลังของกล้ามเนื้อบริเวณข้อไหล่อย่างช้า ๆ เพื่อรอให้การหายของเส้นเอ็นที่ใช้เสลาประมาณ  6 – 8  สัปดาห์  เช่นเดียวกัน  คนไข้จะใส่ที่คล้องแขน  (sling)  ประมาณ  2 – 3  วัน  เพื่อลดอาการปวดและบวมหลังผ่าตัด  จากนั้นคนไข้จะเริ่มทำการเคลื่อนไหวและการบริหาร  (range of motion reduction)  รวมถึงการเหยียดและยืด,  การเพิ่มแรงของกล้ามเนื้อ  (stretching and strengthening excision)  และก่อนจะจบการรักษาแพทย์จะอธิบายถึงวิธีการเพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบที่อาจ จะเกิดขึ้นในอนาคต


ที่มา : โรงพยาบาลเวชธาณี http://www.vejthani.com

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์