“ข้ามภพ ข้ามชาติ” ตอนที่ 9 ตามหาสิ่งที่อยากรู้จนได้เจอกับบางอย่าง!!!





ข้ามภพ ข้ามชาติ ตอน 9

หลังจากที่อรวรรณเดินกลับออกไปจากห้องพักครูหมวดศิลปะไปแล้ว ผมกับครูจารุนันท์ปรึกษากันว่าเราน่าจะบอกน้องๆในหมวด เพื่อจะได้ช่วยกันตามคุณยายบัวคลี่กันอีกแรง ผมจึงตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ครูในหมวดเราทราบ

เย็นวันนั้นผมและครุจารุนันท์จึงชวนครูวัยรุ่นในหมวดนั่งจับเข่ากันหลายเข่าคุยกันถึงเรื่องนี้ให้รับทราบพร้อมๆกัน ทั้งครูอ้อ ครูอ๊าฟ ครูเบียร์

มีเพียงอาครุพรเพ็ญที่อาวุโสที่สุดในหมวดเท่านั้นที่ท่านไม่อยู่ ท่านกลับบ้านไปก่อน แต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่ท่านไม่อยู่เพราะครุพรเพ็ญเชื่อเรื่องแบบนี้สุดตัวและท่านก็เป็นคนกลัวผีที่สุดในชีวิต
ทุกคนต่างอึ้งไม่แพ้ผมที่ได้ฟังเรื่องของอรวรรณในครั้งแรก แต่พอตั้งสติกันได้เราต่างก็ตั้งแนวทางในการค้นหาคุณยายบัวคลี่กันจากหลายๆวิธีในเบื้องต้นก่อน

ที่สำคัญเราต่างก็ถกประเด็นที่น่าสงสัยกันว่าทำไมถึงต้องมีผมเข้าไปเกี่ยวพันในเรื่องนี้...
ครุก้องเคยทำบุญร่วมกันกับอรวรรณในชาติก่อนรึเปล่า?
ครูเบียร์สอนวาดเขียนตั้งข้อสงสัย...แต่ตอบไม่ได้ว่าจริงรึไม่?
ครุอ้อ ครูสอนดนตรีไทยเดาว่า ผมอาจมีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างที่เกี่ยวโยงกับอรวรรณในชาติก่อนก็เป็นได้...อาจเป็นใครสักคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้น ตอนที่พวกเค้ายังมีชีวิตอยู่ มันผูกพันกัน จึงตามกันมาในชาตินี้" ครูอ้อพูดได้น่าฟังที่สุด

ครูอ๊าฟเสริมครูอ้อว่า....

"ครุอาจเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งในกลุ่มแล้วมาเกิดเป็นผู้ชายในชาตินี้...หรืออาจเป็นพ่อของอรวรรณในชาติก่อนที่อยากกลับมาช่วยลูกสาวในชาตินี้ก็ได้นะครับ
อย่าลืมนะ ลูกสาวตายเมื่อชาติก่อน พ่อเสียใจมากๆ ชาตินี้พ่อมาเกิดก่อนเพื่อรอคอยลูกที่ตามมาเกิดทีหลังเพื่อได้ทำตามสัญญา"

ผมกับครูจารุนันท์หันมองหน้ากันอีกครั้ง
"นั่นสิ...ใช่แน่ๆเลย เพื่อนที่ชื่ออมรศรีถึงยืนชี้ป้ายเวชรังษีให้อรวรรณดู เหมือนกับจะบอกว่าคนๆนี้ล่ะที่จะพาเธอไปพบกับคุณยายบัวคลี่" ครูอ้อเสริมให้น่าเชื่อยิ่งขึ้นไปอีก

ผมบอกทุกคนว่า....
"สำหรับพี่แล้ว สิ่งที่น้องๆและหัวหน้าหมวดตั้งข้อสันนิษฐานมานั้นล้วนแล้วแต่น่าเชื่อทั้งสิ้น แต่มันพิสูจน์ไม่ได้ เราไม่ควรเอาความเชื่อมาใช้เป็นประเด็นหลักในการดำเนินชีวิตแต่ให้เอาความเชื่ออันมีเหตุผลที่ตอบคำถามได้มาใช้ในการทำงานแทน"
ผมต้องให้สติทุกคนอย่างไม่งมงาย แล้วพูดต่อว่า "ถ้าเรื่องนี้มีส่วนน่าเชื่ออยู่บ้าง ประเด็นเดียวเท่านั้นที่คิดได้ก็คือ ผมเป็นคนเดียวในชีวิตของอรวรรณที่เธอรู้จัก และสนิทด้วย...และเป็นคนพัทลุงเพียงคนเดียวที่จะช่วยเธอได้ นี่คือเหตุผลที่จริงที่สุด"

ดูเหมือนความสงสัยต่างๆและความเชื่อของทุกคนค่อยลดลงไปได้บ้าง
หลังจากที่เราเลิกถกกัน ผมเดินไปคุยเบาๆกับอาจารย์จารุนันท์ว่า
" เรื่องที่ครูอ้อพูด ผมแอบขนลุกตลอดเลยพี่.."
"เฮ้ยยยยก้อง พี่นึกว่าพี่เป็นคนเดียวซะอีก!!!!!!!!!! ครุจารุนันท์ก็บอกเช่นกัน

การตามหาบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยรู้เพียงชื่อแต่ไม่รู้นามสกุล ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร ยิ่งต้องตามหาในเวลาจำกัดที่คุณยายบัวคลี่อายุมากแล้ว ยิ่งยากขึ้นเป็น 2 เท่า

ในขณะเดียวกัน ผมก็เชิญครอบครัวของอรวรรณมาพบอีกครั้งเพื่อเล่าเรื่องราวให้ละเอียดที่สุด ผมและทุกคนจะได้เข้าใจและสอบถามข้อสงสัยให้กระจ่าง พวกเราตกลงกันว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
พ่อ..แม่..และอรวรรณมาพบผมและครูในหมวดศิลปะอีกครั้งเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เราสอบถามข้อมูลหรือข้อสงสัยที่มีจนหมด แต่ที่เราทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นมากๆก็คืออรวรรณกับครอบครัวได้นำสร้อยข้อมือที่ทำมาจากลูกปัดเครื่องประดับของโนราห์และแหวนนะโมวงหนึ่งมาให้พวกเราได้ดูด้วย

สร้อยลูกปัดที่เก่าและสีซีดไปมากมีสีดำแทนสีเดิมในบางเม็ดกับแหวนนะโมที่หัวแหวนเป็นรูปตัวอักษรโบราณที่เป็นรุ่นเก่า หากดูสะอาดและสภาพดีกว่าสร้อยลูกปัดข้อมือมากนัก
ของทั้ง 2 สิ่งอยู่ในห่อผ้าเก่าๆที่เปื่อยเกือบหมดแล้ว แม่อรวรรณได้ใส่ห่อผ้านี้ไว้ในกล่องไม้เล็กๆให้ดูดีขึ้น "อาจารย์คะ...สร้อยข้อมือมี 2 เส้นนะคะ เส้นแรกอยู่ที่คุณยายบัวคลี่ อีกเส้นหนึ่งก็คือเส้นนี้ของเอมอรค่ะ"

อรวรรณเน้นเพื่อความเข้าใจ
พวกเราพิจารณาดูของทั้ง 2 สิ่งด้วยใจระทึก ผมรู้สึกอย่างไรก็บอกไม่ถูก หากใจเต้นรัว เร็วราวกับพระที่ต่างจังหวัดกำลังรัวกลองบอกเวลาเพลแล้ว ก่อนกลับ พ่อและแม่อรวรรณขอฝากของทั้ง 2 อย่างไว้ให้ผมเผื่อใช้ในยามจำเป็น หรือต้องใช้ในการตามหาและเป็นหลักฐานแก่ญาติๆของคุณยายบัวคลี่เมื่อตามเจอตัว

ทีแรกก็กล้าๆกลัวๆ แต่พอคิดอีกครั้ง มันก็ไม่น่ากลัวนักหรอก เพราะอรวรรณนั่นล่ะที่เป็นคนเห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ใช่เราเห็น ผมจึงหยิบกล่องไม้ใส่สร้อยกับแหวนยกขึ้นไหว้ อธิษฐานขอให้ตามคุณยายบัวคลี่ให้พบด้วยเถิด ครูจารุนันท์ก็ทำเช่นกัน แล้วนำกล่องไปวางไว้ใต้หิ้งบูชาเศียรพ่อแก่ที่เรากราบไหว้กันเป็นนิจ

 


“ข้ามภพ ข้ามชาติ”  ตอนที่ 9 ตามหาสิ่งที่อยากรู้จนได้เจอกับบางอย่าง!!!


การค้นหาคุณยายบัวคลี่เริ่มต้นกันอย่างรีบเร่ง ทุกวันหลังเลิกเรียนเราจะนั่งค้นข้อมูลกันอย่างเต็มที่...ค้นเข้าไปในกูเกิ้ล คำว่าบัวคลี่ปรากฎขึ้นทันที หากพบว่าเป็นบัวคลี่ในเรื่องขุนช้างขุนแผน มีรูปประกอบพร้อมเสร็จสรรพมากมายทีเดียว...

"ครุก้องต้องไปตามหาขุนแผนก่อนนะครับจึงจะได้พบกับบัวคลี่" ครูอ๊าฟค้นหาไปหัวเราะไป ครูเบียร์กับครูอ้อพยายามหาแหล่งอื่นๆ เช่นจากรายชื่อสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง ข้อมูลจากโทรศัพท์เอกชน ค้นไปอีกหน่อยพบว่าชื่อบัวคลี่เป็นร้านหมูกระทะ อีกเวบไซต์บอกว่าบัวคลี่มีความหมายถึงดอกบัวที่คลี่กลีบ คลายกลีบ กลายเป็นเรียนวิชาภาษาไทยไปเสียกระนั้น หากันเพียงใดก็ไม่พบบัวคลี่ในจังหวัดพัทลุงเลยแม้คนเดียว พบชื่อนี้ที่จังหวัดพะเยาแต่อายุยังน้อย
แต่มีคนที่นามสกุลบัวคลี่มากมายหลายคนนี่ก็ดูจะไม่ใช่อยู่ดี เพราะเป็นนามสกุล มิใช่ชื่อ

ขณะกำลังสืบค้นกัน ครูพรเพ็ญเดินเข้ามาในห้องพักครูเอ่ยบอกว่างานพิธีไหว้ครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาปีนี้ ก้องจะพาเด็กนักเรียนไปเข้าพิธีครอบครูกันมั้ย? เพราะก้องเป็นศิษย์เก่าและเคยเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น ผมกับครูจารุนันท์สบตากันแล้วมองไปที่ครูพรเพ็ญ บอกว่าพี่ช่างมาในเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะอรวรรณไม่ได้เข้าร่วมพิธีเมื่อปีก่อนเพียงคนเดียวเนื่องจากป่วยเป็นอีสุกอีใส และดีที่สุดที่อรวรรณจะได้เข้าพิธีครอบครู

วันนั้นเรานั่งค้นหาข้อมูลของคุณยายบัวคลี่กันจนเลยเวลา6โมงเย็น....ซึ่งใกลค่ำแล้ว ขณะทำงานกัน ครูอ้อมีอาการแปลกๆ เงยหน้าออกไปนอกประตูห้องซึ่งเป็นกระจก เห็นผู้หญิงสวมผ้าถุงเดินผ่านหน้าห้องไปแว็บหนึ่ง ครูอ้อวางมือจากแป้นพิมพ์ ลุกขึ้นยืนมองไปยังประตูกระจกใสบานนั้น จ้องตาไม่กระพริบ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ทุกอย่างเงียบ ครูอ้อจึงนั่งลงพิมพ์ค้นหาข้อมูลคุณยายบัวคลี่ต่อไปโดยไม่พูดอะไร

อีกครู่หนึ่ง ครูเบียร์ก้มๆเงยๆ ลุกขึ้นมองไปที่ประตูกระจกใสบานนั้นเหมือนครูอ้อเห็นใครมาเดินผ่านหน้าห้องเราแว๊บๆเช่นกัน ครูเบียร์รีบลุกขึ้นจ้องไปที่ประตูทันที

"..เห็นผู้หญิงใส่ผ้าถุงรึเปล่า?..." ครูอ้อถามครูเบียร์

"ใช่ครับพี่อ้อ..ผู้หญิงใส่ผ้าถุง" ครูเบียร์หน้าแหย

แต่ครูอ้อหน้าแหยเป็น 2 เท่า ครูจารุนันทร์และครูอ๊าฟก็มีสีหน้าตื่นตระหนก ส่วนผมอึ้ง ใจหายวูบบบพูดอะไรไม่ออก อาจารย์จารุนันท์รีบลุกขึ้นไปอุ้มพระพุทธรูปที่วางบนหิ้งมาไว้ในมือ พวกเราค่อยๆเดินย่องออกไปที่ประตูหน้าห้องพักครู ครูจารุนันท์นำหน้าผมกับครูน้องๆเกาะแขนกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่กล้าแม้จะก้าวขาออกนอกวงกลมเกินรัศมีหนึ่งไม้บรรทัด

มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง แต่ถ้าคุณเคยกลัวผีจนขนหัวลุกแล้วล่ะก็ อารมณ์ประมาณนั้นครับ ผมรู้เพียงว่ามือผมจับและดึงเสื้อครุจารุนันท์เสียแทบขาด
ส่วนครูอ๊าฟที่อยู่หลังผมจับแขนผมแน่น เล็บจิกแขนผมจนห้อเลือด!!!!!!!!
ครูเบียร์กับครูอ้อขอเป็นปราการด่านสุดท้าย คืออยู่หลังสุด

ถึงหน้าประตู แสงตะวันพลบค่ำส่องผ่านกระจกเข้ามาในห้องพักครูที่เรากำลังทำงานกันอยู่ ข้างนอกเริ่มมืด...ฟ้าเริ่มสลัว...เห็นภายนอกเพียงลางๆ
ถึงหน้าประตู...ไม่มีใครกล้ายื่นมือไปบิดลูกบิดเพื่อเปิดออกไป

"ครูก้องครับ...งานนี้ครูก้องเป็นเจ้าภาพ...ครูก้องรับงานมา...ขอความกรุณาช่วยรับผิดชอบต่อเถอะครับ" ครูเบียร์พูดแทงใจดำผมแปลบเข้าอย่างจัง!!!!!!!

สถานการณ์ย่อมสร้างวีระบุรุษ...ผมจำเป็นต้องทำอย่างนั้นครับ ค่อยๆเอื้อมมือไปแตะลูกบิด น้องๆคงสังเกตเห็นมือผมที่สั่นราวเปลื้องผ้าอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขั้วโลกเหนือ

"นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ..." ครูจารุนันท์สวดมนต์เบาๆ เบากว่าที่ผมเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน ต้องบอกว่ากระซิบมนต์จึงจะถูกเสียมากกว่า พอเสียงลูกบิดดังคลิก

 !....แล้วตามด้วยเสียงค่อยๆเปิดประตูดังแอ๊ดดดดด" ความเงียบยิ่งแพร่กระจาย ผมดันครุจารุนันท์ไปข้างหน้า...ครูอ้อหรี่ตา...ครูอ๊าฟรัดผมแน่น ส่วนครูเบียร์จ้องที่หน้าห้องตาเขม็ง
ผู้หญิงคนนึงสวมผ้าถุง...ในมือถือไม้ม๊อบ...
เธอค่อยๆโน้มตัวขึ้นลง...ค่อยๆถูพื้นไปมาอย่างช้าๆที่ระเบียงหน้าห้อง.....!!!!!
เมื่อเสียงประตูเปิดออกดังแอ๊ดดดดด......
เธอค่อยๆหันมาหาพวกเรา....!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

"อาจารย์ยังไม่กลับกันเหรอคะ? " เสียงยานและเย็นจับใจ ป้ามาลี แม่บ้านทำความสะอาดประจำชั้น 9 ที่เราอยู่กันนี่เอง เธอกำลังถูพื้นระเบียงอยู่!!! โอ้ววให้ตายเถอะพระพุทธเจ้าาาา!!!!!! เสียงตะโกนต่อว่าป้ามาลีลั่นห้องพร้อมๆกับเสียงถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ๆพร้อมกัน ผมเข่าอ่อน ครูเบียร์หัวเราะลั่น ครุจารุนันท์แทบทิ้งพระพุทธรูปในมือ ครูอ้อส่ายหน้า ส่วนครูอ๊าฟลงไปนั่งพิงประตู ถอนหายใจยาว
เราต่างก็นึกว่าจะได้เจอกับอมรศรีเพื่อนรักของอรวรรณในชาติที่แล้วเสียแล้วสินั่น
ป้ามาลีนะป้ามาลี....มาทำงานแล้วเล่นไม่เปิดไฟ ทำเอาหัวใจแทบวาย
"ป้าทำแป๊บเดียวก็เสร็จคะ เดี๋ยวจะกลับแล้ว ก็เลยไม่อยากเปิดไฟ มันเปลืองค่ะ"
คุณป้าช่วยโรงเรียนประหยัดไฟดีแท้ๆ เราทั้งหมดรีบกลับเข้าห้องพักครู...ปิดเครื่องคอมฯ เก็บของทุกอย่าง ปิดไฟรีบพากันเดินออกจากห้องพักครูอย่างรวดเร็วก่อนออกจากห้องต่างก็หันไปไหว้เศียรพ่อแก่ และแน่นอน ใต้หิ้งพ่อแก่ มีกล่องไม้ที่เก็บสร้อยข้อมือของเอมอรและอมรศรีไว้ด้วยกัน วางไว้ตรงนั้นล่ะ อย่าเอากลับบ้านเชียวนะ
ระหว่างกดลิฟท์ ทุกคนเงียบสงบ ท้องฟ้าใกล้มืดเต็มที ลิฟท์วันนี้ทำไมถึงขึ้นมาช้าเหลือเกิน มองไปสุดระเบียง ป้ามาลีถูพื้นใกล้เสร็จแล้ว แกหันมามองเราอีกครั้งก่อนลิฟท์เปิด พวกเรารีบก้าวเท้าเข้าลิฟท์ปานฟ้าแลบ

"เฮ่อ...นี่ถ้านักเรียนมาเห็นพวกเราเป็นแบบนี้ จะอายกันไปถึงไหนเนี่ย?" ครุจารุนันท์เอ่ย
"ก็จนกว่าไอ้เจ้าเด็กม.1มันจะจบม.6 นั่นล่ะครับ" ครูเบียร์เสริมหัวเราะกันคิกคัก
ส่วนผมได้แต่ยืนเงียบ

"ดีนะที่ครุพรเพ็ญกลับบ้านตั้งแต่โรงเรียนเลิก นี่ถ้าครูพรเพ็ญอยู่ด้วย หนูว่าต้องเรียกรถพยาบาลมาแน่ๆเลย" ครูอ้อพูดติดขำ แล้วทุกคนก็หัวเราะกลบเกลื่อนความกลัวกันลั่นลิฟท์ ออกมาแยกย้ายกันกลับบ้านโดยฉับพลัน

รุ่งเช้า ป้ามาลีมาเก็บขยะในห้องพักครูหลังเด็กนักเรียนเข้าแถว...พวกเรากำลังเตรียมตัวเข้าสอน ป้ามาลีถามขึ้นว่า

" ครุจารุนันท์คะ...เมื่อวานตอนที่พวกคุณครูเข้าลิฟท์กำลังจะกลับบ้านกัน ลูกสาวของครูรึเปล่าคะ ที่เดินตามเข้าลิฟท์ไปเป็นคนสุดท้าย ป้าเห็นแกใส่ผ้าถุงอ่ะคะแปลกดีที่อาจารย์สอนลูกให้นุ่งผ้าถุง ป้าชอบค่ะ...น่ารักดี????????????

พวกเราทุกคนหันหน้ามามองป้ามาลีเป็นจุดเดียว...คือจุดศูนย์รวมความช็อค!!!!!!!
มีเพียงครูพรเพ็ญเท่านั้นที่ทำหน้างงๆ แล้วพูดว่า

"อ้าว...เมื่อวานน้องติ๊กพาลูกมาโรงเรียนในตอนเย็นเหรอ?

......................จบตอน 9 ................


“ข้ามภพ ข้ามชาติ”  ตอนที่ 9 ตามหาสิ่งที่อยากรู้จนได้เจอกับบางอย่าง!!!

ขอบคุณที่มา :::: facebook ::  ข้ามภพ ข้ามชาติ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์