ความฉลาดเพิ่มพูนได้

ความฉลาดเพิ่มพูนได้


 ในสมัยก่อนเราเชื่อว่า ความฉลาดของคนที่วัดกันเป็นคะแนนไอคิวนั้น มันเพิ่มกันไม่ได้ แต่สมัยนี้มีข้อมูลใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ความฉลาดสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้

     การศึกษาเรื่องสมองและการทำงานของมันได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์อย่างมากตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะสมองเป็นอวัยวะสำคัญ ถ้าปราศจากสมองแล้ว ชีวิตมนุษย์ก็หมดความหมาย ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์ชั้นต่ำ แถมยังช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องเป็นภาระกับครอบครัวและญาติพี่น้อง

      ปัจจุบันเป็นที่รู้กันแล้วว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกและการทำกรรมฐานสามารถต้านความเสื่อมของสมองได้ โดยมีการวัดผลในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมมาแล้ว และสำหรับการทำงานของสมองที่เป็นนามธรรม ซึ่งต้องวัดกันแบบการวัดไอคิว คือวัดความจำ ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ความรู้เรื่องภาษา ตรรกะ ความรู้ที่เป็นรูปแบบ (pattern) ความสามารถเชิงวิเคราะห์ ฯลฯ นั้น นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำการทดลองแล้วพบว่า ถ้าได้รับการฝึกอบรม ไอคิวของคนเราก็จะสามารถเพิ่มขึ้นได้ไม่ใช่แค่ 2-3 คะแนน แต่เพิ่มขึ้นได้ถึง 21 คะแนนภายใน 4 ปี โดยไอคิวของคนปกติจะไม่เกิน 110 แต่ถ้าเพิ่มไปถึง 130 ก็หมายความว่า คนนั้นมีความฉลาดระดับมีพรสวรรค์ทีเดียว 

      ผลการทดลองครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดว่า สมองของคนเรามีการสร้างเซลล์สมองมากขึ้น (จากสมัยก่อนที่เชื่อว่าสร้างใหม่ไม่ได้) และมีการเชื่อมต่อของเซลล์สมองดีขึ้นได้ ซึ่งปรากฏการณ์ที่เขาเรียกว่าความยืดหยุ่นของเนื้อสมอง (plasticity) นี้สามารถเกิดขึ้นได้จนอายุ 60 ถึง 70 ปี นอกจากนี้เมื่อมีการตรวจสแกนสมองแล้วยังพบว่า เนื้อสมองมีปริมาตรเพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับการเพิ่มของไอคิว และยังพบว่า สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหว (motor) กับสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิดความจำ (cognitive) มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นถ้าบริหารสมองส่วนเคลื่อนไหวบ่อยๆ เช่น เล่นกีฬา ถักนิตติ้ง เล่นดนตรี ฯลฯ ก็จะทำให้ความคิดความจำดีขึ้นด้วย

     จากการศึกษายังพบว่า ความจำระยะสั้นอาจจะเป็นพื้นฐานสำคัญของความฉลาดของคน โดยถ้าฝึกบ่อยๆ (เช่น จำหน้า จำชื่อคน) จะทำให้ความคิดเชื่อมโยงทางเหตุผลและการแก้ปัญหาดีขึ้น ซึ่งการทดลองในเด็กนักเรียนที่มิชิแกนพบว่า การฝึกความจำสามารถทำให้ความฉลาดเพิ่มขึ้น

      เพียงแต่ยังมีความไม่ลงรอยกันหรือมีการโต้เถียงกันในแง่ที่ว่า การฝึกสมองจะทำให้ความรู้ความคิดวิจารณญาณ (cognitive) ดีขึ้นจริงหรือไม่ Eric Kandel แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์เกี่ยวกับความจำกล่าวว่า ถ้าเราฝึกสมองให้จำ เช่น จำบทกวีนิพนธ์ จะสามารถเพิ่มความคิดวิจารณญาณในบางแง่มุมของสมองได้

ซึ่งจากการทดลองด้วยการถ่ายภาพสแกนของสมองขณะทำงาน เขาพบว่า เมื่อมีการฝึกความจำ (memory) กับการคิดให้เหตุผล (cognitive) สมองส่วนเดียวกันจะทำงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าสองอย่างนี้มีความเกื้อหนุนกัน อีกการทดลองหนึ่งที่ทำในผู้ใหญ่ โดยการฝึกให้จำเรื่องซับซ้อน 4 สัปดาห์ เขาพบว่า มันทำให้การอ่านเอาเรื่องของผู้ได้รับการฝึกดีขึ้นด้วย

      ดังนั้นการท่องจำบทอาขยานจึงมีประโยชน์ ทำให้สมองพัฒนา ไม่ควรจะไปห้ามเด็กนักเรียน การสอนว่าห้ามท่องจำ (เรียนด้วยความเข้าใจอย่างเดียว) จึงผิดแน่นอน ดูแต่นักเรียนไทยที่สอบ O-Net, GAT, PAT ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำมาก เนื่องจากเรียนมาแล้วเข้าใจก็ไม่เข้าใจ เลยไม่มีความรู้เพราะจำไม่ได้ จึงไม่รู้จะเอาอะไรไปคิดเชื่อมโยงในการสอบ กลายเป็น “การศึกษาปลูกปั้น เสร็จแล้ว แสนทราม” วันยังค่ำ

     สิ่งที่เพิ่มความฉลาดอีกอย่างหนึ่งคือสมาธิหรือความสนใจ นักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมองได้แสดงให้เห็นมาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ความสนใจในสิ่งที่จะเรียนรู้ ทำให้จำได้ ทำให้ความฉลาดเพิ่มขึ้น เช่น ความสนใจของหนุ่มที่มีต่อสาวทำให้จดจำหน้าและชื่อเสียงเรียงนามได้อย่างรวดเร็วและยาวนาน การเล่นเกมบางอย่างที่ต้องใช้สมองมากก็จะช่วยทำให้ความจำและสมาธิดีขึ้น เพราะทั้งสองอย่างนี้ต้องใช้สลับกันไปมาในการเล่นเกม ด้วยเหตุนี้คนที่ชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นชีวิตจิตใจ (passion) จึงสามารถจดจำทำสิ่งนั้นได้ดี แต่ถ้าไม่มีความสนใจ (ไม่มีฉันทะ) เสียแล้ว เรียนอะไรก็จำไม่ได้

     การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ทำให้สมองหลั่งสาร BDNF (brain-derived neurotrophic factor) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้มีการสร้างเซลล์สมองและมีการเชื่อมโยงของเซลล์มากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ โดยมีการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายทำให้สมองส่วนฮิปโปแคมปัสโตขึ้น ซึ่งสมองส่วนนี้มีหน้าที่คัดกรองความรู้ที่เข้ามา แล้วส่งไปสู่สมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่เก็บความจำ

     การนอนทำให้สมองทำงานดีขึ้น เราทุกคนก็คงมีประสบการณ์ว่า เวลาที่เรานอนไม่พอ สมองจะทำงานไม่ดี ทำให้อารมณ์ไม่ดี การงีบหลับตอนกลางวันจึงมีผลดีต่อการทำงานของสมอง โดยผลการทดลองทำให้พบว่า ไม่ใช่แค่ทำให้สมองกลับคืนมาเหมือนเดิมเท่านั้น แต่ทำให้สมองทำงาน จำ คิดอ่านและคิดสร้างสรรค์ดีขึ้นกว่าเดิม และอาจจะด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้บริษัทใหญ่ๆ อย่างไนกี้และกูเกิลมีห้องให้พนักงานงีบ

     กาแฟทำให้การเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทดีขึ้น การดื่มกาแฟจึงทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ทำให้การเรียนและความจำดีขึ้น แต่ต้องระวังอย่ากินมากเกินไป (ปัจจุบันคนร้อยละ 50 ติดกาแฟ) เพราะอาจจะมีผลเสียด้านอื่น เช่น ความดันโลหิตหรือหัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น

     การเรียนภาษาต่างประเทศช่วยให้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น เพราะการเรียนภาษาต่างประเทศทำให้สมองส่วนหน้า ที่เรียกว่า prefrontal cortexได้รับการกระตุ้น โดยสมองส่วนนี้จะทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ การแก้ปัญหา และมีข้อมูลว่าการฝึกภาษาต่างประเทศทำให้เป็นโรคสมองเสื่อม (dementia) ช้าลง 5 ปี

     จะเห็นว่าการจะทำให้สมองพัฒนานั้นต้องใช้ความพยายาม ต้องลงแรงกระทำติดต่อกันเป็นเวลานาน ขณะที่การกินอาหารเสริม การกินยา หรือการกินวิตามินจะไม่ช่วยให้ความคิดความอ่านหรือวิจารณญาณดีขึ้นแต่อย่างไร รู้อย่างนี้แล้วท่านที่อยากจะบำรุงรักษาสมองให้ดีไปนานๆ ก็ควรจะหมั่นทำสมาธิ ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มกาแฟบ้าง อ่านหนังสือ เล่นเกมยากๆ ฝึกสมาธิ หรือศึกษาภาษาต่างประเทศ ตามแต่ชอบ

แล้วกฎแห่งกรรมดีหรือการทำบุญอย่างว่าข้างต้นจะทำให้สมองของท่านดีทั้งในปัจจุบันและดีไปอีกนานครับ


ขอบคุณ : healthtoday

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์