ชีวิตคนเราเหมือนภาพลวงตาจงหันหลังขึ้นฝั่งโดยไว

ชีวิตคนเราเหมือนภาพลวงตาจงหันหลังขึ้นฝั่งโดยไว


ชีวิตคนเราเหมือนภาพลวงตาจงหันหลังขึ้นฝั่งโดยไว

ชีวิตคนเราสั้นนัก เปรียบได้ดังประกายไฟที่สว่างเพียงวาบเดียว แม้จะมีอายุยืนยาวถึงร้อยปี ก็มีเพียงสามหมื่นหกพันวันเท่านั้น

เมื่อสิ้นลมหายใจลงไปในวันใดวันหนึ่ง จะกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ได้หรือ

ไม่ว่าใครจะมีอายุอยู่ได้มากน้อยเพียงใด หญิงชาย เด็กเล็ก คนชรา เกิดมาก็ตายทั้งนั้น อยู่ร่วมกันก็ต้องตายพรากจากกันและมักจะจากกันเมื่อความสัมพันธ์กำลังหวานชื่นมักจะตายเมื่อกำลังได้รับความสุขจากชีวิตสามีภรรยา ลูกรักหญิงชาย ใครก็มิอาจตายแทน ทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อถึงกาลจากพรากนี้เอง

ความสุขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตสั้นเหมือนความฝันในฤดูใบไม้ผลิ

ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็เบาบาง เหมือนเมฆในฤดูใบไม้ร่วง น่าเสียดายที่คนเราต่างเอาเป็นเอาตายกันในความฝัน ผู้เฒ่าท่านหนึ่งเคยรำพันไว้ว่า

“ผู้เฒ่า ผมขาว วันแปดสิบ

มองอดีต เด็กชาย ตัวฉัน

วิ่งขี่ม้า บัดนี้ ผมขาวพลัน

วารวัน หมดไป เป็นเฒ่าตา

ชีวิตเรา เป็นเช่น ความฝัน

สักวัน ผัวเมีย ห่างหา

ลูกหญิงชาย จากพราก เลิกรา

เงินตรา ไม่ใช่  ของตน

หลับตา ทุกอย่าง ว่างหมด

กำหนด ตายไป แห่งหน

วิญญาณ ลอยล่อง เวียนวน

ต่างคน ขาดใจ ขาดกัน

ไปจาก ไม่อาจ พบหน้า

บุญพา คืนสู่ สรวงสวรรค์

กรรมชั่ว พาลง โลกันตร์

เตือนมั่น เร่งสร้าง บุญบารมี”

จะเห็นได้ว่า คนเราไม่ควรหลงใหลงมงายในชีวิตอันแสนสั้นนี้ต่อไปอีก

เวลาผ่านไปรวดเร็วดังสายน้ำที่ไม่หยุดยั้ง หากมัวชักช้าเสียเวลา ไม่รู้สำนึกตื่น ปีแล้วปีเล่าไม่นานเท่าใดก็ถึงวัยชรา เมื่อสังขารทรุดโทรมแก่เฒ่า หน้ามืดตามัว มือเท้าอ่อนแรงแม้ใจจะเข้มแข็งแต่กายไม่อำนวย เมื่อนั้น หากกลับใจจะมุ่งหมายงานธรรมสร้างมรรคผลก็อาจจะสายเกินไป

แต่ก่อนพระอริยเจ้าตรัสไว้ว่า

มนุษย์และเดรัจฉาน เกิดกายเป็นร่างได้ด้วยพลานุภาพของฟ้าดินเช่นเดียวกัน จะแตกต่างก็อยู่ที่มนุษย์มีคุณธรรม เมื่อมนุษย์แตกต่างจากเดรัจฉาน จึงควรใฝ่หาธรรมที่แตกต่างกัน หากมนุษย์ขาดธรรม มนุษย์จะได้อายต่อเดรัจฉานทั้งปวง
มนุษย์เหนื่อยยากกันชั่วชีวิต แต่มิได้สร้างคุณงามความดีไว้ เน่าเปื่อยตายไปเช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้า หมากชีวิตสั้นเท่าแมลง การเกิดของมนุษย์จะมีประโยชน์อันใด การตายของมนุษย์จะยังความสูญเสียอันใดแก่โลกนี้ แม้จะมีอายุยืนถึงร้อยปี ก็มีความหมายเพียงได้กินข้าวมากกว่าอีกหลายมื้อ สวมเสื้อผ้าต่อไปได้อีกหลายปีเท่านั้น

เมื่อความตายมาถึง วิญญาณก็ล่องลอยไปมือเปล่า

แม้เมื่อมีชีวิตอยู่จะร่ำรวยเพียงใด คฤหาสน์รโหฐานนับพันห้องก็นำไปไม่ได้สักห้องเดียว มีแต่กรรมชั่วที่สร้างไว้ต้องนำไปพบพญายม เราเกิดมาแล้วตายไป เสียโอกาสเสียเที่ยวเช่นนี้ไม่เสียใจหรืออย่างไร

ฉะนั้นผู้บำเพ็ญฯ จึงควรรีบเร่งสำนึกรู้จากชีวิตสั้นๆ เพียงเท่านี้

ปฏิบัติตนเป็นคนอย่างจริงจัง อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า มีเวลาหนึ่งวันบำเพ็ญหนึ่งวันก็เป็นผลบุญหนึ่งวัน เมื่อย้อนกลับมามองก็จะสำนึกรู้ความเป็นจริงของชีวิตที่มีความทุกข์ของการเกิดแก่เจ็บตาย การเวียนว่ายในทะเลทุกข์ที่ไม่มีกำหนดสิ้นสุด จึงต้องตั้งความมุ่งมั่นขอรับวิถีธรรมบำเพ็ญฯ เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่อหวังการพ้นทุกข์ ก่อนอื่นจะต้องหาทางพ้นความตาย อยากพ้นการเกิด ให้หาทางที่อยู่เหนือการเกิด จึงจะพ้นจากความตายได้ อยากพ้นการตาย จึงควรสำนึกรู้กราบพระวิสุทธิอาจารย์ ขอวิถีทางรู้แจ้งโดยไว ตั้งใจบำเพ็ญฯ จึงจะพ้นการเวียนว่าย

แม้เมื่อเป็นคนไม่สำนึกรู้ หลงจมอยู่กับทะเลทุกข์ จะไม่มีวันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของความตายได้

วันที่จะพ้นจากการเวียนว่ายจึงไกลสุดเอื้อม ท่านจอหงวนสกุลหลัวกล่าวไว้ว่า

“ถลำสู่โลกนี้อยู่หลายสิบปี

มีแต่เรื่องโลกีย์ ถูกบ้างผิดบ้างนับหมื่นพัน

ในชีวิตสร้างกรรมเกี่ยวกรรม

ครึ่งของชีวิตที่ผ่านมาทำชั่วร้ายได้บาป

เป็นทุกข์โศกเศร้าไม่จบสิ้น

กังวลหม่นหมอง ถอนใจไม่คลาย

ใจอยากเป็นผู้บำเพ็ญธรรม

มุ่งหวังทางสวรรค์วันต่อไป”

พระอริยเจ้าก็ตรัสไว้ว่า

“ตะวันเดือนเร่งผ่านไปเหมือนสายน้ำ

เกิดกายใช้ชีวิตกับโลกนี้นับหมื่นปี

เวิ้งว้างไกลลิบจนหาที่สิ้นสุดมิได้

มืดมนไม่รู้ทางออกให้พ้นไป

เมื่อไรจะพ้นจากเวียนว่ายในชีววิถีหก

อีกชาติกำเนิดสี่ที่ต้องเกิดกาย

ดูหรืออยู่ๆก็ตกลงสู่โลกโลกีย์

คนที่สำนึกรู้จึงควรเร่งบำเพ็ญธรรม

วันเวลาล่วงไปดังสายน้ำ

คนโง่งมมิรู้ความเป็นไป

คนหลงใหลเดินต่อไปไม่กลับหลัง

รีบบำเพ็ญเถิดรีบบำเพ็ญ

เพื่อจะได้ไม่ต้องทุกข์เศร้าจากภัยพิบัติ

เริ่มจากวันนี้ให้เร่งสร้างทางข้างหน้า

หลายหมื่นปีที่แดนพุทธะสุขาวดี

ใครทำดีจะได้ท่อเที่ยวไป

คนชั่วร้ายจะเป็นผีที่ถูกขังในนรก

ทางสวรรค์และนรกต่างกัน

บำเพ็ญให้รู้แจ้งเมื่อครั้งยังมีชีวิต

เป็นคนจงรู้กลับหลัง
ชื่อเสียงลาภยศมีวันหมดสิ้น

เตือนกัลยาณชนให้เร่งสร้างหนทางธรรม

สูญสิ้นกายคนนี้แล้ว ยากนัก ยาวนาน

ในหนังสือ “เตือนตน” เขียนไว้ว่า

“อย่าคิดว่าวันเวลาของเจ้ายังอยู่อีกยาวนาน

อย่าคิดว่าสังขารของเจ้ายังแข็งแรง

จงรู้เถิดว่า

พญายมไม่ไว้หน้า

ความตายมาถึงเร็ว

ความเป็นความตายไม่คาดได้

เมื่อลมหายใจที่สูดเข้าไปไม่ระบายออกมาใหม่

ก็ไม่รู้ว่าชาติต่อไปหัวหูหน้าตาจะเปลี่ยนเป็นอะไร

เมื่อยังอยู่ในโลกนี้ได้

แม้อีกสักวันหนึ่งก็ควรรักษาค่าไว้

สร้างกุศลคุณงามความดี จนที่สุดที่จะทำได้

ปกติหากทำลวกๆ แล้วไป ไม่รู้ค่าของเวลา

ฉับพลันเมื่อความตายมาถึง ร้อนใจมือไม้สั่น

อยากจะสร้างบุญสร้างกุศลในตอนนั้น

จะมีประโยชน์อะไร

เมื่อสิ้นกายสังขารนี้แล้ว

คิดจะเริ่มบำเพ็ญใหม่ให้ดี

มีแต่คำว่าสายไป

ดังคำกลอนที่ว่า

“วันหนึ่งผ่านไปน้อยไปอีกวันหนึ่ง

ปีหนึ่งผ่านไปน้อยไปอีกปีหนึ่ง

วันนี้ขึ้นเตียงนอนอยู่ดีดี

พรุ่งนี้หรือจะตื่นขึ้นได้ ใครรับรอง


ชีวิตคนเราเหมือนภาพลวงตาจงหันหลังขึ้นฝั่งโดยไว


ขอบคุณที่มา

สังคมธรรมะออนไลน์


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์