ชีวิตต่อชีวิต

ชีวิตต่อชีวิต


ในรัชสมัยเสียนเฟิงแห่งราชวงศ์ชิง

ในเมืองหยังโจว ยังมีนายทวารผู้เฝ้าประตูจวนที่ว่าการคนหนึ่งชื่อหวังสี เป็นคนชอบทำบุญให้ทานอยู่เสมอ คนที่รู้จักเขาจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าหวังสีเป็นคนดี แต่โดยไม่คาดฝัน วันหนึ่งเขากลับล้มเจ็บหนักโดยไม่รู้สาเหตุของโรค ไม่ว่าจะหาหมอหรือหาพระหาเจ้าที่ไหนมารักษา อาการเจ็บป่วยก็ยังไม่ทุเลาลง ซ้ำร้ายกลับทรุดหนักลงไปอีก จนในที่สุดก็เหลือแต่ลมหายใจแผ่ว ๆ เท่านั้น

วันหนึ่ง...

ในขณะที่หวังสีกำลังอยู่ในอาการครึ่งฟื้น ครึ่งสลบอยู่นั้น พลันก็ปรากฎยมทูตหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวสองตนตรงเข้ามาหา พร้อมกับกรรโชกว่า "ไป ไปกับข้า" แม้ว่าหวังสีจะหวาดกลัวยิ่งนัก แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน ได้แต่เดินตามไปโดยดี เดินไปเป็นหนทางไกลจนมาถึงประตูเมืองของหยังโจวทางด้านทิศตะวันตก และพอมาถึงหน้าประตูศาลพระกาฬประจำเมือง ยมทูตก็ผลักหวังสีเข้าไปในศาล เขาแลเห็นบรรยากาศภายในศาลอึมครึม น่ากลัวยิ่งนักสองฟากมียมทูตยืนเรียงรายอยู่ ด้วยอาการกระเหี้ยนกระหือเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ หวังสียิ่งกลัวหนักเข้าจนแทบสิ้นสติ 

ทันใดนั้น ยมทูตก็ลากตัวหวังสีมา

แล้วร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า "เบื้องหน้าองค์พระกาฬทำไมไม่กราบ" หวังสีเข่าอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้นดังโครม เสียงผู้พิพากษาโทษรายงานต่อพระกาฬว่า "อันที่จริงชายผู้นี้หมดอายุแล้ว แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาเคยช่วยชีวิตคนไว้สองคน ตามหลักแล้วควรจะให้เขาต่ออายุไปได้อีกสิบสองปี ไม่ทราบว่าท่านพระกาฬจะโปรดประการใด" พระกาฬมองดูหวังสีอยู่ครูหนึ่ง แล้วจึงหันไปถามผู้พิพากษาโทษว่า "เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาช่วยชีวิตคนไว้อย่างไร" ผู้พิพากษาโทษทูลตอบว่า "ครั้งนั้น ขณะที่กองกำลังของไท่ผิงเทียนกั๋ว (ชาวจีนที่มีอุดมการณ์จะสร้างประเทศจีนขึ้นใหม่ ให้เป็นเมืองสวรรค์สันติ โดยโค่นล้มราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูเสียก่อน) ยาตราทัพถึงแม่น้ำเจียงอิน วันหนึ่ง หวังสีเดินทางมาถึงริมฝั่งน้ำ ก็แลเห็นหญิงชราและสาวน้อยนางหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ริมทาง หวังสีจึงเดินเข้าไปถาม ถึงสาเหตุที่นางทั้งสองต้องมานั่งร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างนี้ หญิงชราจึงตอบพลางสะอื้นพลางว่า นางเป็นแม่นมของหญิงสาว หญิงสาวเป็นธิดาของนายอำเภอ แต่เนื่องด้วยบ้านเมืองเกิดการจราจล จากกองทัพอุดมการณ์ไท่ผิงเทียนกั๋ว นายอำเภอผู้เป็นบิดาของหญิงสาวถูกหัวหน้าอุดมการณ์คือหงซิ่วเฉวียนฆ่าตาย นางทั้งสองหนีรอดมาได้ระหกระเหินมาถึงที่นี่ แต่ไร้ญาติขาดมิตรไม่มีบ้านที่อาศัยพักพิง ฉะนั้นจึงรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเช่นนี้" 

หวังสีได้ฟังเรื่องราวแล้วรู้สึกเห็นใจสงสาร

จึงซักไซ้ต่อไปจนได้รู้ว่า นายกองภาษีแห่งเมืองนี้เป็นเพื่อนของนายอำเภอผู้ตาย ซึ่งเป็นบิดาของหญิงสาว หวังสีจึงนำนางทั้งสองเดินทางไปที่ทำการกองภาษี นายกองภาษีก็รับนางทั้งสองไว้ในความอุปการะด้วยความเต็มใจ เท่ากับหวังสีได้ช่วยชีวิตของนางทั้งสองไว้ เมื่อพระกาฬฟังความจบลง ก็ตรวจสอบดูสมุดบัญชี คนเป็นคนตายเพื่อดูความถูกต้อง แล้วจึงพยักหน้าลงบัญชาตัดสินว่า "ปล่อยหวังสีกลับไป" พอสิ้นคำบัญชา ยมทูตก็นำหวังสีออกจากบัลลังก์ศาลพระกาฬย้อนกลับทางเดิมมา พอเดินมาได้ครึ่งทางทันใดนั้น ท้องฟ้าก็ครืนครันลมฝนกระหน่ำอย่างแรง จนหวังสีตัวเปียกปอนหนาวสั่น หวังสีรู้สึกตัวตื่นขึ้นด้วยความหนาว พอลืมตาก็เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงในบ้านของตนอย่างเดิม ไม่เห็นมีศาลพระกาฬหรือยมทูตที่ไหนเลย แต่หลังจากนั้น อาการป่วยโดยไร้สาเหตุของเขาก็ทุเลาและหายเป็นปกติ โดยไม่ต้องเยียวยารักษาแต่ประการใด หวังสีมานึกทบทวนดูเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อน เป็นความจริงที่เขาเคยช่วยเหลือหญิงสองคน มันเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย มีเพียงเมตตาจิตอันแท้จริงเป็นที่ตั้งเท่านั้น แต่ผลของกรรมดีกลับตอบแทนเขามากมายได้ถึงเพียงนี้
 
จากนั้นมาหวังสีผู้ชอบทำบุญให้ทานก็ยิ่งศรัทธากับการสร้างบุญกุศลยิ่งขึ้น

การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้อื่น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่นจูงคนตาบอดข้ามถนน เก็บเปลือกกล้วยบนพื้นซึ่งอาจจะทำให้ใครเหยียบลื่นล้ม หรือเก็บเศษแก้วเก็บก้นบุหรี่ที่จะเป็นอันตรายต่อใครได้ด้วยเมตตาจิตเป็นที่ตั้งเหล่านี้ล้วนเป็นกรรมดีซึ่งมีให้ทำได้อยู่เสมอ พระอริยเจ้าทั้งหลายตรัสไว้ว่า "อย่าเห็นว่ากุศลผลบุญนั้นเล็กน้อยจึงไม่ทำ และอย่าทำเพราะคิดว่าบาปกรรมนั้นเพียงนิดเดียว"

ชีวิตต่อชีวิต


ขอบคุณที่มา

สังคมธรรมะออนไลน์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์