ทำไมการใช้เวลา อยู่กับลูก จึง สำคัญมาก

เพราะว่า
1. เด็กทุกคนต้องได้รับ "การอบรมสั่งสอน" เพื่อให้เด็กโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ "ได้มาตรฐาน" ตามที่ควรจะเป็น อยากให้เด็กมีสัมมาคารวะก็ต้องสอน อยากให้เด็กพูดจาไพเราะก็ต้องสอน อยากให้เด็กมีน้ำใจก็ต้องสอน อยากให้เด็กมีวินัยก็ต้องสอน
สมัยก่อนพวกเราคงได้ยินผู้ใหญ่ต่อว่าเด็กๆ ที่ทำตัวไม่น่ารักบ่อยๆ ว่า "เด็กคนนี้ พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน"
นั่นแปลว่า เด็กจะมีนิสัยใจคอดีๆ มีคุณสมบัติดีๆ ได้ ต้องเป็นเด็กที่ได้รับการอบรมสั่งสอน
การอบรมสั่งสอนให้ประสบผลสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัย
- เวลา : พ่อแม่ไม่สามารถสอนลูกได้ผลดี ถ้ามีเวลาอยู่กับลูกน้อยเกินไป
- ความต่อเนื่อง : ช่วงที่อยู่กับลูกมีโอกาสสอน วันหนึ่งย้ายตัวเองไปทำงานไกลๆ ทำให้สอนลูกไม่ได้ ความไม่ต่อเนื่องเช่นนี้ เป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้การอบรมสั่งสอนลูกไม่ประสบความสำเร็จ
- ต้นแบบที่ดี : การเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น สำคัญกว่าการสอนด้วยคำพูดเสียอีก แล้วถ้าพ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูก "น้อยเกินไป" จะทำตัวอย่างดีๆ ที่มากพอ ให้ลูกเห็นได้อย่างไร
2. เด็กไม่ได้พร้อมจะถูกสอนตลอดเวลา ความอยากสอนสิ่งต่างๆ ให้ลูก ตามใจพ่อแม่อย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูความอยาก ความพร้อมของลูกเป็นหลักด้วย พ่อแม่บางคนกลับบ้านดึก เวลาที่เหลือน้อยนิดก่อนลูกเข้านอน ก็พยายามจะ "ยัดเยียด" สิ่งต่างๆ ลงสู่สมองลูก ด้วยเหตุผลว่า "เวลาน้อย" ถ้าไม่สอนกันตอนนี้ ก็ไม่รู้จะสอนตอนไหน การทำอย่างนี้ "เหนื่อยและเครียด" เปล่าๆ ค่ะ แถมยังไม่ได้ผลอย่างที่พ่อแม่ต้องการอีกด้วย
3. พ่อแม่ทุกคู่ในโลก คาดหวังให้ลูกรักพ่อแม่ สนิทสนมกับพ่อแม่ มากกว่าใครๆ ทุกครั้งที่หมอตรวจเด็กที่มีปัญหาอารมณ์ และพฤติกรรม หมอจะถามเด็กว่า หนูสนิทกับใครที่สุด? คำตอบที่ทำให้หมอ "สะเทือนใจ" แทนพ่อแม่เด็กทุกครั้ง คือ คำตอบเป็นคนอื่น ที่ "ไม่ใช่พ่อแม่" หมอสะเทือนใจ แต่ "ไม่แปลกใจ" ก็ในเมื่อเด็กใช้เวลากับ "คนอื่น" มากกว่า "อยู่กับพ่อแม่" แล้วเขาเหล่านั้น จะสนิทกับพ่อแม่ได้อย่างไร
ลองคิดถึงตัวท่านเอง ถ้าท่านใช้เวลากับเพื่อนคนนี้มาก ก็แปลว่าท่านสนิทกับเพื่อนคนนี้ คนที่อยู่ไกลๆ นานๆ เจอกันที ถึงแม้เป็นญาติแท้ๆ ท่านก็คงไม่สนิทกับเขา เท่าเพื่อนที่ท่านพบเจอ สังสรรค์ด้วยกันบ่อยๆ ได้หรอก
พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูก "น้อยเกินไป" จาก
1. พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ กลับบ้านมืดค่ำ ถึงแม้อยู่บ้านเดียวกับลูก แต่ก็เจอกันน้อยเกินไป ลูกเล็กๆ อาจต้องอยู่กับพี่เลี้ยงเสียมาก บ้างก็ถูกส่งเข้า nursery
เด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังพี่น้อง หรือแม้กระทั่งอยู่คนเดียวสองสามชั่วโมง ก่อนพ่อแม่จะกลับ ก็มีให้เห็นได้ทั่วไป
2. พ่อแม่ส่งลูกไปอยู่ที่อื่น เดินทางไปหาลูกเดือนละไม่กี่ครั้ง เมื่อเจอลูกแต่ละครั้ง ก็เห็นแต่ปัญหาพอกพูนขึ้นทุกปีๆ เช่น ลูกอ้วน ฟันผุ เอาแต่ใจ มีปัญหาการเรียน และอีกหลายอย่างที่ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
3. พ่อแม่ที่ชอบส่งลูก "เรียนพิเศษ" เยอะๆ หนึ่งในปัญหาของการส่งลูกเรียนพิเศษเยอะๆ ที่ไม่มีใครค่อยคิดถึง คือ เสียเวลา เสียเวลาที่พ่อแม่จะได้ "อยู่กับลูก" พ่อแม่ที่หมอเจอจำนวนมาก "เข้าใจผิด" คิดว่า เสาร์อาทิตย์ไม่ไปไหน อยู่กับลูก ก็ไปรับไปส่งลูกเรียนพิเศษ แล้วก็รอรับกลับ
ความเข้าใจผิดเรื่องนี้คือ เข้าใจผิดว่า "อยู่ด้วยกัน" ตอนลูกนั่งเรียนในคลาส พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับลูกนะคะ ตอนที่อยู่ด้วยกัน คือตอนนั่งอยู่ในรถ ตอนนั่งกินข้าว "แค่นั้น" การใช้เวลาด้วยกัน ในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนักหรอก ขออย่าเข้าใจผิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เลย
4. พ่อแม่ที่ชื่นชอบให้ อุปกรณ์จอ มาดึงเวลาของทั้งลูก และของตัวเองไป พ่อแม่มากมายเหมือนอยู่ด้วยกันกับลูก แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป ต่างคนต่างอยู่กับ อุปกรณ์จอของตัวเอง
ลองดูสิคะ ทุกครั้งที่ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ลองมองไปโต๊ะข้างๆ หมอมั่นใจ ต้องเห็นอย่างน้อย 1 โต๊ะ ที่พ่อแม่ลูก ต่างคนต่างก้มหน้าดูจอในมือ โดยไม่มีใครคุยอะไรกัน ขออย่าให้บ้านของพวกเราเป็นอย่างนั้นเลยนะคะ
จะพบว่า ที่หมอเล่ามาทั้งหมด บางเรื่องก็พอแก้ไหว แต่บางเรื่องพ่อแม่หลายบ้านถึงขั้นท้อใจ แล้วพาลมาโกรธสิ่งที่หมอเขียนเสียอีก

หมออยากให้ข้อคิดที่อาจเป็นประโยชน์บ้าง ดังนี้
1. ก่อนมีลูก ต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด หมออยากให้ประเทศเรามีคติประจำใจว่า "พร้อมมีลูก" เท่ากับ "พร้อมจะเลี้ยงลูก"
คือต้องพร้อมที่จะใช้เวลาไปด้วยกันกับลูก ถ้ายังไม่พร้อมจะให้เวลากับลูก นั่นแปลว่า ท่านยัง "ไม่พร้อมมีลูก" วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายจนคิดไม่ถึงคือ ท่านเพียงแค่ "ชะลอการมีลูก" ออกไปก่อน "แค่นั้นจริงๆ"
2. ชีวิตพ่อแม่อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เมื่อท่านตัดสินใจมีลูก หนึ่งในการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องคิดจริงๆ จังๆ คือ เรื่องหน้าที่การงาน ซึ่งรวมไปถึงรายได้ ขอให้พ่อแม่มีความ"ยึดหยุ่น" มากขึ้นในเรื่องนี้ ถ้าท่าน "ยืนยัน" จะให้หน้าที่การงาน รายรับ เหมือนเดิม เท่าเดิมทุกประการ ท่านก็อาจต้องเสียเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง คือ ไม่สามารถใช้เวลาอยู่กับลูก เท่าที่ควรจะเป็น
3. ถ้าวันนี้เกิดความพลาดพลั้งไปแล้ว พ่อแม่แค่ต้องมา "ตั้งหลักกันใหม่" อย่าเพิ่งรีบมีลูกคนถัดไป ขอให้ยืนหยัดแก้ปัญหากับลูกคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ดีขึ้นเสียก่อน มีปัญหาไม่กี่อย่างให้แก้ ก็ยังดีกว่ามีปัญหาท่วมตัว จนถอดใจที่จะแก้
4. สุดท้าย ถ้าบ้านไหนเดินทางมาถึง จุดที่ไม่รู้จะเริ่มแก้ยังไง ไม่มีเวลาอยู่กับลูกมานานเหลือเกิน นานจนลูกแทบจะไม่เชื่อฟังอะไรพ่อแม่แล้ว
ที่หมอพอจะช่วยได้ คือ ส่งกำลังใจไปให้พ่อแม่ ขอให้ท่านเริ่มแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง เท่าที่พอจะทำได้ ถ้าท่านมีศาสนาให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ จงใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้ผ่อนคลายความทุกข์ลงมาได้บ้าง
ปู่ย่า ตายาย ที่ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว ท่านไม่ได้เลี้ยงลูก เมื่อลูกของท่านโตขึ้นมาสร้างครอบครัวของพวกเขาเอง ขออย่าได้ทำผิดซ้ำ ด้วยการรับหลานมาเลี้ยง แทนพ่อแม่เขาเลย บั้นปลายชีวิต ท่านควรได้พักจากเรื่องที่ถูก "บังคับให้ทำ" คือ การทำงาน การหาเงิน ถึงวันนี้ท่านไม่ควรต้องถูกบังคับให้มา "เลี้ยงเด็ก"
ถ้าท่านมีเงินมีทองมากมายเหลือเฟือ ขอให้ช่วยส่งเสริมรุ่นลูกของท่าน ให้สร้างครอบครัว และเลี้ยงดูลูกๆ ด้วยตัวพวกเขาเองให้ได้
ถ้าท่านไม่ได้สบายเรื่องเงินมากนัก ท่านเพียงแค่ให้คำแนะนำลูกๆ ว่า ก่อนมีลูก "จงคิดให้รอบคอบ" เมื่อพร้อมจะเลี้ยงลูกเมื่อไหร่ จึงจะเรียกว่า พร้อมมีลูก และท่านต้องใจแข็ง ไม่ส่งเสริมให้คนรุ่นลูก ไม่มีเวลาให้ลูกของพวกเขา เหมือนกับรุ่นของท่าน
หมอได้แต่หวังว่า ข้อคิดสะกิดใจเหล่านี้ ถ้าสามารถช่วยเหลือแม้แต่เพียง 1 ครอบครัวได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ทำไมการใช้เวลา อยู่กับลูก จึง สำคัญมาก

ฺBy พญ.สาริณี 
ที่มา Facebook :: Dad Mom and Kids


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์