ทำไมต้องสวดมนต์

ทำไมต้องสวดมนต์


เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา พระอาจารย์ท่านนึงที่ผมเคารพ ท่านได้พิมพ์บทความ เรื่อง "ทำไมต้องสวดมนต์" แล้วนำบทความนี้ให้แก่ผม

ผมจึงขออนุญาตินำบทความนี้ มาแบ่งปันให้กับกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยใจบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการเตือนสติกับผู้ใฝ่ดีทุกๆท่าน ให้ประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบด้วยจิตใจที่ผ่องใส เพื่อให้สมกับเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีอยู่คู่กับสังคมไทยสืบไป


ทำไมต้องสวดมนต์

ในสังคมนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสัตวโลกทั้งหลาย ล้วนแต่ต้องดิ้นรนเพื่อนำพาชีวิตของ ตนให้รอดพ้นจากความหิว ความเจ็บ ความหนาว ความร้อน ซึ่งคือความทุกข์ขั้นพื้นฐานทึ่สัตว์ โลกทั้งหลายต้องเผชิญ การหลีกเลี่ยงทุกข์พื้นฐานเหล่านี้ได้ย่อมได้พบความสุขขั้นพื้นฐาน

แต่ทว่าในปัจจุบันเราควรหันกลับมาพิจารณาตนเอง ว่าทุกวันนี้เราทุกข์มากกว่าเดิมหรือไม่ เราทุกข์เพราะอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์โลกทุกข์เพราะตัณหา หรือความอยาก สรุปง่ายๆว่า ทุกวันนี้เราทุกข์มากกว่าเดิม เพราะเรามีความต้องการมากขึ้น คนที่รวยแล้วมีแล้ว ก็อยากรวยอีกมีอีกอยากจนเกินพอดี ทั้งที่แม้จะมีมากเท่าไรท้องเราก็รับอาหารได้ไม่กี่จาน แม้จะมีบ้านหลังใหญ่แต่เราก็นอนบนเนื้อที่เล็กๆ แม้มีรถหลายคันแต่เราก็นั่งได้ทีละคัน แนวคิดเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเป็นแนวคิดขั้นพื้นฐานในการบำบัดทุกข์ที่เกิดในชีวิต ลดความทะยานอยาก ลดความดิ้นรนที่เกินความจำเป็นในชีวิต ที่จะก่อให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ พวกเราเข้าใจคำว่าความเพียร ความพยายาม ตามหลักพุทธธรรมผิดไปเสียหมด หากจะมีสักคนที่มีแนวคิดเรื่องความรู้จักพอที่กล่าวแล้วข้างต้น ย่อมถูกกลุ่มที่ไม่รู้จักความพอ ประณามว่าปราศจากความเพียรพยายามในชีวิต

แต่ที่แท้แล้ว คนที่รู้จักพอกลับเป็นคนที่รวยที่สุด ตรงข้ามคนที่ไม่รู้จักพอจึงเป็นคนที่ยากจนและน่าสงสารที่สุด เพราะมีเท่าไรก็ไม่พอ ไม่อิ่ม ที่จริง ความเพียรที่แท้จึงคือการเพียร ทำลายโลภ โกรธ หลง ที่เผาผลาญสัตว์โลกคือพวกเราอยู่ตลอดเวลาต่างหาก มิใช่ความเพียรที่มุ่งเข้ากองไฟเหมือนแมลงเม่า เรียกพวกนี้ว่า มิจฉาทิฐิ

วิธีหนึ่งที่ทำให้เราหัดเป็นผู้รู้จักพอ เป็นผู้มีความเพียรที่ถูกต้อง คือการมีสติเห็นโลกตามความจริง โดยไม่มีกิเลส ความโลภ โกรธ หลง ครอบงำ หรือปิดหูปิดตา กล่าวคือ การกระทำ และความคิดใดๆ ที่เป็นไปเพราะความโลภ เป็นไปเพราะความโกรธ เป็นไปเพราะความหลง ล้วนเรียกว่า คิดและทำอย่างไม่มีสติ จะทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล เพราะถูกความชั่วครอบงำ เป็นทาสของความชั่ว


การสวดมนต์เป็นอีกวิธีหนึ่ง และเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใฝ่ดี ผู้อยากเป็นคนดี แต่น่าเสียดายที่ มีหลายคนเสียเวลาไปกับการสวดมนต์โดยเปล่าประโยชน์ เสียเงิน เสียเวลา เสียแรง โดยไม่ได้อะไรเลย.. 

ในที่นี้ขอกล่าวเฉพาะการสวดมนต์อย่างไรที่จะได้ประโยชน์เต็มที่ ไม่เสียเงินเปล่า ไม่เสียเวลาและเสียแรงไปเปล่า ดังนี้..


การที่เราท่านทั้งหลาย จะทำสิ่งใด้ย่อมต้องมีเป้าหมาย เช่น การลงทุนย่อมหวังกำไร ปลูกพืชย่อมต้องการผล เมื่อทำความดีแล้วย่อมต้องการผลที่ดีเช่นกัน

การสวดมนต์ก็เป็นการปฏิบัติจิตอย่างหนึ่ง เราจงสังเกตกาย สังเกตวาจา สังเกตจิตใจเราเอง ว่านับแต่ที่ได้มาสวดมนต์ปฏิบัติธรรม กิริยาที่แข็งกระด้าง วาจาที่หยาบคาย ไม่ไพเราะ คำเท็จ คำส่อเสียด จิตใจที่อาฆาต มักโกรธ มักโลภ ได้น้อยลงไปจากเดิมหรือมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่

หากกาย วาจา ใจ ของเราท่านยังไม่เปลี่ยนสู่ทางที่ดีขึ้น สูงขึ้น ประเสริฐขึ้นแล้ว ย่อม เรียกว่า เสียแรง เสียเงิน เสียเวลาไปเปล่าๆ บางครั้งไม่เพียงแต่ลงทุนลงแรงแล้ว ได้กลับมาเสมอทุน แต่บางคนขาดทุน คือได้บาปกรรมติดมาแทน เช่น ผู้สวดมนต์ ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ เวลาที่สวดมนต์ นำพระธรรมไปหาผลประโยชน์ในทางที่ผิด บิดเบือนพระธรรมคำสอน และยังสั่งสอน ผู้อื่นให้หลงผิดตาม ถือเป็นอกุศลกรรมใหญ่หลวงนัก ฯลฯ


ฉะนั้น การสวดมนต์ จึงมีใจความสำคัญคือ เป็นการชำระจิตให้สะอาด มีความหมาย เช่นเดียวกับ บุญ ที่เป็นเครื่องชำระจิต เมื่อเราสวดมนต์แล้ว จิตจะต้องสะอาด ผ่องใส เพราะเรา กล่าวแต่คำดี ที่เป็นคำของพระอริยเจ้า เมื่อจิตผ่องใส วาจาก็น่ารักน่าฟัง เพราะพูดแต่สิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรม ผู้ฟังเราแล้วเกิดปัญญาไม่หลงผิด ตื่นจากความงมงาย เป็นคำพูดที่เราเจริญรอยตามพระอริยเจ้า เมื่อวาจาผ่องใส ร่างกายมีหน้าตาเป็นต้น ก็จะผ่องใสอิ่มบุญอิ่มกุศล เพราะเราดำเนินตามพระอริยเจ้าคือผู้ที่เจริญแล้ว ไม่เสื่อมไม่ตกสู่ความชั่วและความผิดอีก การสวดมนต์ที่ถูกจะแสดงผลที่จิตใจของเจ้าตัวก่อน แล้วจึงแสดงออกมาสู่ภายนอก


บางท่านสวดมนต์มานาน แต่หน้าตาไม่ผ่องใส วาจาไม่น่ารัก หาอรรถหาธรรมไม่ได้ นั่น ย่อมแสดงว่า จิตใจภายในต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน การสวดมนต์ที่ถูกต้องจะส่งผลคือ ภายใน เราจะเป็นผู้รู้จักอิ่ม รู้จักพอ และภายนอกจะแผ่ถึงผู้อื่นด้วยคือ รู้จักให้ รู้จักอภัย อย่างน้อยหากเรามีความเข้าใจว่าการหันหน้าสู่พระปฏิมา คือการหันหน้าเข้าสู่จิตสู่ใจของ ตนเอง จะสำรวมกายให้เรียบร้อย สำรวมวาจา และสำรวมความคิดให้เป็นหนึ่ง การสวดมนต์จึง ศักดิ์สิทธ์และมีพลัง การมีกาย วาจาและใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระธรรมหรือมนต์ที่สวดถือเป็น หัวใจและเคล็ดลับ เช่น เมื่อสวดมหากรุณาธารณี ของพระกวนอิมโพธิสัตว์ เราก็ต้องมีเมตตา กรุณา ปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ มนต์นั้นจึงสำแดงอานุภาพ เพราะเรามีจิตแบบพระโพธิสัตว์ มีวาจาเหมือนพระโพธิสัตว์ และประพฤติตนอย่างพระโพธิสัตว์ การสวดพระพุทธคุณ ก็เพื่อน้อมเอาพระคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า คือความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไกลจากกิเลส ฯลฯ มาไว้ในตน หากผู้ใดสวดพระพุทธคณ แล้วผิดจากหลักนี้แล้ว ก็ถือเป็นอวิชชา ผิดจากพุทธประสงค์ และขาดทุนอย่างยิ่ง


จึงขอฝากมายังผู้ใฝ่ดีทั้งหลาย ว่าเรานับถือศาสนาเพื่ออะไร เราสวดมนต์เพื่ออะไร หวังว่าบทความข้างต้น จะให้คำตอบแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่าการสวดมนต์ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร สวดแล้วได้อะไร ซึ่งท่านจะหาคำตอบได้จากตัวท่านเอง ไม่จำเป็นต้องถามผู้ใด เพราะไม่มีใครตอบได้ดีเท่าตัวเรา เราย่อมรู้เองว่า ... เราได้อะไรมาบ้าง เราได้พัฒนาอะไรบ้าง และเราเสียอะไรไป


ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือการสวดมนต์ด้วยศรัทธา แต่การสวดมนต์ด้วยปัญญานั้นยิ่งมีอีก นัยยะหนึ่ง ที่มากกว่าพิธีกรรม ความเชื่อและประเพณีที่ทำสืบต่อกันมา ... ซึ่งจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป ด้วยประการฉะนี้


ขอบคุณข้อมูลจาก : PALUNGJIT.COM

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์