ธรรมะหลวงพ่อปัญญาฯ

สาธุ! เคยมีคนหลายคนมาบอกว่ากลุ้มใจ ถามว่ากลุ้มเรื่องอะไร...บอกไม่ถูกกลุ้มเรื่องอะไร นี่แหละคือ การไม่ได้คิดค้นหาเหตุผลในเรื่องที่เรากลุ้มใจ

ถ้าเรากลุ้มใจ เราต้องคิดแล้ว กลุ้มเรื่องอะไร
อย่า เอาแต่บ่นกลุ้มๆ อยู่ตลอดเวลา
แต่เอาเรื่องกลุ้มนั้นมาพิจารณา เพื่อให้รู้ว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร
แล้วเราก็ จะได้คิดแก้ไขต่อไป
ถ้าเราแก้เองไม่ไหว เราก็ไปหาผู้รู้
ผู้เข้าใจในปัญหาชีวิต ให้ช่วยชี้แนะแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงต่อไป
ถ้าหากว่าเราทำได้อย่างนี้บ่อยๆ เราจะมีปัญญาแหลมคมขึ้น
สามารถจะรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องปัญหาอะไรต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะเรามีปกติวิเคราะห์อย่างนั้น
พิจารณาเรื่องนั้นอยู่เสมอๆ ไม่ปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ


จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่นว่าเรากลุ้มใจเรื่องของหาย
เรามีอะไรที่เราใช้สอยอยู่จะเป็นแหวนเป็นสายสร้อยหรืออะไรก็ตามใจ
มันหายไปแล้วเราไม่รู้ว่ามันหายไปอย่างไร ไม่มีโอกาสที่จะเอาคืนมาได้
เขาบอกว่า ให้ไปแจ้งความก็ไปแจ้งไว้ตามเรื่อง
ตำรวจก็บันทึกไปตามเรื่องแล้วไม่มีทางจะได้ของคืนมา
แต่ว่าเรานั่งกลุ้มใจ นึกถึงทีไรแล้วก็กลุ้มขึ้นมา เป็นทุกข์ขึ้นมา
บางทีก็ทุกข์เอามากๆ เพราะว่ารักมาก
สิ่งใดรักมากก็ทุกข์มากเป็นธรรมดา รักน้อยก็ทุกข์น้อย
ถ้าเราไม่รักเลยมันหายไปเราก็ไม่สนใจอะไร นี่มันอยู่ตรงนี้


ทีนี้เรามาคิดว่า เราเป็นทุกข์เพราะนาฬิกาเราหาย
ก็ไม่รู้ว่าใครเอาไป เราก็นั่งกลุ้มใจเป็นทุกข์เป็นร้อน
ถ้าเราเอาแต่กลุ้มมันจะได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไร
นอกจากว่าได้ความทุกข์ ได้ความระทมตรมตรอมใจ
นั่นมันเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือ
เป็นวิธีการของพุทธบริษัทหรือ เป็นวิธีการของผู้มีปัญญาหรือ
ที่มานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างนั้น...ไม่ใช่..
มันเป็นวิธีการของผู้ไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจในเรื่องอะไรที่ถูก
ต้องตามสภาพที่เป็นจริง จึงได้มานั่งกลุ้มอยู่ในรูปอย่างนั้น


ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะไว้บ้าง พระท่านบอกว่าต้องพิจารณาในเรื่องนั้น
เอาเรื่องที่เรากลุ้มนั้นมาแยกแยะออกไป ว่ามันคืออะไร
เราก็ยกปัญหามาคิดว่า เอ๊ะ..มันเรื่องอะไร
กลุ้มใจเรื่องของหาย แล้วของนั้นมันเป็นของใคร
ก็โลกเขาสมมติว่าเป็นคนนั้นคนนี้สมมติว่าเป็นของฉัน
เราก็ตอบตัวเองว่าของฉัน


"ของฉัน" นี่มันมีกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อก่อนนี้มันมีไหม
สมัยก่อนเรามีนาฬิกามีแหวนไหม
เรามีอะไรๆ ไหม เมื่อก่อนไม่มี แล้วเมื่อไม่มีเรากลุ้มใจไหมล่ะ ไม่ได้กลุ้ม
มันกลุ้มเพราะ "มี" นี่เอง เจ้าตัว "มี"
นี่แหละทำให้เกิดความกลุ้ม แล้วเมื่อมีแล้วมันกลุ้มเพราะอะไร
เพราะเราไปรักไปพอใจในสิ่งนั้น เราไปยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นของฉัน
"ของฉัน" ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า "มมังการ"
คือถือว่าเป็นของฉันขึ้น มา ตัวปัญหามันอยู่ที่ว่าของฉันนี่แหละ
เพราะฉันไปยึดถือว่าสิ่งนี้เป็นของฉัน แล้วมันหายไปฉันจึงเป็นทุกข์


ถ้าสมมติว่าของคนอื่นหายเราเป็นทุกข์ไหม
เรากลุ้มใจไหม ใครจะไปพลอยกลุ้ม ใครจะไปเป็นทุกข์
รับส่วนแบ่งของผู้นั้น ไม่มีใครไปรับ แต่ที่เรามานั่งเป็นทุกข์ก็เพราะว่า
เราไปยึดถือว่านาฬิกาเรือนนี้เป็น ของฉัน
แล้วมันเป็นของฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กี่ปีมาแล้ว
ก่อนนี้เรามีไหม..ไม่มี..เราออกมาจากท้องคุณแม่
เราผูกนาฬิกามาด้วยหรือเปล่า..เปล่า..ไม่ได้ผูกมา มันก็เพิ่งมีนั่นเอง
แล้วมันหายไป แล้วเรามาคิดดูว่ามีอะไรบ้างในโลกนี้
ที่เราได้แล้วมันจะอยู่กับเราตลอดไปนานๆ มันมีบ้างไหม


เอาง่ายๆ เห็นง่ายที่สุดคือเรื่องเงินนี่เอง
ธนบัตรที่ผ่านเข้ามาในมือเรา มีสักเท่าไหร่แล้ว
บางคนผ่านมือวันละแสน มากมายก่ายกอง มันผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป
เราได้เงินมาแล้วมันก็ออกไป ไม่มีอะไร
อะไรมันเหลืออยู่บ้าง ไม่มี..บางทีมันเหลืออยู่แต่ตัวเลข
ตัวเงินนั้นไปอยู่ที่อื่นแล้ว มันก็ผ่านไปผ่านมา


เหมือนกับวัด โยมเอาเงินมามอบให้ทำกุฏิ
ทางวัดก็รับไว้ รับไว้แล้วก็เอาไปฝากธนาคารไว้
ประเดี๋ยวช่างเขาจะเบิกเงินแล้ว ก็เซ็นเช็คให้ไปเบิกเอาที่ธนาคาร
ถ้าอาตมาจะไปนึกว่านี่เงินของฉัน มันจะนอนไม่หลับ
กลางคืนนอนแล้วก็มองหน้าต่างเดี๋ยวใครจะขึ้นมาบนกุฏิ
มันก็ไม่เป็นสุขถ้านึกอย่างนั้น
แต่เรานึกว่ามันเพียงแต่เป็นของผ่านเรา มันเป็นสถานีเท่านั้นเอง
ที่สิ่งทั้งหลายผ่านไปผ่านมาเหมือนกับสถานีรถไฟ
รถไฟผ่านวันหนึ่งๆ ไม่รู้สักกี่ขบวน


อะไรๆ ก็ตามถ้าเราเข้าไปเป็นเจ้าของแล้วมันเป็นทุกข์
แต่ถ้าเราไม่เป็นเจ้าของแล้วก็ไม่เป็นทุกข์
นึกอย่างนี้ ทีนี้จะมีโดยไม่ได้เป็นเจ้าของจะได้หรือไม่มันก็ได้
ทำใจเอา สร้างความคิดขึ้นในใจว่า เราใช้สิ่งนี้ อย่าไปเป็นเจ้าของ
แต่ว่าเราใช้มันตามหน้าที่ เพราะเราได้มาตามหน้าที่
หน้าที่เป็นผู้รักษา และหน้าที่เป็นผู้จ่ายออกไป
บางทีมันก็ทิ้งหน้าที่จากเราไปเหมือนกัน
มันไม่ได้อยู่กับเราหรอก มันมีอย่างนี้เป็นธรรมดา


ลองคุยกับเพื่อนฝูงมิตรสหายดูเถอะ
ว่าตั้งแต่เกิดมานี้ต้องสูญเสียข้าวของอะไรบ้าง
สูญเสียคนที่เรารักเราพอใจอะไรบ้าง เยอะแยะ
ยิ่งคุยกับครอบครัวที่สามีเป็นทหารไปราชการชายแดนอะไรต่ออะไรแล้ว
เขาจะต้องสูญเสียไปอย่างมากมาย


เรามาคิดในแง่อื่นว่าต้องจากกันนี่มันเรื่องธรรมดา
ไม่มีอะไรที่จะไม่จากเราไป ตั้งแต่เราเกิดมา อายุป่านนี้
เสื้อกางเกงกี่ชุดแล้ว ที่มันเก่าไปผุไป
อะไรๆ ที่เราเปลี่ยนกี่อย่างแล้ว บ้านบางทีก็เปลี่ยนแล้ว มันเรื่องธรรมดา
อะไรๆ นี้มันเป็นสมมติของโลก เราเข้า ไปมีส่วนเอามาใช้
ใช้ไปตามหน้าที่ แต่อย่าไปยึดถือ ให้มันมากเกินไป
จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความ เดือดร้อน


แม้คนอยู่กันในครอบครัวก็เหมือนกัน เป็นสามี ภรรยา
เป็นลูก เป็นญาติ ขอให้เป็นกันโดยสมมติ
แล้วก็ทำหน้าที่ไปอย่างผู้ที่เป็นในหน้าที่นั้น ให้เรียบร้อยให้บริบูรณ์
แต่อย่าไปทำให้ต้องเกิดทุกข์เดือดร้อน เมื่อสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
เราก็ต้องนึกถึงกฎว่า...สัพเพ สังขารา อนิจจา...
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เอามาเป็นเครื่องเตือนใจไว้ พิจารณาไว้อย่างนี้เราก็ปลอดภัย
จิตใจสบาย ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อนด้วยปัญหาอะไรมากเกินไป
อย่างนี้พิจารณาเป็นเครื่องเตือนใจ

อะไรๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันเวลานั้น เป็นครูเรา เป็นบทเรียนสอนเราทั้งนั้น
ต้นไม้ดอกไม้ที่เราปลูกไว้ดูเล่น มันก็เป็นครูสอนเรา
เช่นเราเห็นดอกกุหลาบออกดอกมามันก็บาน แล้วมันก็เหี่ยวร่วงไป
มันก็บอกว่าฉันเป็นอนิจจัง ฉันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน อะไรๆ ก็เป็นอย่างนั้น
พระองค์หนึ่งเขาให้กวาดขยะอย่างเดียว
กวาดไปๆ เขาถามว่ากวาดได้อะไรบ้าง บอกว่า ได้แล้ว
ถามว่าได้อะไร ได้ความรู้สึกว่า ร่างกายเราเหมือนกับใบไม้เหี่ยว
ก็ยังดีเรียกว่า ไม่กวาดเปล่า ยังได้ปัญญา
ได้ความรู้สึกว่าร่างกายเรา เหมือนกับใบไม้เหี่ยว
วันหนึ่งมันก็จะเหี่ยวแห้งแล้วก็ร่วงโรยลงไปเหมือนกับใบไม้
นี่เขาเรียกว่า ได้ปัญญาจากธรรมชาติ ที่เราได้ประสบพบเห็น
อะไรๆ มันก็เป็นเครื่องสอนใจทั้งนั้น...


ขอบคุณที่มา: ปาฐกถาธรรมวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๐)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์